การรู้จักตัวเองอย่างถูกหลักวิชชา

ในพระพุทธศาสนา ประเด็นใหญ่ในการเรียนการสอน คือ การพยายามที่จะสอนให้ทุกคนรู้จักตัวเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ https://dmc.tv/a8608

บทความธรรมะ Dhamma Articles > ช่วงเด่นฝันในฝัน > ปกิณกธรรม > นานาสาระ
[ 16 ต.ค. 2553 ] - [ ผู้อ่าน : 18267 ]
ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2553
ตอน การรู้จักตัวเองอย่างถูกหลักวิชชา
 
 
การรู้จักตัวเองอย่างถูกหลักวิชชา
พระธรรมเทศนา โดย พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)
รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
 
 
        วันนี้ พระธรรมทายาทนานาชาติ รุ่นพิเศษ ครั้งที่ 1_ได้ไปลาหลวงพ่อเพื่อเตรียมตัวที่จะไปปฏิบัติธรรม พระธรรมทายาทนานาชาติรุ่นนี้ มีแปดรูปด้วยกัน มาจากสามทวีป ได้แก่ ยุโรป ลาตินอเมริกา และ เอเชีย (จากประเทศนอร์เวย์ สองรูป ประเทศบราซิล หนึ่งรูป ประเทศเกาหลี หนึ่งรูป ประเทศมาเลเซีย สองรูป และ ประเทศไทย สองรูป)_ทุกรูปได้เตรียมตัวเดินทางที่จะไปปฏิบัติธรรมที่สวนสุขสว่าง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
 
        ขอบอกให้พวกเรารับทราบว่า ในการบวชพระธรรมทายาทนานาชาติ เราได้ทำต่อเนื่องกันมาหลายปีแล้ว แต่เท่าที่ผ่านมา ส่วนมากจะเป็นลักษณะเป็นประเทศประเทศไป อาทิ กลุ่มที่พูดภาษาอังกฤษ ส่วนมากจะมาจากอเมริกาบ้าง จากอังกฤษบ้าง ก็ยกประเทศกันมา บางครั้งก็มาจากญี่ปุ่น บางทีก็มาจากจีน ก็ยกประเทศมาอบรมกัน สำหรับภาษาจีนนั้น บางครั้งก็มาจากหลายประเทศ เช่น ไต้หวัน จีนแผ่นดินใหญ่ สิงคโปร์ และ มาเลเซีย เพราะว่าในประเทศเหล่านี้ มีพี่น้องชาวจีนอาศัยอยู่มาก เมื่อถึงเวลาอบรมก็ถือว่ามาจากแหล่งเดียวกัน บรรพบุรุษเดียวกัน ก็อบรมพร้อมกันเป็นภาษาจีน ในการอบรมแต่ละรุ่น จะมีจำนวน 50-ท่านบ้าง 70-ท่านบ้าง เราได้จัดการบวชอย่างนี้ติดต่อกันมาหลายปี ปีละสองครั้งบ้าง สามครั้งบ้าง
 
        เนื่องจากในปีนี้ มีผู้สมัครเข้ามาถี่ขึ้นมากขึ้น และเพื่อความสะดวกในการอบรม สะดวกทั้งผู้เข้ารับการอบรม สะดวกทั้งพระอาจารย์ที่เข้ามาควบคุมดูแลทำการสอน จึงจัดเป็นรุ่น ถ้าจะว่าไปแล้ว คือ จัดให้มีการบวชทุกเดือน (ครั้งนี้เป็นครั้งแรก เป็นรุ่นพิเศษที่จะจัดบวชในแต่ละเดือนโดยเริ่มตั้งแต่เดือนนี้ เป็นต้นไป)
 
        ในการอบรมครั้งนี้ พระธรรมทายาทแปดรูป จากสามทวีป ห้าประเทศ จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก สาเหตุที่หลวงพ่อปลื้มใจก็คือ...
 
ประการแรก พระธรรมทายาทรุ่นนี้มากันจากสามทวีป ห้าประเทศ ตรงนี้ถ้าเราฟังแล้วปล่อยผ่านก็คงยังไม่เห็นอะไร แต่ว่านี้คืออานุภาพของบุญ ที่กล่าวเช่นนี้ เนื่องจากพระธรรมทายาททั้งแปดรูปนี้ ถ้าจะว่าไปแล้ว...นี่ไม่ใช่ภพชาติแรกที่ท่านมาบวชพระ ท่านคงบวชมาหลายภพหลายชาติแล้ว ส่วนจะเคยบวชกันมาแล้วกี่ชาติ หลวงพ่อคงบอกไม่ได้ แต่ทว่า...แต่ละชาติที่ผ่านมา บุญที่สะสมเอาไว้จากการบวช จากการประพฤติปฏิบัติธรรม มากเข้าๆ ในที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะไปเกิดที่ไหนในประเทศใด แม้อยู่ถึงต่างทวีปต่างประเทศ แม้พูดภาษาไทยไม่ได้ แม้นับถือศาสนาอื่น เพราะเกิดในประเทศที่ไม่มีพระพุทธศาสนา จึงนับถือศาสนาตามท้องถิ่น ตามบิดามารดาของตน เนื่องจากยังไม่พบพระพุทธศาสนา แต่เมื่อถึงเวลา บุญในตัวบ่มเต็มที่ บุญในตัวก็จะเตือนให้มุ่งหน้าสู่ประเทศไทย เพื่อมาบวช และเฉพาะเจาะจงด้วยว่า...ต้องวัดพระธรรมกาย พระอุปัชฌาย์ต้องวัดราชโอรสาราม...พระเดชพระคุณพระธรรมกิตติวงศ์ หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ของพวกเรา ซึ่งท่านเมตตาพวกเรามาก
 
 
พระเดชพระคุณพระธรรมกิตติวงศ์
(ทองดี สุรเตโช ป.ธ.9 ,ราชบัณฑิต)
 
        การบวชพระธรรมทายาทนานาชาติแต่ละรุ่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ พระเดชพระคุณพระธรรมกิตติวงศ์ ท่านรับภาระให้หมด เพราะนอกจากท่านจะเชี่ยวชาญภาษาไทย ภาษาบาลี ซึ่งเก็บรวบรวมธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้แล้ว (ท่านเป็นพระภิกษุรูปเดียวในประเทศไทยที่เป็นราชบัณฑิต)_ท่านยังได้ไปสร้างวัดในต่างประเทศอีกด้วย หลายๆครั้งเวลาที่หลวงพ่อเดินทางไปทางประเทศ ก็ได้ไปเจอพระเดชพระคุณพระธรรมกิตติวงศ์ในต่างประเทศเช่นกัน
 
        จากการที่ พระเดชพระคุณพระธรรมกิตติวงศ์ ได้ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในหลายๆประเทศ บางครั้งท่านก็เดินทางไปถึงตะวันออกกลาง เพราะว่ากิตติศัพท์-เกียรติคุณของท่านแผ่ไปกว้างไกล ประเทศอิหร่าน ประเทศอียิปต์ ได้อาราธนาให้พระเดชพระคุณพระธรรมกิตติวงศ์ไปเยี่ยมประเทศของเขา เนื่องจากในความเป็นจริงแล้ว ในอดีต...ประเทศเหล่านั้นเคยนับถือพระพุทธศาสนากันทั้งประเทศมาก่อน ที่เขาเชื้อเชิญท่านไปก็เพราะว่าเวลาที่เขาสร้างพิพิธภัณฑ์บ้าง เวลาที่เขาประชุมเกี่ยวกับศาสนานานาชาติบ้าง เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของในย่านนั้นบ้าง ก็จะมีพระพุทธศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย พระเดชพระคุณพระธรรมกิตติวงศ์ในฐานะที่เป็นราชบัณฑิตจึงได้รับอาราธนาไปแสดงธรรม แม้ในประเทศที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา เหล่านี้ด้วย
 
ประการที่สอง เนื่องจาการบวชในครั้งนี้เป็นการบวชช่วงสั้น และพื้นฐานทางขนบธรรมเนียมประเพณีในประเทศไทยกับประเทศของแต่ละท่าน ก็มีความแตกต่างกันอยู่มาก จริงอยู่...เป้าหมายในการบวช ก็เพื่อการสร้างบุญสร้างบารมี แต่ว่าในการที่จะเก็บเกี่ยวบุญ เก็บเกี่ยวความรู้-ความดีอันเกิดจากบวชในครั้งนี้ ซึ่งเป็นช่วงสั้น อีกทั้งยังต่างภาษาอีกด้วย ทำอย่างไร...จะเก็บเกี่ยวบุญให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โจทย์นี้จึงไม่ง่าย แต่ก็สอบผ่านกันแล้ว
 
        ด้วยเหตุสองประการดังกล่าวมานี้ หลวงพ่อจึงปลื้มใจ จึงต้องนำมาเล่าให้พวกเราฟัง เพื่อว่าพวกเราจะได้อนุโมทนาบุญร่วมกัน ยิ่งกว่านั้น...ก็อยากจะให้เป็นแนวทางกับพวกเราที่อยู่ต่างประเทศ ในเวลาที่ถูกซักถามเกี่ยวกับเรื่องของการบวช เกี่ยวกับเรื่องของการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ว่า...หากมีผู้ที่บวช หรือปฏิบัติธรรมในช่วงสั้นๆ เราควรจะนำประเด็นใดมาอธิบาย เพื่อให้เขารับได้ง่ายและมีกำลังใจที่จะนำไปประพฤติปฏิบัติกันต่อไป ดังนี้...
 
        ในพระพุทธศาสนา ประเด็นใหญ่ในการเรียนการสอน คือ การพยายามที่จะสอนให้ทุกคนรู้จักตัวเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เพราะนั่นคือความปลอดภัยในการดำเนินชีวิตของตนเอง เรื่องอื่นเอาไว้ก่อน เราจะรู้จักคนทั้งโลกอย่างดีอย่างไรก็ตาม แต่ว่าหากยังไม่รู้จักตัวเองให้ชัดๆ...เป็นอันตราย ตรงนี้...ก็ขอฝากเอาไว้กับพวกเราทุกคน ขอย้ำว่า...ประเด็นสำคัญในการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ สิ่งแรกที่ต้องรีบรู้ คือ ต้องรีบรู้จักตนเองให้ดีที่สุดและละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตรงนี้มีความสำคัญมาก ถ้าไปเช่นนั้นแล้วอันตรายจะเกิดขึ้น
 
การรู้จักตัวเองให้เร็วที่สุดและเอียดที่สุด
 
ประการแรก คนเรานั้น ประกอบด้วย กายและใจ พวกเราได้ฟังตรงนี้แล้วอาจมีความคิดว่า “ก็รู้กันแล้วทั้งโลกว่าคนเราประกอบด้วยกายและใจ”_ต้องบอกว่าอย่าเข้าใจผิดอย่าทึกทักอย่างนั้น รู้กันไม่หมดทั้งโลกหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม้แต่แพทย์ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับชีวิตของคนก็ดี แม้แต่ครูบาอาจารย์ที่สอนศาสนาบางศาสนาก็ดี ทั้งๆที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ในบางกลุ่มบางหมู่ (และหลายๆหมู่)_ยังเชื่อว่า คนมีแค่กายเท่านั้นไม่มีใจ ตรงนี้ต้องรับรู้กันไว้ด้วย เผื่อว่าเวลาอธิบายแก่ผู้ที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนามาก่อน หรือมาจากประเทศที่พระพุทธศาสนาแผ่ขยายไปน้อยเต็มที เขาไม่รู้ว่า...คนเราประกอบไปด้วยกายและใจ ดังนั้นจึงต้องทำความเข้าใจให้เขาตั้งแต่ต้น
 
        สาเหตุที่แพทย์หลายๆท่าน ไม่เชื่อว่ามีใจ เนื่องจากเขาเข้าใจว่า สมองทำหน้าที่ทั้งคิดทั้งจำ ฯลฯ เพราะฉะนั้น เมื่อสมองเป็นส่วนหนึ่งของกาย จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีใจ ตรงนี้ก็ไม่ได้ตำหนิอะไรเขา เพียงแต่ว่า...ต้องการบอกว่าพวกเราโชคดีแล้วที่รู้ว่าคนเราประกอบด้วยการและใจ นี้เป็นบุญของพวกเรา ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น ตั้งแต่เรายังนอนเปลอยู่ เราก็ได้ยินคำว่า ใจ มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก นี้เป็นพื้นฐานทางธรรมะที่พวกเราโชคดีที่ได้มา เพราะเราเกิดในเมืองพุทธ
 
        กายของคนเรา ประกอบด้วยธาตุสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แต่บางท่านที่ได้รับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์มามาก ก็กล่าวว่า “พระพุทธศาสนามีความรู้แค่แบ่งธาตุได้เพียงสี่อย่างเท่านั้นหรือ”_ตรงนี้ขออธิบายว่า ที่พระพุทธศาสนาแบ่งเป็นธาตุสี่นั้น ไม่ใช่แบ่ง ต่ออีกไม่ได้ แต่ว่าไม่มีความจำเป็น แบ่งเพียงธาตุสี่ เพื่อนำมาใช้เพียงอธิบายธรรมะ ก็เพียงพอแล้วไม่ต้องไปแยกละเอียด นี่ไม่ใช่วิชาโลหะวิทยา ไม่ใช่วิชาเภสัชวิทยา เพราะฉะนั้นแยกเพียงแค่สี่ธาตุก็เพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริง พวกเราอาจจะไม่ทราบว่าในพระพุทธศาสนาแบ่งธาตุออกไปเป็นพันๆธาตุทีเดียว แต่เป็นธาตุที่อยู่ในใจ
 
        ธาตุสี่ในตัวของมนุษย์นั้นไม่บริสุทธิ์ เมื่อประกอบขึ้นมาเป็นเซลเล็กๆในร่างกายจึงทำให้ร่างกายเป็นรังของโลก เมื่อร่างกายเป็นรังของโลก เซลเล็กๆที่ประกอบด้วยธาตุสี่ซึ่งไม่บริสุทธิ์ จึงตายไปประมาณสามร้อยล้านเซลต่อนาที และไม่ใช่เซลเริ่มตายเมื่อคลอดมาแล้ว แต่ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาเซลก็เริ่มตายอย่างนี้แล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้ หากปล่อยให้เซลตายไปเรื่อยๆ เดี๋ยวจะตายทั้งตัว เพราะฉะนั้น จึงถูกบังคับให้หาธาตุสี่จากภายนอก นำเข้ามาเติม นำเข้ามาซ่อมแซม จึงจะอยู่ได้
 
เราหายใจ เพื่อจะเอาธาตุลมเข้ามาเติม
 
เราดื่มน้ำ เพื่อจะเอาธาตุน้ำเข้ามาเติม
 
เรากินข้าว เพื่อจะเอาธาตุดินเข้ามาเติม
 
เราสวมใส่เสื้อผ้า เพื่อจะเอาธาตุไฟเข้ามาเติม
 
        แต่เนื่องจาก ธาตุสี่ที่นำมาเติมจากข้างนอกดังที่กล่าวมาแล้วนี้ก็ไม่บริสุทธิ์ เซลของเราก็ยังคงตายต่อไปอีก จึงต้องคอยเติมธาตุสี่กันไปเรื่อยๆ เราต้องมองภาพตรงนี้ให้ชัดๆ
 
        ใจของคนเรา ก็เป็นธาตุ แต่เป็นธาตุที่ละเอียด และมีอำนาจติดตัว คือ มีความสามารถในการรู้ เป็นธาตุรู้อยู่ในตัวคน ทำให้ธาตุสี่ที่อยู่ในกายมีชีวิตชีวา แต่ใจซึ่งเป็นธาตุรู้อยู่ในตัวนั้นก็ไม่บริสุทธิ์ จึงมีการเกิดการดับอยู่ตลอดเวลา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสสอนว่า ใจของคนเรามีการเกิดการดับ...ล้านล้านครั้งต่อลัดนิ้วมือเดียว (ลัดนิ้วมือเดียว คือ ช่วงเวลาที่งอนิ้วแล้วยืดออกไป)_ตรงนี้ก็ขอให้พวกเราจดจำไว้ เพื่อเป็นมรณานุสติ
 
        ใจไม่บริสุทธิ์ เนื่องจากมีกิเลสฝังอยู่ในใจ ตั้งแต่วันที่เราเกิดมา กิเลสก็เข้ามาอยู่ในใจของเราทันทีที่เราคลอดออกมาจากครรภ์มารดา บ่อนทำลายใจของเราเรื่อยมานับแต่วินาทีนั้น
 
        กิเลส ก็เป็นธาตุอย่างหนึ่งเช่นกัน แต่เป็นธาตุที่สกปรกและเป็นเป็นพิษ เมื่อไปอยู่ในใจของเราตั้งแต่เกิด ใจของเราจึงไม่บริสุทธิ์ กิเลสไม่มีชีวิต อุปมาได้กับสนิมเหล็ก แม้ไม่มีชีวิตแต่กัดเหล็กได้ ฉันใด กิเลสแม้ไม่มีชีวิต แต่ก็สามารถบ่อนทำลายใจให้เดือดร้อน ให้สกปรกได้ ฉันนั้น ไม่เพียงเท่านั้น กิเลสยังทำลายใจได้เหมือนกรดเหมือนกันด่างกัดเนื้อของเรา บางครั้งก็บีบคั้นเราได้ด้วย
 
ประการที่สอง รู้เรื่อง...กฎแห่งกรรม ในเรื่องกฎแห่งกรรมนี้ ก็ขอฝากให้พวกเรารับทราบด้วยว่า บัดนี้แม้ในศาสนาอื่นก็รับรู้ไปเรียบร้อยแล้ว ตรงนี้ก็เป็นผลของการที่พระในพระพุทธศาสนา และชาวพุทธ ที่ได้ช่วยกันพูดช่วยกันอธิบาย ตกทอดเป็นร้อยเป็นพันปี คำว่า กฎแห่งกรรม คำว่า กรรม ก็เข้าไปอยู่ในศาสนาอื่นกันมากแล้ว ดังนั้น ใครที่มีส่วนในการทำให้ชาวโลกรู้จักคำว่า กรรม มากน้อยเท่าไหร่ก็ให้ได้บุญไปตามส่วนเท่านั้น หลวงพ่อขออนุโมทนา
 
 
        แต่สิ่งที่บางครั้งเราไม่ได้เฉลียวใจคิด คือ มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ ทุกอย่างเรามาเรียนรู้กันในภายหลังทั้งสิ้น และสิ่งที่ต้องระมัดระวัง คือ บางสิ่งที่รู้นั้น ปรากฏว่ารู้ผิดๆด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นวิชาการด้านใด จึงมีการเปลี่ยนทฤษฎีกันอยู่เรื่อยๆ ในเรื่องนี้หลวงพ่อมีตัวอย่างมาเล่าให้ฟัง...
 
เรื่องแรก หลวงพ่อยังจำได้ว่า เมื่อตอนที่หลวงพ่อเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ได้มีความรู้จากยุโรปและอเมริกาว่า...การกินไข่ที่จะให้คุณค่าทางอาหารได้เต็มที่ ต้องกินไข่กึ่งสุกกึ่งดิบ ด้วยเหตุนี้ การกินไข่ลวกจึงได้เกิดขึ้นในประเทศไทย และไข่ทอดไข่เจียวที่สุกๆ จึงถูกตำหนิว่าบรรพบุรุษของคนไทยไม่มีความรู้ ไปทำให้ไข่สุก ครั้นพอหลวงพ่อเรียนในระดับอุดมศึกษา กลับมีการประกาศใหม่ว่า ไข่ลวกเป็นเหตุให้เกิดมะเร็ง
 
เรื่องที่สอง เคยมีนักวิทยาศาสตร์ทางด้านโภชนาการกล่าวว่า คนไทยทำลายคุณค่าทางอาหารที่มีอยู่ในไข่ ด้วยการนำหอมซอยใส่ลงไปด้วย ทำให้ไข่เสียคุณภาพไปหมด แต่ครั้นเวลาผ่านมาก็มีการประกาศจากนักวิชาการกลุ่มเดิมว่า หอมซอยที่ใส่ลงไปในไข่นั้น เป็นตัวต่อต้านคอเลสเตอรอล ทำให้เส้นเลือดไม่อุดตัน
 
เรื่องที่สาม ในช่วงที่หลวงพ่อเรียนในระดับอุดมศึกษา เคยมีการกล่าวว่า อาหารของคนไทยนั้นแย่ เพราะนิยมใส่วัตถุดิบที่มีเส้นใยสูง เช่น ตะไคร้ ข่า ใบมะกรูด รวมทั้ง ก้านพริก และก้านกะเพรา ซึ่งย่อยยาก อีกทั้งคุณค่าทางอาหารก็ไม่มี แต่ต่อมา มีการค้นพบว่า อาหารของคนไทยดังกล่าว มีส่วนช่วยในการทำความสะอาดลำไส้ มีส่วนช่วยในการขจัดไขมันที่เกาะอยู่ตามผนังลำไส้ได้ดี
 
        ตัวอย่างที่ยกมานี้ เป็นเครื่องยืนยันว่า บรรพบุรุษของเรามีความรู้ในเรื่องโภชนาการไม่ได้น้อยหน้าใคร ตรงนี้อย่าปล่อยผ่าน เพราะในสมัยนั้น ไม่มีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่จะมาใช้ตรวจสอบคุณภาพของอาหาร แล้วปู่ย่าตาทวดของเราใช้อะไร จึงมาบอกว่าสิ่งเหล่านี้ดี ทั้งๆที่เราเพิ่งจะได้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาแยกย่อยอาหารต่างๆ เมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ซึ่งก็ได้มาจากทางยุโรปและอเมริกา ที่ได้เคยแนะนำให้เอาอาหารที่ปู่ยาตาทวดของเราแนะนำไปโยนทิ้ง แต่มาวันนี้กลับมาบอกว่ามีประโยชน์
 
        ขอฝากไว้ว่า บรรพบุรุษของเราสามารถที่จะรู้คุณสมบัติของอาหารได้ลึกซึ้งขนาดนี้ อาจเป็นเพราะท่านมีความสังเกตในระดับดีเยี่ยม หรืออาจจะได้อาศัยพระภิกษุในพระพุทธศาสนาทั้งหลายที่ท่านฝึกสมาธิ(Meditation)มาดี จนกระทั่งเกิดญาณทัศนะ มีหูทิพย์ตาทิพย์ไปมองเห็นอะไรที่เป็นกลไกอยู่ข้างในได้ชัดเจน แล้วนำมาอบรมสั่งสอนลูกหลาน
 
        ด้วยเหตุที่ คนเราเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ ทุกอย่างต้องมาเรียนรู้ในภายหลังทั้งสิ้น แต่ความรู้ที่เกิดขึ้นในภายหลังนั้น ก็มีทั้งรู้ผิดและรู้ถูก และสิ่งที่รู้ถูกก็ไม่แน่ว่าอาจจะถูกในด้านหนึ่งแต่ผิดในอีกด้านหนึ่ง เพราะฉะนั้น ขอให้เราร่ำเรียนเขียนอ่านกันด้วยความระมัดระวัง ได้รับข่าวสารอะไรมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรตามที่ไม่ตรงกับที่ความรู้ที่เรามีแต่เดิม ขออย่าปฏิเสธหรือยอมรับในทันที ต้องไปค้นคว้าดูด้วยว่า สิ่งเหล่านี้ขัดต่อความรู้ในพระไตรปิฎกหรือไม่ ให้ยึดพระไตรปิฎกเป็นเกณฑ์ เพราะความรู้ในพระไตรปิฎกเป็นความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นความรู้ของพระอรหันต์ เป็นความรู้ของผู้หมดกิเลสแล้ว เป็นความรู้ที่สรุปแล้ว เป็นความรู้ที่ไม่ต้องไปเสียเวลาค้นคว้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นคว้ามาให้ พระอรหันต์ได้ค้นคว้ามาให้ จากญาณทัศนะที่บริสุทธิ์
 
        ถ้าเราจะค้นคว้า ให้ค้นคว้าในลักษณะที่ว่าไปพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไร พระอรหันต์กล่าวไว้อย่างไร ในพระไตรปิฎก เราไปปฏิบัติตามก่อน แล้วเราจะพบว่าจริงทุกครั้ง เพราะความรู้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ความรู้ที่พระอรหันต์ให้ไว้ ในพระไตรปิฎกนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้จริง พระอรหันต์รู้จริง และไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะมาหลอกพวกเรา
 
        ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ความรู้ต่างๆนั้น เราจะต้องมาหากันในภายหลัง เราจะเห็นว่ากว่าเราจะพบว่า ความรู้อะไรผิดอะไรถูก แต่ละเรื่อง...ก็ยาก แม้มีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมก็ยังยาก แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่หนักหนาสาหัสกว่านั้น คือ มันยากจริงๆที่จะรู้ว่า อะไรดีอะไรชั่ว โลกนี้มีมิเตอร์สำหรับวัดสิ่งต่างๆมากมายๆ อยากจะรู้อะไรก็มีมิเตอร์มาวัด อยากจะรู้ความยาวก็มีอุปกรณ์มาวัด เป็นฟุต เป็นหลา เป็นศอก เป็นคืบ อยากจะรู้น้ำหนักก็มีเครื่องมาชั่งเป็นปอนด์ เป็นกิโลกรรม เป็นตัน อยากจะรู้ปริมาตรก็มีอุปกรณ์มาวัด เป็นลิตร เป็นถัง เป็นเกวียน แม้แต่ไฟฟ้าก็วัดได้ แม้หัวใจมีความดันท่าไหร่ ความดันในเส้นเลือดมีเท่าไหร่ ก็วัดได้หมด แต่ไม่มีเครื่องมือสำหรับวัดความดีความชั่ว
 
        เมื่อเราไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว เราก็ทำทั้งดีทำทั้งชั่ว ผลของการกระทำตรงนี้เป็นอันตราย กฎของกรรม คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
 
ได้ดี คือ เป็นสุข เป็นความเจริญ
 
ได้ชั่ว คือ เป็นทุกข์ เป็นความเสื่อม
 
        ขอยกตัวอย่างในการประกอบอาชีพ
 
ประกอบอาชีพสุจริต
ประกอบอาชีพไม่สุจริต
หมายเหตุ
1.ได้เงิน
1.ได้เงิน
ไม่ว่าสุจริตหรือไม่ก็ได้เงินมาเหมือนกัน
2.ได้ความสุข
2.ได้ความทุกข์
บางคนทำความชั่วแต่เขารู้สึกว่าเขาเป็นสุข อย่างนี้ก็พอจะมีเหมือนกัน
3.ได้บุญ
3.ได้บาป
 
4.ได้นิสัยดีๆ
4.ได้นิสัยเลวๆ
เราจะรู้ด้วยตนเองว่านิสัยของตนเองจะดีขึ้นหรือเลวลง
5.ได้ความเจริญ
5.ได้ความเสื่อม
ความเจริญความเสื่อมบางทีต้องรอเวลา
 
 
        ในเรื่องของได้นิสัยดีหรือนิสัยเลว เป็นเรื่องที่ต้องสังเกตกันให้ดี สำหรับในข้ออื่นๆนั้นพูดไปแล้ว อาจมีการโต้เถียงกันมาก
 
        คนเรานั้น...
 
1.กว่าจะรู้ว่าตนเองมีนิสัยอะไรที่ไม่ดี เป็นเรื่องที่ยากมากๆ
 
2.กว่าจะหาใครมาบอกนิสัยที่ไม่ดีของเรา เป็นเรื่องที่ยากมากๆ
 
3.แม้มีใครมาบอกนิสัยที่ไม่ดีของเราให้แล้ว การที่เราจะยอมรับได้นั้น เป็นเรื่องที่ยากมากๆ
 
4.เมื่อรู้ตัวว่ามีนิสัยไม่ดีอย่างไรแล้ว จะหาวิธีแก้นิสัยที่ไม่ดีนั้น เป็นเรื่องที่ยากมากๆ
 
5.แม้พบวิธีแก้ไขแล้ว จะมีกำลังใจที่จะแก้ไขนิสัยที่ไม่ดีนั้น เป็นเรื่องที่ยากมากๆ
 
6.แม้มีกำลังใจที่จะแก้นิสัยไม่ดีแล้ว จะมีกำลังกายที่จะแก้ไขนิสัยไม่ดีนั้น เป็นเรื่องที่ยากมากๆ
 
7.แม้มีกำลังใจและกำลังกายที่จะแก้นิสัยไม่ดีของตนเองแล้ว จะมีโอกาสที่จะแก้ไขนิสัยไม่ดีนั้น เป็นเรื่องที่ยากมากๆ
 
8.แม้ที่สุด จะมีโอกาสที่จะแก้นิสัยไม่ดีของตนเองแล้ว กว่าจะแก้ได้ต้องใช้เวลา และสิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวย อีกด้วย
 
(สนใจอ่านเพิ่มเติมในเรื่องของการแก้นิสัยไม่ดีของตนเองได้ที่ เข้าพรรษา ช่วงเวลาแห่งการแก้ไขตัวเอง)
 
หลวงพ่อเคยปรารภกับคุณยายอาจารย์ว่า “คุณยาย...พระก็พยายามแก้ไขตัวเองมาเป็นปีๆแล้ว ทำไมยังไม่หมด”
คุณยายอาจารย์ตอบว่า “ท่าน...ชาติหนึ่งแก้นิสัยไม่ดีได้หนึ่งอย่างก็ดีมากแล้ว”
 
        คนเราลองได้มีนิสัยไม่ดีเกิดขึ้นแล้ว กว่าจะแก้ได้แต่ละนิสัย หมดไปแล้วชาติหนึ่งยังแก้ไม่ตกก็มี ส่วนนิสัยไม่ดีที่เหลือ ก็ต้องไปแก้ในชาติหน้า...หากมีโอกาสได้แก้ หลวงพ่อกลัวแต่ว่า...จะหมดโอกาส...ยมบาลจะมาช่วยแก้เสียก่อนเท่านั้น ดังนั้น สิ่งที่อันตราย คือ นิสัยไม่ดีที่จะติดตัวเราไป นิสัยไม่ดีนั้นแก้ยาก และจะนำความทุกข์มาให้เราทุกลมหายใจเข้าออกอีกด้วย เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะต้องรู้เร็วที่สุดไม่น้อยไปกว่าการรู้จักตัวเองก็คือ...รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว อะไรผิดอะไรถูก มิฉะนั้น เดี๋ยวจะสายเกินการ
 
        แต่ว่าในชีวิตจริงของเรานั้น กว่าคุณพ่อคุณแม่จะเคี่ยวเข็ญให้เรารู้ว่าอะไรดี ตัดสินอย่างไร อะไรชั่ว ตัดสินอย่างไร หรือกว่าที่พระภิกษุในพระพุทธศาสนาจะบอกเราได้ชัดเจนว่า ศีล เป็นเครื่องตัดสินดี-ชั่ว อีกทั้งศีลก็มีหลายระดับ (ศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบ ศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด)_รวมทั้งยังมีธรรมะที่ละเอียดลึกซึ้งมาช่วยตัดสินดี-ชั่วให้เรา ด้วยเหตุนี้...สิ่งที่เกิดขึ้น คือ กว่าเราจะแยกออกว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนชั่ว เราก็ทำตามใจตัวเองมามากมาย จึงเกิดนิสัยที่ไม่ดีในตัวของแต่ละคนไม่น้อยเลย และนี่คือที่มาของสาเหตุที่ว่า...ในชาตินี้ ทั้งๆที่เราตั้งใจทำความดีมาสารพัดอย่างแล้ว บุญก็ทำ ศีลก็รักษา สมาธิก็ปฏิบัติ แต่ทำไม บางครั้งยังมีเคราะห์กรรมมาทำให้ต้องเสียทรัพย์ก็มี ต้องเสียใจก็มี ต้องเสียชื่อเสียงก็มี
 
        เราไม่ต้องสงสัย หรือไม่ต้องไปดูเลยว่าชาติที่แล้วทำอะไรไม่ดีมา เอาเพียงแค่ชาตินี้...ตั้งแต่เล็กจนโตมาถึงปัจจุบัน เราเคยทำอะไรที่ไม่ดีมาบ้าง ลองไปจดบันทึกดู เราจะพบว่า...บางทีสมุดบันทึกเป็นร้อยหน้ายังไม่พอให้เราจดบันทึก กว่าที่เราจะรู้ว่า ดี-ชั่ว ตัดสินอย่างไร เราก็ทำตามใจตัวเองกันมามาก จึงเพาะนิสัยไม่ดีมากันคนละไม่น้อย ดังนั้น แม้ขณะนี้เรากำลังตั้งใจทำความดีอยู่ แต่ความดีที่ตั้งใจทำนั้นยังไม่ทันที่จะออกผล กรรมไม่ดี (จากนิสัยไม่ดี)_ที่เคยทำไว้ ชิงมาออกผลก่อน จึงทำให้เกิดความทุกข์กับเราดังที่กล่าวมาแล้ว ทำให้หลายๆคนเกิดความสงสัยว่า ทำไม...ทำดีแล้วไม่ได้ดี
 
        เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ประสบความเสียหาย หรือได้รับความเสียใจต่างๆ อย่าเพิ่งไปโทษใคร นั่งนิ่งๆทำใจใสๆ ทำใจเป็นกลาง เดี๋ยวเราก็จะเห็นได้ว่า...เราเคยทำอะไรไว้บ้าง จะได้ไม่ต้องโทษว่า...ทำไมบุญไม่ช่วย ความจริงแล้วที่ได้รับความเสียหาย ได้รับความเสียใจอย่างนั้นอย่างนี้ ผลเต็มๆที่ต้องได้รับยังไม่มาถึง ที่ได้รับอยู่เป็นเพียงเศษกรรมที่เคยทำไม่ดีเอาไว้เท่านั้น ทั้งนี้เป็นเพราะบุญที่เคยทำไว้ ช่วยปะทะเอาไว้มากแล้ว จึงได้รับผลเพียงแค่นี้ ดังนั้น เราไม่ควรที่จะต้องไปร้องไห้หรือเสียใจ เราควรจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่ได้รับความเสียหายความเสียใจเพียงแค่นี้ ถ้าเรามองด้วยใจเป็นธรรมอย่างนี้ ดูตัวเองชัดๆอย่างนี้ เราจะสบายใจ เราจะไม่มีคำว่า ท้อใจ เราจะไม่มีความสงสัยในเรื่องบุญเรื่องบาป มีแต่จะเร่งสร้างบุญยิ่งๆขึ้นไป
 
        กล่าวโดยสรุป พระพุทธศาสนานั้น เรื่องใหญ่สอนให้รู้จักตัวเองเร็วๆ อย่างน้อยให้รู้ว่า คนเรานั้น ประกอบด้วยกายและใจ
 
        ศัตรูของกาย คือ โรคร้ายทั้งหลาย โรคร้ายทั้งหลายมาเล่นงานเราได้ เพราะธาตุสี่ (ธาตุในตัวของเรา)_ไม่บริสุทธิ์ สาเหตุที่ธาตุสี่ไม่บริสุทธิ์ เพราะใจไม่บริสุทธิ์ ใจทำหน้าที่ควบคุมกาย เมื่อใจไม่บริสุทธิ์ ธาตุในกายก็พลอยไม่บริสุทธิ์ไปด้วย สาเหตุที่ใจไม่บริสุทธิ์ เพราะกิเลสไปแทรกอยู่ในใจ ตั้งแต่ข้ามชาติมาก็มี ในชาตินี้ก็มี...กิเลสไปแทรกอยู่ในใจตั้งแต่เกิด มันทำให้ใจไม่บริสุทธิ์ แล้วมันก็บังคับให้ธาตุในตัวไม่บริสุทธิ์ โดยบังคับให้กายไปทำสิ่งไม่ดี ธาตุในตัวจึงพลอยไม่บริสุทธิ์ตามใจไปด้วย ธาตุสี่ในตัวจะบริสุทธิ์ได้ ต้องกำจัดกิเลสให้หมดไปจากใจ กิเลสหมดไปจากใจเมื่อไหร่ ธาตุสี่ในตัวก็จะได้บริสุทธิ์เสียที ด้วยเหตุนี้ หน้าที่ของเรา คือ การกำจัดกิเลสให้หมดไป นั่นเอง
 
        ศัตรูตัวจริงของเรา คือ กิเลสในตัวของเรา ซึ่งคอยบังคับให้เราคิดร้ายๆ เราจึงพูดร้ายๆ เราจึงทำร้ายๆ แล้วบาปก็เกิด นิสัยไม่ดีก็เกิดขึ้น แล้วนิสัยไม่ดีก็จะกลายเป็นผังร้ายๆให้เราคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี ทำให้เสียหายแก่ตัวเองเรื่อยไป รอบแล้วรอบเล่า ชาติแล้วชาติเล่า สาเหตุที่มีคนมาร้ายกับเรา ก็เพราะกิเลสในตัวของเขาบังคับ ถามว่า...ทำไมเขาไม่ไปร้ายกับคนอื่น ตอบได้ว่า...บางครั้งเราอาจจะไปลุยเขามาก่อน เขาก็เลยมาคิดบัญชีกับเรา แม้ชาตินี้ไม่เคยทำอะไรกันเลย พอเจอหน้าก็ลุยเราแล้ว ก็ต้องถามตัวเองว่า ชาติที่แล้วเราจะจำได้หรือไม่ว่า...เราไปลุยใครไว้บ้าง ก็พอสมกับร้ายๆของเรานั่นแหละ ขนมจีนกับน้ำยามันพอกัน มันก็เลยถูกเขาลุยบ้าง
 
        จากที่กล่าวมาแล้วว่า หน้าที่ของเรา คือ การกำจัดกิเลสให้หมดไป
 
ถามว่า...เราจะกำจัดกิเลส แต่ยังไม่เห็นกิเลส แล้วจะไปกำจัดได้อย่างไร เปรียบเหมือนนักมวย ยังไม่เห็นคู่ชก แล้วจะไปต่อยคู่ชกให้หมอบนั้น จะทำได้อย่างไร
 
ตอบได้ว่า...พอจะมีวิธี กล่าวคือ แม้เราไม่สามารถเห็นกิเลสได้ในขณะนี้ เพราะแค่จะเห็นใจของตัวเองยังเป็นเรื่องยาก การที่จะไปเห็นกิเลสที่อยู่ในใจยิ่งเป็นเรื่องยากมากๆ ขออุปมาให้เข้าใจง่ายๆว่า ปู่ย่าตาทวดของเราไม่มีกล้องจุลทรรศน์ไปส่องดูว่า ตัวเชื้อโรคมันเป็นอย่างไร แต่สามารถรักษาคนไข้ให้หายป่วยได้ เพราะรักษาตามอาการป่วยอาการไข้นั้น แล้วหายารักษาที่พอเหมาะที่จะรักษาอาการเหล่านั้น ในที่สุดก็หายป่วยหายไข้ได้ สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ ในทำนองเดียวกัน เรามองไม่เห็นกิเลส แต่เรารู้ว่านิสัยไม่ดีนั้นเกิดจากกิเลส ดังนั้น เราต้องฝืนที่จะไม่ทำนิสัยที่ไม่ดี ฝืนด้วยศีล ฝืนด้วยพระวินัย เมื่อทำดังนี้ เราก็จะไม่ทำตามนิสัยที่เคยชิน แม้เราจะมองกิเลสไม่เห็น แต่กิเลสในตัวก็จะลดลงไปมาก แม้จะยังไม่หมดก็ตาม
 
        ต่อเมื่อวันใดวันหนึ่ง เราทำใจหยุดทำใจนิ่งได้แล้ว เห็นพระธรรมกายในตัวแล้ว ค่อยไปดูกิเลสให้ชัดๆ วันนั้นเราจะปราบกิเลสให้สิ้นซาก
 
        การที่เรารักษาศีลกันมาทุกวันนี้ แม้เราจะรู้อยู่ว่า...แม้จะรักษาศีลอย่างไร กิเลสในตัวก็ยังไม่หมดไป แม้จะเคร่งครัดในศีลเพียงใด หรือรักษาศีลในระดับสูงยิ่งๆขึ้นไปเพียงไหน หรือแม้จะรักษาศีลแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน กิเลสก็ยังไม่หมดไป แต่แม้เป็นเช่นนี้ก็ไม่เสียเปล่า เพราะกิเลสได้ลดลงไปมากแล้ว หากเรามองภาพนี้ได้ชัดเจน เราก็จะเกิดกำลังใจที่จะสู้กับกิเลสทั้งๆที่เรายังมองไม่เห็นกิเลส เปรียบเหมือนนักมวยแม้ไม่เห็นตัวคู่ชก แต่พอจะเห็นเงาของคู่ชก ก็พอจะสู้ได้
 
        ถ้าเรารักษาศีล ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรมะ แล้วเราเอาธรรมะเข้ามามองในตัวเองไปตามลำดับอย่างนี้ เดี๋ยวเราก็สามารถสร้างความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ขึ้นมาได้ตามลำดับ กิเลสซึ่งปราบได้ยากแสนยาก ก็ไม่เหลือวิสัยที่เราจะปราบได้ เพราะฉะนั้น การที่เราตั้งใจรักษาศีลมาตลอดระยะเวลาที่เรามาเข้าวัด แม้ผลด้านอื่นยังมองไม่เห็น แต่ก็ขอให้รู้กันเถิดว่า กิเลสในตัวของเราลดลงไปมากทีเดียว หลวงพ่อก็ขอให้พวกเรามีกำลังใจในการรักษาศีลกันต่อไป
 
        ถ้าเราสังเกต เราจะเห็นว่า นิสัยที่ไม่ดีของคนเรานั้น มันเกิดขึ้นตอนที่เราหา ตอนที่เราเก็บ ธาตุสี่...เอามาเติมให้กับตัวเอง ดังที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า เราต้องเติมธาตุสี่เพื่อนำมาชดเชยให้กับกายของเรา ในความเป็นจริง...เราไม่ได้นำธาตุสี่มาเติมโดยตรง ตัวอย่างเช่น เราเติมธาตุดิน โดยการกินอาหาร หรือ ในการเติมธาตุน้ำ แทนที่จะนำน้ำมาเติมโดยตรง บางครั้งเราก็มีน้ำมาจากหลายรูปแบบ อาทิ น้ำจากผลไม้ น้ำจากเครื่องดื่มต่างๆ เราเติมธาตุไฟ ผ่านทางเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม กล่าวได้ว่า การเติมธาตุเข้ามาในตัว คือ การนำปัจจัยสี่ในรูปแบบต่างๆมาใช้กับตัวนั่นเอง เติมธาตุสี่ในรูปของ...
 
1.เครื่องนุ่งห่ม
 
2.ข้าวปลาอาหาร
 
3.ที่อยู่อาศัย
 
4.ยารักษาโรค
 
        การที่เราหา เราเก็บ เราใช้ ปัจจัยสี่ดังกล่าวมานี้ จึงบังคับให้เราต้องทำกรรม และกรรมนั้นก็มีทั้งดีและไม่ดี จึงเกิดนิสัยทั้งดีและไม่ดี สรุปแล้วนิสัยทั้งดีและไม่ดีส่วนใหญ่นั้นเกิดจาก...การหาการเก็บการใช้ปัจจัยสี่ของเรานั่นเอง พระวินัยของพระสงฆ์ ศีลของพวกเรา แท้ที่จริงก็มาควบคุมการหาการเก็บการใช้ปัจจัยสี่ เพราะฉะนั้น ขอให้เราเคร่งครัดในการหาการเก็บการใช้ปัจจัยสี่ของเราให้ดี เคร่งครัดได้อย่างนี้ กิเลสในตัวจะลดลงไปเอง กิเลสจะแพ้เราไปเอง ภาพตรงนี้ของให้มองกันให้ชัด
 
        พระวินัยของพระภิกษุ (ศีล 227-ข้อของพระภิกษุ)_รวมทั้งศีลของฆราวาส ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงมาบังคับเรา แต่นี่เป็นการควบคุมตนเองที่จะทำให้กิเลสในตัวลดลง จะทำให้ธาตุสี่ในตัวของเราบริสุทธิ์ขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นการกระทำเพื่อตัวของเราเอง
 
        โครงสร้างของมนุษย์นั้น เมื่อตื่นนอนลืมตาขึ้นมา จะมองออกไปข้างนอก ไม่ได้มองเข้ามาข้างในตัว เมื่อมองออกไปข้างนอกจึงมองเห็นแต่หน้าของคนอื่นแต่ไม่เคยเห็นหน้าของตนเอง ไม่เคยมีใครในโลกนี้ที่เคยเห็นหน้าของตัวเอง ที่เห็น (ในกระจก)_เป็นแค่เงาหน้าเท่านั้น อย่าหลงผิดระหว่างเงาหน้ากับหน้าของตัวเอง เพราะเหตุที่เราเห็นเพียงแค่เงาหน้า ไม่เห็นหน้าของตนเอง จึงเบื่อที่จะพินิจพิจารณาเงาหน้า จึงชอบไปดูหน้าของคนนั้นคนนี้แทน เรื่องก็เลยยุ่ง ดูหน้าคนอื่นเพลินไป บางทีก็ไปจับผิดเขา...คนนั้นก็ไม่ค่อยดีคนนี้ก็ไม่ค่อยดี แต่ไม่เคยดูตัวเองเลยว่า ตัวเองมีอะไรไม่ดีบ้าง มนุษย์จึงมักจับผิดกัน เพราะโครงสร้างบังคับ บวกกับกิเลสด้วย จึงไปกันใหญ่
 
        การฝึกสมาธิ คือ การย้อนกลับมาดูตัวเอง ทันทีที่เราฝึกสมาธิ ในขั้นต้นเราจะหลับตา ไม่มองหน้าใครทั้งนั้น เราจะดูตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ถึงแม้เราจะยังมองไม่เห็นใจของเรา แต่เราก็จะสังเกตพฤติกรรมใจของเรา แล้วควบคุมใจของเราจากการสังเกตนั้น วันหนึ่งใจของเราก็จะนิ่ง แล้วเราจะรู้จักใจของเราอย่างจริงจัง ยิ่งไปกว่านั้นพอใจเรานิ่ง ใจของเราจะสว่างโดยอัตโนมัติ และในตอนนั้น เราก็จะเห็นทั้งใจเห็นทั้งกิเลสได้ด้วย
 
************************
    
ชม Video การรู้จักตัวเองอย่างถูกหลักวิชชา
 


http://goo.gl/3gffo


พิมพ์บทความนี้

ไปหน้าทบทวนฝันในฝัน



บทความอื่นๆ ในหมวด

      กิจกรรมพัฒนาวัดพิชิตปิตยาราม ต.บึงน้ำรักษ์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี
      กิจกรรมพัฒนาวัดอู่ข้าว ต.คลอง 7 จ.ปทุมธานี
      อานุภาพบุญจากการมาสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ตอนที่ 1
      เล่าเรื่องคุณยายฯ ตอน ได้ตึก 18 ล้านแค่เพียงกระพริบตา
      เล่าเรื่องคุณยายฯ ตอน ความทรงอภิญญาของคุณยายฯที่ผมเจอกับตัวเอง
      ประกาศผลสุดยอดสามเณรแสดงธรรมระดับโลก
      เปิดใจสามเณรแชมป์แสดงธรรมระดับภาค ชิงชัยสู่เวทีแสดงธรรมระดับโลก
      ซุปเปอร์บิ๊กบุญ ตักบาตรแสนรูป ครั้งประวัติศาสตร์
      เส้นทางสามเณร สู่เวทีแชมป์เทศน์ระดับโลก
      เล่าเรื่องคุณยาย ตอน เรื่องเหลือเชื่อของการบูชาข้าวพระที่คุณยายฯฝากไว้
      บวชเณรล้านตักบาตรแสน สานฝันคุณยาย สร้างพระแท้
      เล่าเรื่องคุณยายฯ ตอน แค่มองหน้า..ก็รู้ทั้งหมด
      แฝด 4 บวชเณรล้านอ่างทองทำลายสถิติโลก