ขทิรังคารชาดกว่าด้วยเป็นผู้มีจิตใจมั่นคง

ขทิรังคารชาดก เรื่องราวของเศรษฐีหนุ่มแห่งกรุงสาวัตถีผู้มีใจรักในการทำบุญสร้างทานบารมี เขาโดนขัดขวางการสร้างมหาทานบารมีครั้งใหญ่ในชีวิตโดยพญามาร แต่เขากลับเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการสร้างมหาทานครั้งนี้...มาติดตามกันว่า..เขาทำได้หรือไม่? https://dmc.tv/a12216

บทความธรรมะ Dhamma Articles > นิทานชาดก 500 ชาติ
[ 21 ก.ย. 2554 ] - [ ผู้อ่าน : 18256 ]

ชาดก 500 ชาติ

ขทิรังคารชาดก-ว่าด้วยเป็นผู้มีจิตใจมั่นคง

ขทิรังคารชาดก "เป็นเรื่องของเศรษฐีหนุ่มที่มีใจมั่นคง มีความตั้งใจ ตั้งมั่นในตนเอง ในการที่จะสร้างมหาทานบารมี ถึงแม้จะมีอุปสรรคที่ต้องเสี่ยงต่ออันตรายซึ่งอาจจะถึงแก่ชีวิตได้ของเขาก็ตาม เศรษฐีหนุ่มก็หาได้เกรงไม่"

พญามารผู้ที่คอยจ้องขัดขวางในการสร้าง มหาทานบารมีของเศรษฐีหนุ่ม
 
พญามารผู้ที่คอยจ้องขัดขวางในการสร้างมหาทานบารมีของเศรษฐีหนุ่ม
 
    ในสมัยพุทธกาล ครั้งเมื่อท่านอานาถบิณฑิกเศรษฐีได้สร้างเชตะวันมหาวิหารถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ท่านเศรษฐีก็ยังคงเอาใจใส่บำรุงพระภิกษุสงฆ์อยู่อย่างสม่ำเสมอ ทานทั้งหลายที่ท่านบริจาคนั้นมากมายจนมิอาจประมาณค่าได้ ณ ซุ้มประตูที่ 5 ของเรือนมีเทวดามิจฉาทิฐิตนหนึ่ง
 
พระอารามเชตวันมหาวิหารที่ท่านอานาถบิณฑิก เศรษฐีได้สร้างถวายพระพุทธองค์
 
พระอารามเชตวันมหาวิหารที่ท่านอานาถบิณฑิกเศรษฐีได้สร้างถวายพระพุทธองค์
 
    เข้าไปอาศัยอยู่ ทุกครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพุทธสาวกเสด็จผ่านเข้าไปในเรือน เทวดาองค์นี้จะไม่พอใจทุกครั้งเพราะต้องอุ้มลูกลงไปอยู่ยังพื้นดินเนื่องจากมีคุณธรรมต่ำกว่า แต่เทวดาก็ได้แต่เก็บความไม่พอใจนี้ไว้ในใจ ไม่กล้าไปบอกท่านเศรษฐี “ขืนเป็นอย่างนี้บ่อยๆ ก็ไม่ดีเหมือนกัน เอ้..จะหาทางบอกเศรษฐียังไงให้ดูไม่น่าเกลียดดีน่า”
 
เทวดามิจฉาทิฐิต้องอุ้มลูกลงจากซุ้มประตูทุกครั้ง ที่พระพุทธองค์เสด็จมาบ้านท่านเศรษฐี
 
เทวดามิจฉาทิฐิต้องอุ้มลูกลงจากซุ้มประตูทุกครั้งที่พระพุทธองค์เสด็จมาบ้านท่านเศรษฐี
   
    ในคืนหนึ่งมิจฉาทิฐิเทวดาจึงได้แผ่รัศมีปรากฏกายให้บุตรชายของท่านเศรษฐีเห็นพร้อมกับกล่าวว่า “นี่พ่อหนุ่มฝากบอกพ่อของเจ้าเถอะน่ะ ว่าเลิกทำทานซะเถิด แล้วก็ไม่ต้องให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาหลอก จะทำทานไปทำไม ทำไปสมบัติก็หมดไปเปล่าๆ” บุตรชายเศรษฐีได้ฟังเช่นนั้นก็โกรธยิ่งนักที่เทวดาบังอาจดูหมิ่นพระรัตนตรัย 
 
เทวดามิจฉาทิฐิได้ปรากฏกายต่อหน้าบุตรชาย ท่านอานาถบิณฑิกเศรษฐี
 
เทวดามิจฉาทิฐิได้ปรากฏกายต่อหน้าบุตรชายท่านอานาถบิณฑิกเศรษฐี
 
เทวดามิจฉาทิฐิ "ได้รับความเดือดร้อนทุกครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จมายังบ้านท่านอานาถบิณฑิกเศรษฐี เทวดามิจฉาทิฐิจึงมายุยงไม่ให้ท่านเศรษฐีและบุตรทำบุญอีกต่อไป"
 
    และได้ไล่ให้มิจฉาทิฐิเทวดาออกไปจากเรือนทันที “บังอาจมากท่านมาพูดจาเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ออกไปจากเมืองของเราเดี๋ยวนี้นะ” หลังจากนั้นท่านเศรษฐีก็ยังคงเลื่อมใสในคุณของพระรัตนตรัยและหมั่นให้ท่านอยู่เป็นนิจ จนกระทั่งช่วงหนึ่งก็ถึงความยากจนลงโดยลำดับ “เฮ้อ...สมบัติของเราน่ะ เริ่มร่อยหรอลงแล้ว” เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนั้นมิจฉาทิฐิเทวดาจึงได้ถือโอกาส  
 
ท่านอานาถบิณฑิกเศรษฐี ยังคงบำรุงพระภิกษุอย่างสม่ำเสมอ
 
ท่านอานาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างทานบารมีกับพระภิกษุสงฆ์อย่างสม่ำเสมอ
  
    เข้าไปในห้องของท่านเศรษฐีแล้วยุยงให้เลิกทำทาน “เห็นไหม๊ ที่ท่านจนลงเช่นนี้ ก็เพราะว่าท่านมัวแต่ทำทานนั่นไง ทรัพย์สมบัติจึงได้หมดไปเช่นนี้” เศรษฐีเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็ไล่ให้มิจฉาทิฐิเทวดาออกไปจากบ้านทันที “ท่านพูดอย่างนี้ได้อย่างไร อยู่ดีๆ จะให้เราเลิกทำทานไม่มีวันซะหรอก ไป๊..ออกไปจากเรือนข้าเดี๋ยวนี้” เมื่อเป็นเช่นนี้มิจฉาทิฐิเทวดาจึงได้คิดและสำนึกผิด 
   
ท่านอานาถบิณฑิกเศรษฐีเริ่มกลุ้มใจ กับทรัพย์ที่ร่อยหรอลงไปทุกที
 
 
ท่านอานาถบิณฑิกเศรษฐีเริ่มกลุ้มใจกับทรัพย์ที่ร่อยหรอลงไปทุกที
  
    จากนั้นจึงได้ไปหาท้าวสักกะเทวราช ขอร้องให้ท่านช่วยพูดกับท่านเศรษฐีให้ “ท่านท้าวสักกะเทวราช ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด ช่วยไปพูดกันท่านเศรษฐีที ว่าข้านี่สำนึกผิดแล้ว” “ไม่ได้หรอกท่าน ท่านนะได้กล่าวถ้อยคำอันไม่สมควรออกไป ถ้าอยากให้ท่านเศรษฐีให้อภัยท่านละก็ ท่านต้องไปตามทรัพย์สมบัติของท่านเศรษฐีที่หายไปกลับคืนมายังคลังให้หมด
  
เทวดามิจฉาทิฐิยุยงให้ท่านอานาถบิณฑิกเศรษฐี เลิกสร้างทานบารมี
 
เทวดามิจฉาทิฐิยุยงให้ท่านอานาถบิณฑิกเศรษฐีเลิกสร้างทานบารมี
 
    เป็นการทำคุณไถ่โทษ ท่านเศรษฐีน่ะ อาจจะยกโทษให้ก็ได้น่า” เมื่อเทวดามิจฉาทิฐิได้รับเทวองค์การแล้วก็รีบไปตามหาสมบัติจนเรียบร้อย จากนั้นจึงไปขอให้ท่านเศรษฐียกโทษให้ “อือ..คงต้องให้พระบรมศาสดาอดโทษให้แล้ว” วันรุ่งขึ้นเศรษฐีจึงได้นำมิจฉาทิฐิเทวดาไปยังเชตะวันมหาวิหารแล้วกราบทูลเรื่องทั้งหมดให้ทรงทราบ
 
เทวดามิจฉาทิฐิได้เข้าพบท่านท้าวสักกะเทวราช เพื่อกราบทูลความผิดของตน
 
เทวดามิจฉาทิฐิได้เข้าพบท่านท้าวสักกะเทวราชเพื่อกราบทูลความผิดของตน
  
    จากนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสว่า “ดูก่อนคฤหบดี บุคคลผู้กระทำกรรมลามกในโลกนี้ เมื่อกรรมอันเป็นบาปนั้นยังไม่ให้ผล บุคคลผู้นั้นยังได้รับความสุขความเจริญอยู่ ต่อเมื่อใดกรรมอันเป็นบาปนั้นให้ผล ตนจึงได้รับผลแห่งบาปนั้น” เมื่อจบพระคาถาเทวดานั้นก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล
               
ท่านอานาถบิณฑิกเศรษฐีได้พาเทวดามิจฉาทิฐิ เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ณ พระเชตวัน
 
ท่านอานาถบิณฑิกเศรษฐีได้พาเทวดามิจฉาทิฐิเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ณ พระเชตวัน
 
อานาถบิณฑิกเศรษฐี "ได้นำเทวดามิจฉาทิฐิเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา ณ พระอารามเชตวันมหาวิหาาร"
  
    จากนั้นพระบรมศาสดาได้ตรัสยกย่องท่านอาณาถบิณฑิกเศรษฐี ว่าเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัยและมีความเห็นบริสุทธิ์ แล้วจึงตรัสเรื่อง คทิรังคารชาดก ขึ้นดังนี้ ในอดีตกาล ณ กรุงพาราณสี มีชายหนุ่มคนหนึ่งเกิดในตระกูลเศรษฐี ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีราวกับพระราชา เมื่อมีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น ก็เป็นผู้รอบรู้ชำนาญในศิลปะศาสตร์ทั้งปวง สร้างความปลาบปลื้มปีติให้กับเศรษฐีผู้เป็นพ่อเป็นอย่างยิ่ง 
 
เทวดามิจฉาทิฐิฟังโอวาทพระพุทธองค์ จบลงก็บรรลุโสดาปัตติผล
 
เทวดามิจฉาทิฐิฟังพระธรรมเทศนาจบลงก็บรรลุโสดาปัตติผล
 
     “เก่งมากลูกพ่อ ฉลาดอย่างนี้ โตขึ้นเจ้าจะสบาย” “ขอรับท่านพ่อ ลูกอยากโตขึ้นแล้วเก่งอย่างท่านพ่อให้จงได้ขอรับ” “เก่งอย่างเดียวไม่พอนะลูกรัก เจ้าต้องเป็นคนดี ขยันหมั่นเพียรแล้วทำทานบ่อยๆ เหมือนอย่างพ่อด้วยนะ” “ขอรับท่านพ่อ ลูกจะเป็นคนดีขอรับ” แต่แล้ววันหนึ่งเรื่องน่าเศร้าก็เกิดขึ้น เมื่อเศรษฐีผู้เป็นบิดาพลันสิ้นชีวิตลง ชายหนุ่มบุตรชายเศรษฐี
  
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเล่า ขทิรังคารชาดกว่าด้วยผู้มีจิตใจมั่นคง
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเล่า ขทิรังคารชาดกว่าด้วยผู้มีจิตใจมั่นคง
  
     “ท่านพ่อจงไปสู่สุคติเถิด ลูกจะขอเติบใหญ่เป็นคนดี ไม่ให้ท่านพ่อต้องผิดหวังแน่นอน” เศรษฐีหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตนี้ มีน้ำใจดีงาม มีความเมตตากรุณายิ่งนัก ปรารถนาจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้ยากไร้ทั้งหลาย จึงได้สร้างศาลาบำเพ็ญทานเพื่อไว้บริจาคสิ่งของให้ชาวบ้าน ขึ้น 6 แห่ง คือที่ประตูพระนครทั้ง 4 ที่ใจกลางเมือง
  
กรุงพาราณสีซึ่งมีความเจริญรุ่งเรือง ในด้านพุทธศาสนาและเศรษฐกิจ
 
กรุงพาราณสีซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองในด้านพุทธศาสนาและเศรษฐกิจ
 
    และที่ประตูบ้านของท่านเอง เราต้องสร้างศาลาบำเพ็ญทานขึ้นเยอะๆ จะได้แจกจ่ายของให้ชาวบ้านได้ทั่วถึง” เศรษฐีหนุ่มได้บริจาคทานเป็นอันมากทุกๆ วัน ด้วยคิดอยู่เสมอว่าสมบัติทั้งปวงนั้น แม้เมื่อตายไปแล้วก็นำไปใช้ไม่ได้ ไม่เพียงแต่เท่านั้นเศรษฐีหนุ่มยังหมั่นรักษาศีล 5 และอุโบสถศีลตามกาลอยู่เสมอ “ไม่ต้องแย่งกันนะครับ วันนี้เราเตรียมของมาเยอะพอแจกให้ทุกคนอยู่แล้ว”     
 
ชายหนุ่มผู้เกิดในตระกูลเศรษฐีซึ่งเป็นผู้รอบรู้ ชำนาญในศิลปศาสตร์ทั้งปวง
 
ชายหนุ่มผู้เกิดในตระกูลเศรษฐีซึ่งเป็นผู้รอบรู้ชำนาญในศิลปศาสตร์ทั้งปวง
 
    “แฮะๆ วันนี้ข้ามารอรับของบริจาคตั้งแต่ตี 5 กว่าจะได้รับปาเข้าไปตั้งบ่าย 3 แน่ะ” “อุ๊ย ข้าว่าเอาเวลาที่มานั่งรอ ไปทำมาหากินดีกว่าไหม๊  มือเท้าก็มีจริงๆ เล้ย” “หนอยแน่ะ ทำมาเป็นพูด ไอ้ตอนที่ข้ามาถึงตอนตี 5 น่ะ ข้าก็เจอเจ้ากางมุ้งรออยู่ก่อนแล้วเนี่ย” ในครั้งนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้น มีแต่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง
 
ท่านเศรษฐีมีความปลื้มปีติในความเก่งและ ความเฉลียวฉลาดในศาสตรทั้งปวง
 
ท่านเศรษฐีมีความปลื้มปีติในความเก่งและความเฉลียวฉลาดในศาสตรทั้งปวง
 
    นั่งเข้านิโรธสมาบัติอยู่ 7 วัน จึงออกบิณฑบาต โดยเหาะมายังเรือนของเศรษฐี เนื่องด้วยพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นทราบด้วยญาณว่าเศรษฐีผู้นี้ปรารถนาพระโพธิญาณ หากได้ทำบุญกับท่านจะได้บุญบารมีให้เข้าถึงพระโพธิญาณได้ง่ายขึ้น “ห๊า นั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าเสด็จมาถึงเรือนของเราแล้ว โชคดีเหลือเกินรอวันนี้มานานแล้ว ที่นี่แหละเราจะได้ทำบุญใหญ่
 
ท่านเศรษฐีได้ตายจากไปนำมาซึ่ง ความโศกเศร้าเสียต่อบุตรชายยิ่งนัก
 
ท่านเศรษฐีเสียชีวิตลงนำมาซึ่งความโศกเศร้าเสียต่อบุตรชายยิ่งนัก
 
    ที่หน้าประตูเรือนก่อนเถอะ” “จริงด้วย ได้เลยครับนายท่าน เจ้าไปซิ” “อ้าว พูดซะดิบดี นึกว่าจะออกไปเอง” ในขณะเดียวกันนั้นเองพญามารก็ได้เฝ้าดูท่านการกระทำของเศรษฐีหนุ่มมาโดยตลอด “ไม่ได้การล่ะ หากปล่อยให้เศรษฐีได้สร้างมหาทานบารมีในครั้งนี้ โอกาสที่จะบรรลุพระโพธิญาณก็จะยิ่งเร็วขึ้น
 
บุตรชายท่านเศรษฐีได้สร้างศาลาเพื่อบำเพ็ญทาน แก่ชาวเมือง 6 แห่งด้วยกัน
 
บุตรชายท่านเศรษฐีได้สร้างศาลาเพื่อบำเพ็ญทานแก่ชาวเมือง 6 แห่งด้วยกัน
 
บุตรชายท่านเศรษฐี "มีความตั้งใจในการสร้างทานบารมี โดยสร้างศาลาเพื่อใช้เป็นโรงบำเพ็ญทานแก่มหาชน"
 
    พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้ฉันอาหารมาถึง 7 วันแล้ว ถ้าไม่ได้อาหารอีกเพียงวันเดียวต้องถึงแก่ชีวิตแน่ๆ แล้วที่นี้โอกาสในการสร้างมหาทานบารมีในครั้งนี้ก็จะหมดลง ดังนั้นเราต้องขัดขวาง เอาลูกไฟประลัยกัลป์นี่ไปกินซะเถอะ เฮอะ ฮ่าๆ” พญามารสำแดงอิทธิฤทธิ์
 
บุตรชายท่านเศรษฐีได้บริจาคทานแก่มหาชนเป็นประจำทุกวัน
 
บุตรชายท่านเศรษฐีได้บริจาคทานแก่มหาชนเป็นประจำทุกวัน
 
    เสกลูกไฟขนาดยักษ์ขึ้นจากฝ่ามือ แล้วปล่อยลูกไฟยักษ์นั้นโดยมีเป้าหมายพุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้า “ห๊า..นั่นไง พระองค์อยู่ตรงนั้นนี่เอง แต่เอ๊ะ!! เหมือนมีแสงอะไรพุ่งลงมานะ ผีพุ่งใต้หรือไงเนี่ย เฮ้ยไม่ใช่นี่มันกลางวันแสกๆ จะเห็นผีพุ่งใต้ได้ชัดขนาดนี้เชียวหรือนี่”
 
พระปัจเจกพุทธเจ้านั่งเข้านิโรธสมาบัติเป็นเวลา 7 วัน
 
พระปัจเจกพุทธเจ้านั่งเข้านิโรธสมาบัติเป็นเวลา 7 วัน
 
    ยังไม่ทันที่คนรับใช้จะเดินไปถึงลูกไฟขนาดยักษ์จากพญามาร ก็พุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าเสียงดังกึกก้องกัมปนาทปานฟ้าถล่ม กลุ่มไฟพวยพุ่งขึ้นมาอย่างน่ากลัว บังเกิดกลายเป็นหลุ่มถ่านขนาดใหญ่ ร้อนแรงปานไฟนรกขวางทางอยู่ “เฮ้ย..แย่แล้วหลุมถ่านเพลิงขนาดนี้
 
พญามารเฝ้าดูการสร้างทานบารมี ของเศรษฐีหนุ่มมาโดยตลอด
 
พญามารเฝ้าดูการสร้างทานบารมีของเศรษฐีหนุ่มมาโดยตลอด
 
    แล้วเราจะข้ามไปได้อย่างไรละเนี่ย” เมื่อเห็นว่าหลุ่มถ่านเพลิงขนาดใหญ่ขวางทางอยู่เช่นนั้น ทำให้ไม่สามารถเดินไปรับบาตรจากพระปัจเจกพุทธเจ้าได้แน่แล้ว คนรับใช้จึงรีบกลับมารายงานให้เศรษฐีหนุ่มทราบ “แย่แล้วขอรับนายท่านไม่รู้มีหลุ่มถ่านเพลิงขนาดมหึมา มาจากไหน มาขวางอยู่หน้าเรือนเนี่ย 
 
พญามารเสกลูกไฟประลัยกัลป์ มาตกยังหน้าบ้านเศรษฐีหนุ่ม
 
พญามารเสกลูกไฟประลัยกัลป์มาตกยังหน้าบ้านเศรษฐีหนุ่ม
  
    บ่าวไม่สามารถออกไปรับบาตรมาได้จริงๆ ขอรับ” “เฮ้ยๆๆ เจ้าตาฝาดไปรึปล่าว อย่ารนให้มากนักซิ จะเป็นไปได้ไง” “บ้านะซิ ข้าเห็นจริงๆ นะ ถ้าไม่เชื่อไปดูเลย ไม่มีให้แตะเลยเอ้า” “งั้นเจ้าลองไปดูหน่อยซิ” “ได้เลยขอรับ ข้าไม่รนเหมือนเจ้านี่หรอกขอรับ เพ้อเจ้อสุดๆ” 
 
เศรษฐีหนุ่มมีความตั้งใจที่จะใส่บาตร พระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยความมุ่งมั่น
 
เศรษฐีหนุ่มมีความตั้งใจที่จะใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยความมุ่งมั่น
 
    เมื่อคนรับใช้อีกคนออกไปดู ก็พบเห็นหลุ่มถ่านเพลิงขนาดใหญ่จริง ตามที่คนรับใช้คนแรกได้รายงานไว้ “ไม่จริงๆๆ นี่เราฝันไปแน่ๆ ไหนลองหยิกตัวเองดูซิ อึย..ก็เจ็บนี่หว่า เราไม่ได้ฝันไปนี่หว่า ของจริงนี่ ชัวร์ไม่มั่วนิ่ม” เมื่อเห็นดังนั้นคนรับใช้ก็รีบกุลีกุจอรีบกลับมารายงานให้เศรษฐีหนุ่มทราบโดยทันที
 
คนรับใช้พยายามทัดทานเศรษฐีหนุ่ม ไม่ให้ออกไปใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า
 
คนรับใช้พยายามทัดทานเศรษฐีหนุ่มไม่ให้ออกไปใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า
 
    “นะ นะ นายท่านขอรับมีหลุ่มถ่านเพลิงขนาดใหญ่ขวางทางเราอยู่จริงๆ ขอรับ น่ากลัวมากๆ ขอรับ ข้าน้อยขนลุกไปหมดแล้ว ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย อกอีแป้นจะแตก” “งั้นรึ ดูท่าพญามารคงต้องขัดขวาง ไม่ต้องการให้เราทำทานเป็นแน่แท้ แต่พญามารเอ๋ย เจ้าไม่รู้หรอกว่า เราไม่สะดุ้งกลัวเลยแม้แต่น้อย ต่อให้มีมารอีกนับร้อย นับพัน นับแสน
 
พญามารเฝ้าสังเกตว่าเศรษฐีหนุ่มจะใช้วิธีใด ข้ามหลุุมเพลิงไปใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า
 
พญามารเฝ้าสังเกตว่าเศรษฐีหนุ่มจะใช้วิธีใดข้ามหลุุมเพลิงไปใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า
   
    ก็ไม่อาจทำให้เราหวั่นไหวได้หรอก วันนี้แหละจะได้รู้กันว่า มารหรือเราที่จะเป็นผู้ที่มีกำลังและอานุภาพมากกว่ากัน” “นะ นะ นายท่านจะออกไปหรือขอรับ อย่าเลยครับ หลุมเพลิงขนาดใหญ่มากเลยนะครับ น่ากลัวสุดๆ เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเจอ แค่ยืนใกล้ๆ ผิวหนังก็จะไหม้อยู่แล้ว ข้ากลัวๆๆๆ”  
  
เศรษฐีหนุ่มตัดสินใจวิ่งฝ่าหลุมถ่านเพลิง เพื่อข้ามไปใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า
 
เศรษฐีหนุ่มตัดสินใจวิ่งฝ่าหลุมถ่านเพลิงเพื่อข้ามไปใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า
   
    “โอ้โห้ ข้าว่าเจ้าน่ะ รนกว่าข้าหลายเท่าเลยนะเนี่ย” เศรษฐีหนุ่มมิได้หวั่นไหวและหวาดกลัวต่อความร้อนแรงของหลุ่มถ่านเพลิงแต่อย่างใด เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้นจึงรีบจัดเตรียมภัตตาหารเพื่อจะนำไปถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยตนเอง “ต่อให้หลุ่มใหญ่ขนาดไหน หรือร้อนเพียงใดก็หยุดเราไม่ได้หรอกพญามารเอ๋ย”
 
มีดอกบัวใหญ่บานสะพรั่งผุดขึ้นมารองรับ เศรษฐีหนุ่มให้รอดพ้นจากเปลวไฟ
 
มีดอกบัวใหญ่บานสะพรั่งผุดขึ้นมารองรับเศรษฐีหนุ่มให้รอดพ้นจากเปลวไฟ
 
    ทางฝ่ายพญามารนั้นก็ยังคงเฝ้ามองดูการกระทำของเศรษฐีหนุ่ม พลางกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ในสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป “เฮอะๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ ทำเป็นเท่ไปเถอะเศรษฐีหนุ่ม เราจะดูซิว่า เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป เฮอะๆๆ ฮ่าๆๆ ซะใจจริงๆ แกล้งคนไม่มีทางสู้นี่ เฮอะๆๆ” “ฟังนะ พญามารเราจะไม่ยอมให้ท่านมาขัดขวาง การบำเพ็ญทานของเราเป็นอันขาด
 
มหาชนชาวพาราณสีต่างตกตะลึงในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
 
มหาชนชาวพาราณสีต่างตกตะลึงในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
 
    และจะไม่ยอมให้ท่านทำลายชีวิตพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วย วันนี้แหละจะได้รู้กันว่า เราหรือท่านใครจะมีพลังและอานุภาพมากกว่ากัน” “ก็เอาซี เศรษฐีหนุ่ม ข้าก็อยากรู้นักว่าเจ้าจะมีดีสักแค่ไหน หึๆๆ ฮ้าๆๆๆ โอย หัวเราะจนเมื่อยกล้ามไปเลยวันเนี่ย หึๆๆๆ ฮ้าๆๆๆๆ” เศรษฐีหนุ่มหาได้ใส่ใจคำดูถูกถากถางจากพญามารไม่
 
พญามารแค้นใจเป็นยิ่งนักที่ไม่สามารถขัดขวาง การสร้างมหาทานของเศรษฐีหนุ่มได้
 
พญามารแค้นใจเป็นยิ่งนักที่ไม่สามารถขัดขวางการสร้างมหาทานของเศรษฐีหนุ่มได้
 
    กลับตั้งจิตมุ่งมั่นมองไปที่พระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์ “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า แม้แต่ศีรษะของข้าพระพุทธเจ้า จะทิ้มลงไปในหลุ่มถ่านเพลิงนี้ แต่ข้าพระพุทธเจ้าก็จะไม่ล้มเลิกความตั้งใจในการบำเพ็ญทานเป็นอันขาด ขอพระผู้เป็นเจ้าได้โปรดรับภัตตาหาร ที่ข้าพระพุทธเจ้าถวายนี้ด้วยเถิด” เมื่อกล่าวจบเศรษฐีหนุ่มก็กระชับภาชนะที่ใส่อาหารไว้มั่น   
 
เศรษฐีหนุ่มได้ใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า สมใจดั่งที่ตนปรารถนา
 
เศรษฐีหนุ่มได้ใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้าสมใจดั่งที่ตนปรารถนา
 
มหาทานบารมี "เศรษฐีหนุ่มมีความมั่นคงของจิตใจในการที่จะสร้างมหาทานบารมีครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งความตั้งมั่นทำให้เขาสามารถก้าวผ่านอุปสรรคไปได้อย่างอัศจรรย์"
 
     แล้วตัดสินใจวิ่งตะลุยฝ่ากองถ่านเพลิงขนาดยักษ์เข้าไปโดยทันที ทันใดนั้นปาฏิหาริย์ก็บังเกิด เมื่อปรากฏดอกบัวใหญ่บานสะพรั่ง ผุดขึ้นมาจากหลุ่มถ่านเพลิงนั้น เข้ามารองรับเท้าทั้งสองข้างของเศรษฐีหนุ่มที่กำลังวิ่งอยู่บนกองถ่านเพลิงยักษ์อยู่พอดี “แปลกจัง มีดอกบัวผุดขึ้นมาได้อย่างไรกันเนี่ย ไม่น่าเชื่อเลย ไม่เพียงเท่านนั้นละอองเกสรมากมาย
 พระปัจเจกพุทธเจ้าฉันภัตตาหารแล้วก็ ทรงเหาะกลับไปยังป่าหิมพานต์
 
พระปัจเจกพุทธเจ้าฉันภัตตาหารแล้วก็ทรงเหาะกลับไปยังป่าหิมพานต์
 
    ยังได้ลอยฟุ้งขจรขจายตกลงมาบนศีรษและบนลำตัวของท่านเศรษฐีราวกับละอองทอง “อัศจรรย์ยิ่งนัก เราไม่รู้สึกร้อนเลยแม้แต่น้อย” มหาชนที่ยืนมุงต่างตกตะลึงกับเหตุอัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้น “เฮ้ย..เป็นไปได้ยังไงละเนี่ย” “นั่นซิ เป็นไปได้ยังไงเนี่ย วิ่งโดยที่ภัตตาหารไม่ตกเลย” “นี่ มันมีไอ้ที่ควรตะลึงมากกว่านั้นอีกนะ มัวแต่ไปดูอะไรกันอยู่” ส่วนพญามารเมื่อรู้ว่าไม่สามารถขัดขวางเศรษฐีหนุ่มได้ ก็ล่าถอยกลับไป “เชอะ..ฝากไว้ก่อนเถอะ วันหน้าจะมาทวงคืน”
 
เศรษฐีหนุ่มได้กล่าวพรรณาถึงการบำเพ็ญทาน และรักษาศีลแก่มหาชน
 
เศรษฐีหนุ่มได้กล่าวพรรณาถึงการบำเพ็ญทานและรักษาศีลแก่มหาชน
 
    จากนั้นเศรษฐีหนุ่มก็ยืนอยู่บนดอกบัว พร้อมกับน้อมนำอาหารใส่ลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า “อืม..รู้สึกอิ่มใจจริงๆ ลองท่าเรามีใจทำทานซะอย่าง ก็ไม่มีอะไรมามาขวางทางเราได้หรอก หลังจากพระปัจเจกพุทธเจ้าทรงรับอาหารนั้นมาฉันแล้ว ก็ได้กระทำอนุโมทนา จากนั้นจึงทรงโยนบาตรขึ้นไปบนอากาศและทรงเหาะกลับไปยังป่าหิมพานต์ท่ามกลางความตื่นตะลึงของมหาชนที่ได้เห็นเหตุการณ์นั้น เศรษฐีจึงกล่าวให้โอวาทพรรณนาถึงการบำเพ็ญทานแล้วรักษาศีลแก่มหาชน ณ ที่นั้น คนเหล่านั้นต่างเลื่อมใสศรัทธาและบำเพ็ญบุญไปจนตลอดชีวิต
 
 

รับชมคลิปวิดีโอ
ชมวิดีโอ   Download ธรรมะ
 
 

http://goo.gl/f3sGJ


พิมพ์บทความนี้



บทความอื่นๆ ในหมวด

      ธัมมัทธชชาดก ชาดกว่าด้วยพูดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่ง
      เกฬิสีลชาดก ชาดกว่าด้วยปัญญาสำคัญกว่าร่างกาย
      ปานียชาดก ชาดกว่าด้วยการทำบาปแล้วรังเกียจบาปที่ทำ
      ชนสันธชาดก ชาดกว่าด้วยเหตุที่ทำจิตให้เดือดร้อน
      ฆตาสนชาดก ชาดกว่าด้วยภัยที่เกิดจากที่พึ่ง
      มหาสุวราชชาดก ชาดกว่าด้วยความพอเพียง
      ฌานโสธนชาดก ชาดกว่าด้วยสุขเกิดจากสมาบัติ
      สุนักขชาดก ชาดกว่าด้วยผู้ฉลาดย่อมช่วยตัวเองได้
      สังวรมหาราชชาดก ชาดกว่าด้วยพระราชาผู้มีศีลาจารวัตรที่ดีงาม
      อสัมปทานชาดก ชาดกว่าด้วยการไม่รับของทำให้เกิดการแตกร้าว
      สัจจังกิรชาดก ชาดกว่าด้วยไม้ลอยน้ำดีกว่าคนอกตัญญู
      สัมโมทมานชาดก ชาดกว่าด้วยพินาศเพราะทะเลาะกัน
      อภิณหชาดก ชาดกว่าด้วยการเห็นกันบ่อยๆ