ชาดก 500 ชาติ
กาฬกัณณิชาดก-ชาดกว่าด้วยมิตร
บุคคลชื่อว่ามิตร แค่เดินร่วมกัน 7 ก้าว ก็นับว่าเป็นมิตร เดินด้วยกัน 12 ก้าวนับเป็นสหาย ถ้าอยู่ร่วมกันถึงเดือน นับว่าเป็นญาติ

		พระเชตวันมหาวิหาร สถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงจำพรรษาอยู่นานที่สุด
	
		     ตลอดพระชนม์ชีพแห่งพระพุทธศาสดานั้น สถานที่ที่พระพุธเจ้าทรงจำพรรษาเพื่อเทศนาโปรดสาธุชนเป็นเวลานานปีที่สุด ก็คือที่พระเชตวันมหาวิหาร
		
	
		ซึ่งกล่าวกันว่าท่านอาณาถบิณฑิกเศรษฐีต้องซื้อที่ดินมาปลูกสร้างด้วยการด้วยการเอาแผ่นทองคำปูลาดอาณาเขตพระอารามนั้นที่เดียว 
	
		ท่านอานาถบิณฑิกเศรษฐีผู้ซื้อที่ดินก่อสร้างพระเชตวันมหาวิหาร
	
		     ซึ่งด้วยเหตุนี้เองจึงมีข้อธรรมอันเกี่ยวข้องกับเศรษฐีผู้เป็นองค์อุปถัมภ์ซึ่งเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาท่านนี้ ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกอยู่เสมอ
	
		และข้อธรรมคำสอนหลายข้อ ก็เกี่ยวข้องท่านผู้นี้อยู่ไม่น้อยเช่นกัน ดังเหตุแห่งการสาทกเทศนาคราหนึ่ง อาณาถบิณฑิกเศรษฐีได้กราบทูล
	
		ผู้ดีตกยากซึ่งเป็นสหายเก่าของท่านอานาถบิณฑิกเศรษฐี
	
		     เรื่องสหายเก่าที่ท่านอุปการะไว้ท่ามกลางความริษยาของบริวารในบ้าน สหายเก่าท่านนี้ได้รับความเกลียดชังจากบริวารในบ้าน เพราะเป็นผู้ดี
	
		ตกยากมาและชื่อเสียงยังไม่เป็นมงคล “สหายท่านนี้ได้ทุ่มเทช่วยเหลือจนข้าพระพุทธเจ้าให้พ้นภัยจากโจรมาได้
	
		ท่านอานาถบิณฑิกเศรษฐีทรงเล่าเรื่องราวเพื่อนเก่าถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
	
		     แม้เหล่าบริวารจะไม่ชอบ แต่หม่อมฉันก็ไม่อาจละทิ้งสหายผู้นี้ได้พระเจ้าค่ะ เมื่ออาณาถบิณฑิกเศรษฐีเล่าเรื่องราวถวายจนจบแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า
	
		ทรงตรัสว่า “ดูก่อนคฤหบดีมิใช่แต่บัดนี้เท่านั้นที่มิตรเก่ารักษาทรัพย์ในเรือนไว้ให้ในอดีตชาติก็เคยเกื้อกูลต่อกันมาแล้ว” 
	
		พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเล่าชาดกเรื่อง "กาฬกัณณิ"
	
		     เมื่อท่านเศรษฐีกราบทูลอาราธนาจึงทรงตรัสเล่าเรื่อราวว่าด้วยมิตรแท้ กาฬกัณณิชาดกขึ้นดังนี้ ในอดีตชาติหนึ่งยังมีกุลบุตรในตระกูลดี คบหากัน
	
		เป็นสหายรัก ร่วมกินร่วมเล่นกันจนเติบโตขึ้นก็ได้ไปเรียนในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ด้วยกัน
	
		กุลบุตร 2 ตระกูล คบหาเป็นสหายรักและได้ร่ำเรียนในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ด้วยกัน
	
		     “ดีนะที่เราเรียนมาด้วยกัน เราจะได้ไม่เหงามีเพื่อน” “นั้นนะซิ มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้ คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อตาย” แม้เมื่อจบการศึกษา
	
		ก็ยังสำเร็จมาพร้อมกัน ได้เวลาเดินทางกลับพาราณสีบ้านตนพร้อมๆ กัน 
	
		กุลบุตรสองสหายได้เรียนจบจากสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์พร้อมกัน
	
		     “บัดนี้พวกเจ้าก็ศึกษาเล่าเรียนจนจบแล้ว พวกเจ้าจงนำความรู้ที่ได้ไปประกอบอาชีพวิชา พัฒนาบ้านเมืองของพวกเจ้าเถิด” สหายทั้งสอง
	
		ได้แยกทางกันไปใช้ชีวิตที่เขตแบ่งของนครหลวงกับนิคมชนบทเพื่อกลับสู่บ้านเกิดของตน “กาฬกัณณิ สัญญานะเพื่อน ว่าจะมาเยี่ยมเราบ้าง” 
	
				กุลบุตรสองสหายได้แยกย้ายเดินทางกลับยังบ้านเมืองของตน
			
		     “เออ เราสัญญา ไปดีมาดีนะเพื่อนเอ๋ย ” ฤดูกาลผ่านไปหลายพรรษา เพื่อนของกาฬกัณณิทำมาค้าขายจนกลายเป็นเศรษฐีตั้งแต่วัยหนุ่มใหญ่
	
		และไม่เคยได้ข่าวของสหายรักแต่อย่างใด “เฮ้อ จากกันไปตั้งนาน ทำไมสหายรักของเรา ถึงไม่มีข่าวคราอะไรเลยนะ จะอยู่ดีมีสุขอย่างไรบ้าง
	
		ก็ไม่รู้”
	
		เพื่อนของกาฬกัณณิได้กลายเป็นเศรษฐีผู้ร่ำรวยจากการค้าขาย
	
		     กระทั่งวันหนึ่งเศรษฐีผู้นี้ก็ได้เจอกับสหายรักกาฬกัณณิ “นายครับ ข้างนอกกบ้านมีคนชื่ออัปมงคลผู้หนึงมาหา อ้างว่าเป็นมิตรสหายของนายขอรับ”
	
		“ให้ดิฉันไล่ไปเลยมั๊ยค่ะ” “ให้เขาเข้ามาเถิด” “นี่คือกาฬกัณณิ คนที่ว่าขอรับ”
	
		พ่อบ้านมารายงานท่านเศรษฐีเรื่องมีคนมาขอเข้าพบ
	
		     เมื่อแรกเห็นสภาพซอมซ่อของเพื่อนรัก เศรษฐีก็ไม่ได้รังเกียจแต่อย่างใด กลับยินดีเป้นอย่างยิ่งที่ได้พบสหายเก่า “โอ้ กาฬกัณณิเพื่อเกลอ
	
		จากกันตั้งนาน เราไม่ได้ข่าวท่านเลย เป็นอย่างไรบ้างเพื่อเกลอ” เศรษฐีมิดีรังเกียจเพื่อนแต่อย่างใด กลับนึกเวทนาและตั้งใจอุปถัมภ์ 
	
		พ่อบ้านพาชายที่สภาพซอมซ่อเข้าพบท่านเศรษฐี
	
		     เพราะสภาพนั้นดูสิ้นไร้ไม้ตอกแล้วจริงๆ “สหายเอ๋ย บัดนี้เราทุกข์ทรมานเหลือเกิน ที่ชนบทนั้นแห้งแล้งเหลือเกิน ไม่ว่าจะปลูกพืชผลเท่าใด
	
		ก็ไม่ได้ผลเลย” “เพื่อเอ๋ย จงมาทำงานกินอยู่กับเราเถอะ อย่าได้เร่ร่อนลำบากอีกเลย”
	
		ชายที่เข้าพบท่านเศรษฐีก็คือสหายเก่าที่เคยร่ำเรียนมาด้วยกัน
	
		     เศรษฐีทำการเกื้อกูลมิตรซึ่งทุกข์ยากอย่างดี ทั้งข้าวของเครื่องกินดื่ม และเสื้อผ้าที่พัก อันเป็นคุณธรรมข้อสงเคราะห์มิตรที่ดี “ขาดเหลือสิ่งใด
	
		ก็เรียกเอาได้จากพ่อบ้านของเราน่ะ อย่าได้เกรงใจ คิดว่าเป็นบ้านของเจ้าเองเถิด” “ชิ มาปุ๊บก็ได้ดิบได้ดีปั๊บ น่ารังเกียจจริงๆ ฮึ เหม็นสาบคนจน” 
	
		ท่านเศรษฐีได้มอบหมายให้พ่อบ้านดูแลเรื่องที่พักอาศัยให้กับสหายของตน
	
		     กาฬกัณณิแม้ตกระกำลำบากมานาน เมื่อสุขสบายก็มิได้ลำพอง กลับช่วยงานในไร่สวนจนมืดค่ำ ถึงได้กินนอนเอาแรงในยามค่ำสนองคุณเศรษฐี
	
		เช่นนี้ทุกวัน “อืม ทำงานเหนื่อยๆ แล้วมากินของอร่อยๆ หายเหนื่อยไปเลยเรา ที่อยู่ที่นอนก็สบาย สหายเรานี่ดูแลเราอย่างดีจริงๆ” 
	
		กาฬกัณณิได้กินอาหารที่ดีและพักอาศัยในที่ที่เหมาะสมภายในบ้านสหายของตน
	
		     แม้ยามหมดการผลิตสินค้าเกษตรในสวน ก็มักมาช่วยเหลืองานบ้านเป็นการเบาแรงข้าทาสที่เป็นคนแก่และสตรีอยู่เสมอ “สหายท่านเศรษฐีนี่
	
		ขยันจริงๆ เลย  ดูซิทำงานตั้งแต่เช้ายังไม่หยุดเลย เราก็พลอยสบายไปด้วย” “หึ ทำขยันไปเถอะ ตักน้ำเป็นตุ่มๆ ให้ได้อย่างนี้ทุกวันก็แล้วกัน 
	
		กาฬกัณณิได้ช่วยงานท่านเศรษฐีอย่างเต็มกำลังความสามารถของตน
	
		     หมั่นไส้นัก ผู้ดีตกยากนี่” เมื่อกาฬกัณณิทำงานหนักเพียงไร เศรษฐีก็ตอบแทนความดีของสหายที่เป็นบริวารเป็นน้ำใจมิได้ดูดายเช่นกัน ด้วยเหตุนี้
	
		พ่อบ้านก็บันดาลริษยาขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ “เก็บเบี้ยนี้ไว้เถอะ เราทำงานก็เพื่อจะตอบแทนที่ท่านดูแลเราอย่างดี” “ไม่เป็นไรหรอก เรายินดี
	
		ท่านเศรษฐีได้มอบรางวัลตอบแทนน้ำใจในความขยันของกาฬกัณณิ
	
		     น้ำใจที่ท่านช่วยเหลือเรานะ มันมากมายนัก ของเหล่านี้จริงๆ แล้วทดแทนไม่ได้ด้วยซ้ำ รับไว้เถิดสหาย” “แหม ทำเป็นเล่นตัวไม่ยอมรับ สักวันเถอะ
	
		ข้าจะต้องไล่เจ้าไปอยู่ที่อื่นให้ได้” พ่อบ้านได้บันดาลกาฬกัณณิมากขึ้นทุกๆ วัน จนกระทั่งทนไม่ไหว เขารวมเอาพรรคพวกซึ่งเป็นคนเก่าแก่ 
	
		พ่อบ้านเกิดความอิจฉาริษยากาฬกัณณิ
	
		     พากันมาร้องขอให้เศรษฐีกระทำเนรเทศกาฬกัณณิออกไปจากบ้าน “ได้โปรดไล่กาฬกัณณิ ออกไปเถิด เขาช่างชื่ออัปมงคล อีกทั้งเคยตกต่ำ
	
		เขาอาจจะคบหาผู้ร้ายยากจนมาก็ได้นะ ท่านเศรษฐี ทั้งน่ารังเกียจ น่ากลัว นายไล่มันไปเถอะ”
	
		พ่อบ้านได้บอกท่านเศรษฐีให้ไล่กาฬกัณณิออกจากบ้านเพราะเกรงว่าจะนำความเดือดร้อนมาสู่บ้าน
	
			     “ทุกคนฟังนะ คนเรานั้นนะ แค่เดินร่วมกัน 7 ก้าว ก็นับว่าเป็นมิตร เดินด้วยกัน 12 ก้าวนับเป็นสหาย ถ้าอยู่ร่วมกันถึงเดือน นับว่าเป็นญาติ
		
			ยิ่งคนอยู่ร่วมทุกข์สุขกันมานานเช่นเพื่อนเราคนนี้น่ะ นับได้ว่าเสมอเป็นเองทีเดียว แล้วจะให้เราขับไล่คนที่ยิ่งกว่าญาติของเราคนนี้ไป
		
			ได้อย่างไร”
	
		กาฬกัณณิกำลังซ่อมแซมกำแพงบ้านและได้ยินคนข้างนอกกำแพงคุยกัน
	
			     “แต่เขาชื่อเป็นอัปมงคลนะขอรับ อาจทำให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับนายท่านนะขอรับ” “ความอัปมงคลของชื่อนั้นหน่ะ หมู่บัณฑิตผู้เจริญ
		
			เขาไม่ได้ยึดถือเลย ให้เขาอยู่โดยสวัสดีเถอะ”
	
		กาฬกัณณิได้ยินกลุ่มโจรคุยกันเรื่องวางแผนปล้นบ้านท่านเศรษฐี
	
			     กาฬกัณณิเมื่อรู้ว่าพ่อบ้านไม่ชอบตน ก็เลี่ยงไปทำงานห่างๆ วันหนึ่งขณะกำลังเก็บก้อนหินซ่อมกำแพงบ้านอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคนภายนอก
			
		
			พูดคุยกัน “คืนนี้ ต้องคืนนี้สหายเอ๋ย พวกข้าได้ยินมาว่า เศรษฐีจะออกนอกบ้านทั้งคืน เมื่อนายไม่อยู่ บริวารก็ย่อมละทิ้งหน้าที่กันอย่างแน่นอน
	
		พ่อบ้านได้ให้ความร่วมมืออย่างดีกับแผนการของกาฬกัณณิ
	
		     จากที่เคยเฝ้ายามลาดตระเวน มันก็ต้องแอบหลับกันแน่ๆ รับรองพวกเราปล้นกันได้ง่ายๆ ชัวร์” กาฬกัณณิได้ยินพวกโจรพูดกัน ก็คิดอุบายแก้ไข
	
		“เจ้าโจรพวกนี้ คิดจะมาปล้นบ้านเศรษฐีสหายเรารึนี่ ไม่ได้การล่ะ เราต้องทำให้บ้านครึกครื้นเหมือนตอนที่ท่านเศรษฐีอยู่
	
		พ่อบ้านได้จัดงานฉลองอย่างครึกครื้นภายในบ้านท่านเศรษฐี
	
			     ต้องจัดเวรยามถืออาวุธให้ครบมือรอไว้” กาฬกัณณินำเรื่องไปหารือพ่อบ้าน แม้มิอาจลดทิฐิลงได้ทั้งหมดแต่ก็ได้รับความร่วมมืออย่างดี “นี่ถือว่า
		
			ทำเพื่อนายนะท่าน เราจะช่วยเหลือเจ้าก็ได้ เจ้าไปบอกฝ่ายกิจกรรมได้เลย ส่วนอาวุธกันคนเฝ้ายามนี่ พี่จะจัดการให้เองน้อง”
	
		กาฬกัณณิได้จัดเวรยามเดินตรวจความปลอดภัยบนกำแพงรั้วบ้าน
	
			     เมื่อค่ำคืนมาเยือนคฤหาสน์ของเศรษฐีก็ครึกครื้นเหมือนมีงานฉลอง ซึ่งเจ้าของบ้านจัดขึ้นบ่อยๆ กาฬกัณณิเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงทุกอย่างในคืนนี้
		
			เขาชักชวนชายฉกรรจ์ภายในบ้านถือคบไฟติดอาวุธ ขึ้นเดินระวังภัยบนกำแพงรั้วของคฤหาสน์ตลอดเวลา ซึ่งได้ผลดีสมเจตนา
	
		กลุ่มโจรเฝ้ารอคอยจังหวะการเข้าปล้นบ้านท่านเศรษฐี
	
			     “เฮ้ย นี่มันยังไงกันแน่ ไหนว่าเศรษฐีไม่อยู่ไง ทำไม่ถึงมีงานเลี้ยงครื้นเครงอย่างนั้นหล่ะ” “ข้าว่าเจ้าได้ข่าวมาผิดแน่ๆ เลย เศรษฐีคงไม่ได้ออก
		
			ไปไหนหรอก ไม่งั้นจะมีงานเลี้ยงได้อย่างไรกัน” “รอดูกันอีกสักพักก่อนเถิด อย่าเพิ่งเข้าไปเลย”
	
		ใกล้สว่างกลุ่มโจรจึงถอนกำลังไม่เข้าปล้นบ้านท่านเศรษฐี
	
				     จนจันทร์คล้อยต่ำ น้ำค้างโรยลงทั่วพื้นบอกเวลาใกล้รุ่ง กาฬกัณณิก็ยังไม่ยอมพักผ่อน เขาไม่ได้หยุดผลัดเวรยามเลย “ตรวจเวรยามกันให้ดีล่ะ
			
				รอให้ฟ้าสางก่อนเถิด ตอนนี้ยังไว้ใจไม่ได้หรอก ไม่แน่ว่าโจรพวกนั้นหน่ะ อาจจะยังซุ่มดูอยู่ก็ได้” การเฝ้าเวรยามอย่างดีของกาฬกัณณิ
		
		คนในบ้านได้รายงานความดีความชอบของกาฬกัณณิให้ท่านเศรษฐีได้ทราบ
	
			     ส่งผลให้ทรัพย์สินของมิตรผู้มีพระคุณปลอดภัย ในเวลาต่อมาคณะโจรก็ได้เวลาถอนตัวจากไป “โธ่ อะไรกันนี่ จะขยันเฝ้ายามอะไรปานนั้น
		
			จนเช้าแล้วยังไม่นอนอีก” “เฮ้อ งานนี้ชวดอีกตามเคย ถอยดีกว่า”
		
		ท่านเศรษฐีได้ชื่นชมในความเป็นมิตรของกาฬกัณณิต่อหน้าลูกบ้านของเขา
	
			     เมื่อตะวันสายเศรษฐีก็กลับมา และได้รับการรายงานเรื่องราวโดยละเอียด “กาฬกัณณิทำคุณใหญ่หลวงมิได้ มิได้เป็นตัวโชคร้าย ดังถ้อยคำตามชื่อ
			
		
			เลยขอรับ” “กระผมผิดไปแล้วขอรับ ต่อไปจะไม่มองคนแต่ภายนอกแล้วขอรับ” “พวกเธอจงเชื่อเถิด ขึ้นชื่อว่ามิตร ย่อมเกื้อกูลต่อกันเสมอ แม้มิตรนั้น
			
		
			จะตกต่ำในฐานะ แต่เมื่อจิตใจร่ำรวยดังนี้ มิตรอย่างเราก็ต้องอนุเคราะห์ให้ทรัพย์เป็นทุนกับเขายิ่งๆ ขึ้นไป” “ฮึๆ เขินเลยเรา ชมกันซะขนาดนี้” 
		
			     ต่อมาเมื่อถึงเวลาอันควร กาฬกัณณิก็ลงทุนทำการค้าในพาราณสี โดยมีมิตรแท้อุปการะจนสิ้นอายุจากกัน
	
				ในพุทธกาลสมัย กาฬกัณณิกำเนิดเป็น พระอานนท์เถระ
			
				เศรษฐีเสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า
			











