ชาดก 500 ชาติ
สมิทธิชาดก-ชาดกว่าด้วยการไม่รู้เวลาตาย

		พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ พระวิหารตโปทาราม ในกรุงราชคฤห์
	
		     พระศาสดาเมื่อเสด็จเข้าไปอาศัยกรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ ณ พระวิหารตโปทาราม ทรงปรารภพระเถระชื่อสมิทธิ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ดังนี้ ความนั้นเกิดขึ้นจากพระเถระองค์หนึ่ง
	
		นามสมิทธิ ภิกษุรูปนี้มีผิวกายผุดผ่องงดงามดุจทองคำ
	
		พระเถระสมิทธิผู้มีผิวพรรณงดงามประดุจทองคำ
	
		     แม้รูปหน้ารูปกายก็สมส่วนงามพร้อมกัน พระเถระรูปนี้แม้จะงามพร้อมด้วยรูปโฉม แต่ก็ไม่ได้ยินดีในความงามนี้เลย ท่านหมายมั่นจะศึกษาพระธรรม ละจากกามกิเลสทั้งปวง
		
	
		ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หญิงสาวหลายคนที่เฝ้าหมายปองอยู่ล้วนเกิดความเสียดายและเสียใจเป็นอย่างมาก
	
		ผู้คนต่างกล่าวขานชื่นชมในความงดงามแห่งสรีระของพระเถระสมิทธิ
	
		      “ โธ่ ดูสิ รูปงามออกอย่างนั้น ไม่น่าออกบวชเลย ” เมื่อออกบวชเป็นเพศบรรพชิตแล้ว เถระภิกษุสมิทธิก็ตั้งใจปฏิบัติธรรม ตั้งจิตอธิษฐานให้บรรลุซึ่งพระธรรมอย่างที่ได้ตั้งใจไว้
		
	
		ได้บำเพ็ญอุเบกขาบารมีอย่างยิ่งยวด
	
		พระเถระสมิทธิตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งยวด
	
		     “ ความสุขอื่นใด ก็ไม่เทียบเท่าสุขจากใจได้ พระธรรมนั้นเล่า จะบันดาลให้เกิดสุขได้ ด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ของเรานี้ ขอให้ได้บรรลุธรรมอย่างที่ตั้งใจด้วยเถิด พุทโธ พุทโธ ”
		
	
		เมื่อถึงคราวต้องปฏิบัติกิจสงฆ์ พระเถระรูปนี้ก็ปฏิบัติได้อย่างดีไม่เคยขาด
	
		พระเถระสมิทธิปฏิบัติกิจของสงฆ์เป็นอย่างดีไม่มีสิ่งใดบกพร่อง
	
		     แม้กิจที่ทำบางครั้ง ทำให้ต้องพานพบกับอุปสรรคของการบรรลุธรรม องค์พระเถระก็สามารถผ่านพ้นมันไปได้ด้วยใจอันสงบ “ อุ๊ย ภิกษุรูปนี้ช่างงามนัก หน้าตาดีกว่าชายคนไหน
		
	
		ในหมู่บ้านเราสะอีกนะนี้ แหมน่าเสียดายจังไม่น่าออกบวชเลย อย่างนี้ต้องหมั่นมาใส่บาตรสะแล้วสิ ”
	
		สาธุชนทั้งหลายต่างชื่นชมและชื่นชอบที่ได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระเถระสมิทธิ
	
		     “ เฮ้อ นี่แหละกามของมนุษย์ ละจากกามเหล่านี้ได้ จิตใจของคนเราย่อมมีความสุขที่สงบกว่า พุทโธ พุทโธ ” แม้หญิงสาวหลายคนจะรู้สึกหวั่นไหวกับรูปโฉมและผิวพรรณ
		
	
		อันงดงามของพระสมิทธิเถระ แต่ด้วยยังศรัทธาในพระพุทธศาสนาและข้อปฏิบัติที่ดีของพุทธศาสนิกชน 
	
		พระเถระสมิทธิตั้งใจนั่งสมาธิปรารภความเพียรตลอดทั้งคืน
	
			     จึงทำให้ไม่มีหญิงคนใดเลย ที่จะก้าวล่วงเกินให้องค์พระต้องหม่นหมอง “ ภิกษุรูปนี้นอกจากรูปงามแล้ว ยังเทศนาธรรมให้ไพเราะอีกด้วย ความสุขที่ได้ฟังธรรมจากท่าน
			
		
			มันสุขยิ่งกว่าการที่ได้หมายปองเป็นคนรักอีกนะนี่ ” 
	
				เช้าวันใหม่พระเถระสมิทธิก็ได้ออกจากสมาธิ
		
		     วันหนึ่งท่านสมิทธิเถระตั้งความเพียรตลอดคืนยันรุ่ง พอถึงรุ่งเช้าสว่างแล้วก็คิดจะชำระกายให้สดชื่น ปลดเปลื้องจากความเพียรเมื่อยล้า “ เช้าแล้วหรือนี่ อาบน้ำชำระล้างร่างกาย
		
	
		ก่อนออกบินฑบาตรน่าจะดี ”
	
		พระเถระสมิทธิอาบน้ำชำระร่างกายเพื่อเตรียมตัวที่จะออกบิณฑบาตร
	
		     เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วท่านก็ผึ่งกายอันมีสีดุจทองคำให้แห้ง อัตภาพอันสมบูรณ์คล้ายรูปทองอันนายช่างหล่อหลอมไว้อย่างงดงาม เมื่อผิวกายแห้งแล้วขณะที่กำลังนุ่งผ้า
		
	
		มือหนึ่งถือผ้าห่มยืนอยู่ ก็มีเทพธิดาปรากฎกายขึ้น
	
		เทพธิดานางหนึ่งปรากฎกายขึ้นเพราะมีใจปฏิพัทธ์พระเถระสมิทธิ
	
		     ครั้งนั้นเทพธิดานางนี้ เมื่อได้เห็นส่วนแห่งความงามในร่างกายของพระเถระ ก็มีจิตปฏิพัทธ์ ปรากฎกายเย้ายวนให้พระเถระสมิทธิออกจากธรรมแล้วมาร่วมสุขกับนาง
		
	
		“ ท่านภิกษุท่านยังเด็กเยาว์วัยหนุ่มแน่น มีผมดำ ประกอบด้วยความหนุ่ม
	
		เทพธิดาได้เชิญชวนให้พระเถระออกจากธรรมแล้วมาบริโภคกามกับตน
	
		     ทั้งยังเจริญ มีรูปงามน่าดู น่าเลื่อมใส ท่านเป็นเช่นนี้ ไม่บริโภคกาม ประโยชน์อะไรด้วยการบรรพชา จงบริโคกามเสียก่อนเถิด ภายหลังจึงค่อยบวชบำเพ็ญสมณะธรรม ” “ แน่ะ เทพธิดา
	
		เราไม่รู้ความตายของเราว่า เราจักตายเมื่ออยู่ในวันโน้น
	
    
		เทพธิดาได้กล่าวลาพระเถระสมิทธิหลังจากที่ไม่ได้รับการต้อนรับ
	
		     เรากำหนดเวลาไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราจักบำเพ็ญสมณะธรรม ในตอนยังเป็นหนุ่ม แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ ” “ ถ้าอย่างนั้น ก็แล้วแต่ท่านเถิด ข้าขอลาก่อน ” เทพธิดาครั้นไม่ได้การต้อนรับ
		
	
		จากพระเถระก็หายไป ณ ที่นั้นเอง
	
		พระเถระได้กราบทูลเรื่องเทพธิดาต่อองค์พระศาสดา
	
		     พระเถระเข้าไปเฝ้าพระศาสดา แล้วกราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ “ เรื่องราวก็เป็นอย่างนี้แหละ พระพุทธเจ้าข้า เทพธิดาองค์นั้น เมื่อรู้ว่ากระหม่อมหมายมั่นที่จะศึกษาพระธรรม
		
	
		และหวังได้ความสุขกับพระธรรมเท่านั้น นางก็เลือนหายไปโดยพลัน ”
	
		กรุงพาราณสี
	
		      “ ดูก่อนสมิทธิ ก็เทพธิดาเล้าโลมเธอมิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้แต่ก่อนเทพธิดาทั้งหลาย ก็เล้าโลมนักบวชบัณฑิตเหมือนกัน ” ครั้นเมื่อทูลอาราธนา พระศาสดาจึงทรงนำ
		
	
		เรื่องอดีตมาตรัสเล่าดังนี้ ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี
	
		พระโพธิสัตว์ทรงบังเกิดในตระกูลพราหมณ์มีผิวพรรณงดงามดั่งทอง
	
		     พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกาสิคามตำบลหนึ่ง เมื่อแรกเกิดทารกน้อยผู้นี้ก็เปล่งรัศมีความงดงาม ผิวพรรณผุดผ่องดั่งทองคำ หน้าตางามดั่งขีดเขียนไว้
		
	
		ครั้นเติบโตเป็นเด็กก็งดงามเกินกว่าเด็กคนใด จึงทำให้เขาเป็นที่รักใคร่ของผู้ที่เห็นอยู่เสมอ
	
		พระโพธิสัตว์เมื่อเติบโตก็มีความงดงามเกินกว่าเด็กธรรมดาทั่วไป
	
			     “อุ๊ย ดูสิ เด็กคนนี้น่ารักจัง โตขึ้นมาต้องหล่อเหลาเอาการแน่ ว่าไงจ๊ะเด็กน้อย ไปเที่ยวกับพี่ไหม ” “ นี่เธอ กะจะหลอกเด็กเชียวรึ ” “ เด็กน้อยคนนี้น่ารักจริงๆ อย่างที่เธอว่าเลยนะนี่ ”
			
		
			เมื่อเด็กน้อยคนนี้เติบโตเข้าสู่วัยหนุ่ม ได้เล่าเรียนศิลปศาสตร์ทุกชนิด ครบพร้อมด้วยความรู้ ฐานะและรูปร่าง
		
		พระโพธิสัตว์เป็นบัณฑิตหนุ่มที่งามพร้อมและเป็นที่หมายปองของหญิงสาวมากมาย
	
			       จึงทำให้เขาเป็นที่หมายปองของหญิงสาวที่ได้พบเห็นและรู้จัก “ ชายหนุ่มคนนั้น ช่างน่าตาหล่อเหลานัก หากหญิงคนใดได้ใกล้ชิดก็คงจะมีความสุขมิใช่น้อย ” มิแต่เหล่าบรรดา
			
		
			หญิงสาวเท่านั้นที่หมายปองบัณฑิตหนุ่มผู้นี้
	
		ผู้ใหญ่ทั้งหลายต่างก็ต้องการตัวบัณฑิตหนุ่มไปเป็นลูกเขยของตน
	
			      แม้แต่ผู้เป็นพ่อกับแม่ของหญิงสาวเหล่านั้นเอง ก็หวังที่จะได้บัณฑิตผู้นี้มาเป็นลูกเขยด้วย “ สหายเอ๋ย เออ บัดนี้ลูกเราทั้งสองก็ถึงวัยที่จะมีครอบครัวแล้ว ท่านกับเราก็เป็นเพื่อนรัก
			
		
			กันมานาน หากลูกของเราได้ครองรักกัน ก็คงจะดีไม่น้อย ฮ่า ฮ่า ฮ่า ”
	
		พราหมณ์พ่อและแม่บัณฑิตหนุ่มได้สอบถามถึงเรื่องหญิงคนรักของลูกชายตน
	
			     “ ลูกเอ๋ย เจ้าจะว่าอย่างไรกันละ มีหญิงสาวมากมายที่หมายปองในตัวเจ้า และตอนนี้เจ้าก็ถึงวัยที่จะมีครอบครัวได้แล้ว เจ้าได้มองใครที่จะมาเป็นคู่ครองบ้างหรือยังละ หากยัง
			
		
			เจ้าจะมีใจคิดชอบลูกสาวสหายรักของพ่อได้หรือไม่ละ ”
	
		บัณฑิตหนุ่มได้บอกถึงเหตุผลที่ไม่อยากจะออกเรือนให้พ่อและแม่ของตนได้ฟัง
	
			     “ น้องเขาเป็นคนดีนะลูก หากแม่ได้มาเป็นลูกสะใภ้ก็คงจะดีละสิ ” “ ท่านพ่อท่านแม่ ลูกต้องกราบขออภัยที่ไม่อาจครองรักกับหญิงสาวที่หมายหมั้นไว้ให้ได้ ลูกไม่ได้รักนางเลย
			
		
			และลูกก็ไม่สามารถที่จะฝืนใจให้ครองคู่กับนางได้ โปรดให้อภัยลูกเถิด ที่ไม่สามารถทำตามที่ท่านทั้งสองขอร้องได้ ”
		
		บัณฑิตหนุ่มได้ออกบวชเป็นฤาษีแล้วก็ออกเดินทางเข้าป่าเพื่อบำเพ็ญสมณะธรรม
	
			      “ เพราะเหตุใดรึ หรือว่าเจ้ามีหญิงสาวคนอื่นอยู่ในดวงใจเสียแล้ว ” “ ไม่เป็นไรหรอกลูกเอ๋ย ไม่ต้องเป็นหญิงสาวที่พ่อกับแม่เลือกให้ก็ได้ ไม่ว่าเจ้าจะมีใจคิดชอบกับหญิงใด
			
		
			พ่อกับแม่ก็จะรักหญิงนั้นเหมือนกับเจ้านั้นแหละ ” “ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ที่ลูกไม่สามารถครองรักกับหญิงสาวผู้นั้น
	
		ฤาษีหนุ่มได้บำเพ็ญธรรมอยู่ในป่าอย่างสงบไม่มีสิ่งใดมารบกวน
	
			      ไม่ได้เป็นเพราะลูกมีใครในหัวใจ แต่เป็นเพราะว่า ลูกอยากจะละจากกิเลสทั้งปวง แล้วออกบวช เพื่อแสวงหาความสุขในเพศบรรพชิตมากกว่า ” เมื่อรู้ถึงความตั้งใจของบุตรชาย พราหมณ์พ่อ
			
		
			เห็นการออกบวชเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ จึงมิได้ห้ามปราม บัณฑิตหนุ่มละจากเพศฆราวาส ออกบวชเป็นฤาษีนับแต่บัดนั้น 
		
		ฤาษีหนุ่มนั่งสมาธิตั้งแต่ค่ำจนถึงเช้าวันใหม่
	
			     เมื่อบวชเป็นฤาษียังอภิญญาและสมาบัติให้เกิด อาศัยสระแห่งหนึ่งอยู่ใกล้หิมวันตประเทศ มุ่งศึกษาธรรม ตั้งจิตอธิษฐานประพฤติตนอยู่ในศีล “ พุทโธ พุทโธ ด้วยบุญต่างๆ ที่ทำมา
			
		
			ขอให้การนั่งสมาธิในครั้งนี้ ได้บรรลุแจ้งในธรรมด้วยเถิด ” ด้วยอารยประเทศที่เป็นป่าเขา ฤาษีอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์นี้อย่างสันโดษ จึงทำให้เกิดสมาธิ ได้ตั้งจิตศึกษาพระธรรมได้ดี
			
		
			อย่างที่ตั้งใจไว้
	
		เทพธิดานางหนึ่งได้เห็นความงดงามของฤาษีก็เกิดมีใจปฏิพัทธ์
	
			     ท่ามกลางป่าเขาและลำธารนี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติธรรมได้เลย จนอยู่มาวันหนึ่งก็เกิดเหตุอันเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมของดาบสตนนี้เข้า คืนนั้นดาบศได้บำเพ็ญเพียรอยู่
			
		
			ตลอดคืนยันรุ่ง พอเวลาฟ้าสว่างจึงเลิกจากการนั่งสมาธิ แล้วออกมาอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สดชื่น หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายแล้ว ขณะที่ฤาษีกำลังนุ่งผ้าเปลือกไม้ผืนหนึ่ง
			
		
			แล้วจับอีกผืนหนึ่งไว้ ผึ่งสรีระให้แห้ง
	
		เทพธิดาได้ปรากฎกายต่อหน้าดาบสแล้วเชิญชวนให้ร่วมอภิรมย์กับตน
	
			     ขณะนั้นเทพธิดานางหนึ่ง มองดูอัตภาพอันรูปโฉมงดงามของพระดาบส มีจิตปฏิพัทธ์จึงปรากฏกายขึ้น “ ดูก่อน ท่านผู้ทรงศีล ท่านยังไม่ทันได้บริโภคกามเลย มาเที่ยวภิกษาเสีย
			
		
			ท่านจงบริโภคกามเสียก่อน แล้วจึงเที่ยวภิกษาเถิด เวลาบริโภคกามอย่าล่วงเลยท่านไปเสีย ” แม้เทพธิดานี้จะมีรูปร่างงดงามเกินหญิงใด ก็ไม่อาจทำลายศีลของฤาษีนี้ทะลายลงได้
	
		ดาบสไม่ได้สนใจไยดีต่อความงดงดงามของเทพธิดานางก็เลยลาจากไปแต่โดยดี
	
			     พระดาบสมิได้สนใจใยดีกับคำเชิญชวนของเทพธิดานั้น ยังตั้งมั่นอยู่ในจิตเป็นสงบ “ มาสิท่านดาบส เราจะทำให้ท่านมีความสุข จนลืมธรรมะเหล่านี้ไปเสียสิ้น มากับเราเถอะ ” “ เราไม่รู้เวลาตาย
			
		
			ไม่ได้โดยแท้ เวลาตายยังปกปิดอยู่ หาปรากกฎไม่ เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่บริโภคกามแล้วเที่ยวภิกษา เวลากระทำสมณะธรรมอย่าล่วงเลยเราไปเสีย ”
		
			เทพธิดาเมื่อสดับคำของผู้ทรงศีลแล้ว ก็หายไป ณ ที่นั้นเอง พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดง แล้วทรงประชุมชาดกว่า
		
																		เทพธิดาในครั้งนั้น ได้เป็น เทพธิดาในครั้งนี้
																	
																		ฤาษีผู้ทรงศีล เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า
																










