ชาดก 500 ชาติ
ผลชาดก-ชาดกว่าด้วยความสามารถในการดูผลไม้

		โกศลรัฐซึ่งมีนครสาวัตถีเป็นเมืองหลวง
	
		     ในสมัยพุทธกาลนั้น ชนชาวอารยันได้ปกแผ่ความไพศาลแห่งอำนาจไปกว่าครึ่งชมพูทวีป มีโกศลรัฐเป็นมหาอาณาจักรและสาวัตถีเป็นนครหลวง สมเด็จพระบรมศาสดา
	
		สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับเจริญพระธรรมเทศนาชาดกเกือบ ๕๐๐ พระชาติ ณ เมืองนี้ นอกฤดูพรรษาหนึ่งก่อนที่เหล่าภิกษุสงฆ์จะออกจาริกไปเผยแผ่พระพุทธธรรม
	
		ตามนิคมแว่นแคว้นต่าง ๆ
	
		พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ เมืองสาวัตถี
	
		     ชาวพระนครก็มักกราบอาราธนาพระพุทธองค์เสด็จรับภัตตาหารที่บ้านเรือนตนอยู่มิได้ขาด ครั้งหนึ่งทรงรับนิมนต์คหบดีเจ้าของสวนผลไม้ จึงเสด็จนำหมู่ภิกษุสงฆ์ไปตาม
		
	
		การอาราธนานั้น ชาวสวนผลไม้จัดพระพุทธอาสนะให้พระพุทธองค์ประทับภายในเคหสถานของตนพร้อมกับพระเถระผู้ใหญ่ “ กราบอาราธนาพระสมณะโคดมและพระเถระ
		
	
		ผู้มีอายุเข้าในเรือน
	
		ในช่วงนอกฤดูพรรษา ณ เมืองสาวัตถี
	
		     ให้ข้าพเจ้าได้ถวายภัตตาหารอันประณีตบนพุทธอาสน์และอาสนะสงฆ์เถิด ส่วนพระภิกษุที่ตามเสด็จมานั้น ข้าพเจ้าขออาราธนาท่านตามคนสวนของข้าไปอีกด้านของบ้านเถิด ”
		
	
		“ เจริญพร ” “ นิมนต์ทางนี้ขอรับพระคุณเจ้า กระผมได้จัดเตรียมอาสนะและภัตตาหารเอาไว้สำหรับพระคุณเจ้าแล้ว ” “ สวนของท่านนี่ ช่างร่มรื่นดีแท้ ” “ ขอรับพระคุณเจ้า ”
	
		คหบดีเจ้าของสวนผลไม้ได้กราบอาราธนาพระพุทธองค์ไปรับภัตตาหารที่เรือนของตน
	
		      ที่นั้นเป็นสวนผลไม้อันร่มรื่น และเสนาะโสดด้วยเสียงนกน้อยขับขานเชิญสำราญใจอยู่ทั่วบริเวณ “ อาราธนานิมนต์พระคุณเจ้าที่อาสนะอันเรียงรายอยู่ในสวนผลไม้เพื่อรับภัตตาหาร
		
	
		แต่บัดนี้เถิด ” ครั้งนั้นภิกษุจากพระเชตวันมหาวิหารได้รับความสะดวก มิบกพร่องสิ่งใด ทั้งอาหารคาวหวาน น้ำมันหอมและผลไม้เลิศรส ซึ่งดูจะเลิศกว่าสวนผลไม้ใด ๆ ที่ได้ลิ้มลองมา
	
		คหบดีได้กระทำการต้อนรับพระพุทธองค์ที่เสด็จมารับภัตตาหารที่เรือนของตน
	
		      จึงอดไม่ได้ที่จะถามความเป็นมาของผลไม้เหล่านั้นกับหนุ่มคนสวน “ โยมผลไม้เหล่านี้ โยมนำมาจากที่ใดกันเล่า ใครเป็นผู้ดูแลรึ ” “ นั่นสิโยม ปกติธรรมดาในจำนวนผลไม้
		
	
		ต้องมีรสฝาดบ้าง ขมบ้าง เปรี้ยวบ้าง แต่ผลไม้เหล่านี้กลับมีรสหวานฉ่ำทั้งสิ้น ” “ กราบเรียนพระคุณเจ้า ทั้งหมดนี้ก็ได้คนดูแลสวนผู้นี้ คอยดูแลเอาใจใส่ มิได้ขาดขอรับ ”
	
		เหล่าภิกษุสงฆ์ได้ฉันภัตตาหารท่ามกลางบรรยากาศที่ร่มรื่น
	
		     “ อืม โยมมีเคล็ดลับอะไรในการดูแลสวนผลไม้เหล่านี้เป็นพิเศษหรือ ถึงได้ออกมาหวานฉ่ำเช่นนี้ทุกผล ” “ กราบเรียนพระคุณเจ้ากระผมมิได้มีเคล็ดลับอันใด มีแต่ความรู้เรื่องผลไม้
		
	
		ที่ตกทอดมาเท่านั้น หากพระคุณเจ้าสนใจ กระผมจักพาพระคุณเจ้าเดินชมสวนผลไม้หลังจากพระคุณเจ้าฉันภัตตาหารเหล่านี้เสร็จแล้ว ” “ ก็ดีเหมือนกัน อาตมาก็อยากจะเปิดหูเปิดตา
		
	
		ดูเรื่องผลไม้บ้าง ”
	
		คนสวนของท่านคหบดีได้จัดผลไม้ที่เลิศรสน้อมถวายแด่เหล่าภิกษุสงฆ์
	
			     ความสามารถเป็นเลิศในการดูผลไม้นานาพรรณ ไม่ว่าจะติดปลายกิ่งอยู่บนลำต้นสูงลิ่วหรืออยู่ในร่มใบบังหากสายตายังมองเห็นก็จะบอกอายุ สี กลิ่น และวิธีบริโภคได้ทุกอย่าง
			
		
			เป็นที่เจริญปัญญาแก่ภิกษุทั้งหลายเป็นอย่างมาก “โอโห ผลไม้เต็มไปหมดเลย ช่างออกผลอุดมสมบูรณ์ดีเหลือเกิน ” “ อื้อหือ ไม่น่าเชื่อเลย ” “ นั่นนะสิ โยมช่างเก่งสมดังคำ
			
		
			ที่ท่านคหบดีกล่าวไว้จริง ๆ น่าทึ่งมาก เจริญปัญญาแก่พวกอาตมาโดยแท้ ”
		
				เหล่าภิกษุสงฆ์ได้พากันชมสวนผลไม้ของท่านคหบดี
		
		     “ หามิได้ขอรับพระคุณเจ้า กระผมก็แค่คนสวนธรรมดา หาได้เก่งกาจอะไรหรอกขอรับ ” “ โยมนี่ ช่างถ่อมตนจริง ๆ เลยนะ ” ภิกษุบางกลุ่มอัศจรรย์ในคนดูแลสวน จึงเรียนรู้
		
	
		วิชชาพิเศษนี่อย่างเพลิดเพลิน โดยมิได้เก็บผลไม้กลับไปเป็นของขบฉันแต่อย่างใด กลับเป็นสุขในกุศลเจตนาที่ได้ชมความอุดมสมบูรณ์ของสวนผลไม้อย่างอิ่มเอิบใจ
		
	
		จนได้เวลาพระพุทธองค์เสด็จกลับพระอาราม
	
		คนสวนของท่านคหบดีได้ถวายความรู้ในเรื่องการดูแลสวนผลไม้ของตนแด่เหล่าภิกษุสงฆ์
	
		     “ วันนี้ ต้องขอบใจท่านมากนะ ที่ช่วยให้พวกอาตมาได้เจริญปัญญาอย่างมากจริง ๆ ” “ มิเป็นไร มิได้ขอรับพระคุณเจ้า เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าควรกระทำอยู่แล้ว ” กระทั่งเมื่อเหล่าภิกษุ
		
	
		ตามเสด็จกลับพระเชตวัน ก็ยังมีบางรูปสนทนากันต่อในเรื่องความเก่งเป็นพิเศษของคนสวน “ โยมหนุ่มคนสวนผู้นั้น ช่างเก่งจริง ๆ เลยนะท่าน ดูแลสวนไม้ได้อย่างดีเยี่ยม แต่ละผล
		
	
		ก็ดูสวยงาม เลิศรสจริง ๆ ” “ ใช่ โยมหนุ่มคนนั้นช่างเชี่ยวชาญเรื่องผลหมากรากไม้สะเหลือเกิน ไม่เช่นนั้น คงไม่ปลูกผลไม้ได้เลิศรสขนาดนี้ ” 
	
		เหล่าภิกษุสงฆ์ต่างพากันกล่าวขานชื่นชมคนดูแลสวนผลไม้ของท่านคหบดี
	
		     “ ใช่ ใช่ ใช่ ข้าก็คิดเช่นนั้น เหมือนพวกท่าน ” ความเชี่ยวชาญในเรื่องการดูแลสวนผลไม้ของคนสวนหนุ่ม เป็นที่ชื่นชมของเหล่าภิกษุที่ได้ตามเสด็จพระพุทธองค์ไปในครั้งนั้น จนนำ
		
	
		กลับมาสาธยายเล่าขาน พร้อมทั้งสรรเสริญแก่เหล่าภิกษุรูปอื่น ๆ ที่ไม่ได้ตามเสด็จกันอย่างทั่วหน้า “ นี่ท่าน วันนี้ที่ข้าได้ติดตามพระพุทธองค์ไปฉันภัตตาหารที่บ้านของคหบดีนั้น ผลไม้
		
	
		ลูกสวย ๆ งาม ๆ ทั้งนั้นเลย แถมรสชาติก็หอมหวานจริง ๆ ไม่เคยพบไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย ” “ จริงรึท่าน ” “ นี่ถ้าท่านได้เห็นกับตานะ รับรองว่าท่านต้องชอบแน่ ๆ เลย ”
	
		คนดูแลสวนผลไม้ของท่านคหบดีสามารถบอกอายุ สี กลิ่น ขนาด ระยะเวลาของผลไม้ที่ตนปลูกได้ทุกประเภท
	
		     “ อะไรจะขนาดนั้น ท่านพูดเกินไปรึเปล่านี่ ก็แค่สวนผลไม้ธรรมดา มีมากมายตั้งหลายสวน มันก็เหมือน ๆ กันทั้งนั้น ” “ แต่ที่สวนนี้ไม่เหมือนกับที่สวนอื่น ๆ เลยนะท่าน เพราะมีคนสวนหนุ่ม
		
	
		ที่มีภูมิความรู้เชี่ยวชาญเรื่องผลไม้เป็นอย่างดี ไม่ว่าผลไม้ลูกไหนจะอยู่ที่ปลายกิ่ง หรือสูงลิบลิ่ว หรือว่าอยู่ในร่มไม้ใบบังหากสายตาเขามองเห็นแล้วละก็ เขาจะบอกได้ในทันทีเลยว่าผลไม้นั้น
		
	
		อายุเท่าไหร่ รสชาติเป็นอย่างไร สีข้างในนั้นจะเป็นเช่นไร แล้วก็เหมาะแก่การบริโภคแล้วหรือไม่ ”
	 
    
		พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนำอดีตนิทาน ผลชาดก มาตรัสเล่าแก่เหล่าภิกษุสงฆ์
	
		     “ โอ้โห ช่างน่าอัศจรรย์โดยแท้ มีคนมีภูมิความรู้เชี่ยวชาญเรื่องผลไม้ขนาดนั้นเชียวรึท่าน ” เรื่องเล่าดังนี้ เมื่อสมเด็จพระพุทธองค์ทรงสดับก็มีพระกรุณาธิคุณให้ภิกษุทั้งหลาย
		
	
		ตระหนักถึงการใช้ความรู้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ทรงระลึกพระชาติครั้งเก่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในอดีตก็มีผู้รู้เรื่องผลไม้และนำชีวิตคนจำนวนมากรอดตายมาแล้ว ” แล้วพระองค์
		
	
		ก็ทรงตรัสผลชาดก ด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณขึ้นดังนี้
	
		นายกองหนุ่มคุมเกวียนบรรทุกสินค้าจากพาราณสีไปยังต่างถิ่น
	
		     ในกาลก่อนยังซึ่งมีนายกองหนุ่มซึ่งคุมคน ๕๐๐ กองเกวียนจากนครพาราณสีบรรทุกสินค้าไปยังต่างถิ่นการจัดขบวนดูรัดกุมเข้มแข็ง ยิ่งใกล้ป่าชายแดนก็ยิ่งดูระมัดระวังตัวมากขึ้น
		
	
		“ หยุดก่อนทุกคนเรียกพวกเรามาประชุมคนให้หมดก่อนที่เราจะผ่านป่านี้กันไปเถอะ เหตุที่ข้าต้องให้กองเกวียนหยุดแล้วเรียกทุกคนมาประชุมกันทั้งหมด ก็เพราะว่าป่าเขียวขจี
		
	
		ที่กำลังจะผ่านเข้าไปข้างหน้านั้นเป็นป่าแห่งพิษ บางชนิดมีพิษที่ใบ บางชนิดมีพิษที่ยางในกิ่งก้าน
		
	
		นายกองหนุ่มสั่งหยุดขบวนเกวียนเมื่อเข้าเขตป่าที่มีพิษ
	
		     หลายต้นมีพิษที่ดอกแม้เด็ดดมเข้าไปอาจหน้ามืดตามัว ถึงกับบอดได้ ข้าอยากให้พวกเราทุกคนระวังตัวกันเป็นพิเศษ อย่าแตะต้องผลไม้หรือว่าพืชใด ๆ ในป่า ให้กินแต่อาหารเสบียง
		
	
		ที่เราขนมาเท่านั้น หากใครมีข้อสงสัยให้มาถามข้าได้ ” เมื่อประชุมเสร็จต่างก็พากันกลับไปประจำยังเกวียนแล้วปฏิบัติหน้าที่ของตน “ นายท่านเขาสั่งอะไรไว้อย่าลืมเสียละไอ้หนุ่ม”
		
	
		“ แหมข้าไม่ได้ตะกละหรอกนะ เห็นแบบน้ข้าก็กลัวตายนะโว้ย ยิ่งนายสั่งกำชับแบบนี้ด้วย อย่าห่วงเลยน่า ”
	
		นายกองหนุ่มได้ตักเตือนและบอกกล่าวถึงอันตรายซึ่งจะเกิดจากป่าที่มีพิษ
	
		     กองเกวียนหลายขบวนเคยผ่านเข้ามา แต่น้อยรายจะผ่านพ้นประตูป่าออกไปยังเมืองใหญ่ได้ เพราะมักเก็บกินผลไม้พิษที่จะผลิตผลมากมายออกยั่วยวนอยู่ตลอดทาง แต่กองเกวียน
		
	
		ผู้มีนายกองหนุ่มผู้เฉลียวฉลาดเป็นหัวหน้าขบวนนี้ ก็สามารถฝ่าดงพิษมาได้โดยสวัสดิภาพ เพราะเขาผู้นี้ปฏิบัติตามคำสอนอันตกทอดมาของตระกูลอย่างเคร่งครัดและอบรมบริวารให้
		
	
		รักษาวินัยอยู่เสมอนั่นเอง อันนิสัยปัญญาชนนั้นแม้ผ่านอุปสรรคมาได้ก็ย่อมระมัดระวังอยู่เช่นเดิม
	
		ขบวนเกวียนได้ออกเดินทางต่อจนเลยเขตป่าที่มีพิษ
	
			     “ เอ้ ข้างหน้ามีดงมะม่วง น่าแปลกจริง หยุดกองเกวียนก่อนดีกว่า พวกเราหยุดขบวนก่อน ” เมื่อนายกองลงจากหลังม้าแล้วจึงพูดกับมันว่า “ เจ้าม้าเอ๋ย เจ้าเองก็อย่าเผลอใจ
			
		
			เห็นแก่ความอยากละ จะตายไม่รู้ตัวนะ ” เมื่อขบวนหยุดนายกองก็เรียกทุกคนมาประชุมกันเหมือนทุกครั้งที่มีเหตุการณ์ปกติ “ เราผ่านดงพิษใหญ่มาอย่างปลอดภัย ถึงบัดนี้
			
		
			แม้เห็นป่ามะม่วงดกดื่น ล้วนเต่งตึงน่ากินก็อย่าวางใจ เพราะบริเวณนี้ใกล้หมู่บ้านมาก แล้วต้นมะม่วงก็ไม่สูงนัก แต่กลับไม่มีชาวบ้านผู้ใด หรือใครมาเก็บผลไปกิน
		
		ขบวนเกวียนได้เดินทางต่อจนเข้าใกล้เขตหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยสวนมะม่วง
	
			     ปล่อยไว้จนดกดื่นแบบนี้ น่าสงสัย ถึงมันจะมีผิวเกลี้ยงเกลาเต่งตึงใกล้สุกน่ากินสักเพียงไรก็ตาม หากไม่จำเป็นอย่าเข้าใกล้มะม่วงทุกต้น แล้วอย่านำผลมันมากินอย่างเด็ดขาด ”
			
		
			“ อูย น่าหม่ำจัง นี่ถ้านายไม่สั่งไว้ละก็ น่าดูเชียวละ ” “ ใช่ ๆ ๆ ข้าจะเด็ดมาทำมะม่วงน้ำปลาหวาน พูดแล้วก็อยากกินจริง ๆ เลย น่ากินมาก ” “ เฮ้ย ๆ ๆ ๆ อย่านะโว้ย นายสั่งห้าม
			
		
			แบบนี้แล้วอย่าได้ฝ่าฝืนกินเชียว ”
		
		นายกองหนุ่มได้เตือนขบวนเกวียนอีกครั้งเมื่อเดินทางถึงสวนมะม่วงที่มีพิษ
	
			     “ เอาน่าพวกข้าก็แค่พูดไปเท่านั้นแหละ ไม่ได้คิดจะเด็ดมากินจริง ๆ ซะหน่อย ” “ แต่ข้าว่านะ ไม่น่าจะมีพิษในมะม่วงอีกหรอก ก็พวกเราผ่านดงไม้มีพิษกันมาแล้วนี่น่า ” “ คำสั่งของนาย
			
		
			คือคำขาดนะโว้ย อย่าได้คิดแตะเชียว ” แต่คนหมู่มากย่อมมีความแตกต่างกันเป็นธรรมดา “ สบโอกาสข้าล่ะ ขอสักผลแล้วกัน อดใจไม่ไหวแล้วโว้ย เดินมาตั้งไกล หิวจะตายอยู่แล้ว ”
			
		
			“ เฮ้ยอย่าเชียวนะ เห็นผิวมันสวยๆ เนียนอย่างนี้ก็เถอะ อาจตายได้นะไอ้หนุ่ม ”
	
		สวนมะม่วงมีผลมากมายดกดื่นเต็มต้นแต่ไม่มีร่องรอยของการเก็บเกี่ยว
	
			     “ แหม ๆ ๆ ๆ อย่ามาอิจฉาข้าหน่อยเลยน่า ขอร้อง เต่ง ๆ ตึง ๆ แบบนี้ รสชาติหอม หวานมันอร่อยแน่ ไม่เชื่อเดี๋ยวข้าจะกินให้ดู ฮ่า ฮ่า ฮ่า ” ทันที่ที่นายตะกละ กลืนมะม่วงลงคอ
			
		
			ความหวานมันที่กลางลิ้นก็กลายเป็นกรดพิษทะลวงลงช่องท้อง ถึงกับร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด ทรมาน ล้มลงชักดิ้นชักงออย่างน่าตกใจ “ โอ๊ะ ตายแล้วช่วยด้วย ช่วยด้วย ”
	
																								ผู้ร่วมขบวนเกวียนต่างตื่นตาตื่นใจกับผลมะม่วงที่มีมากมายและน่ารับประทานยิ่งนัก
																							
																									      “ เฮ้ย ใครก็ได้รีบไปเอายาล้างพิษจากนายกองมาเร็ว ” แต่เดชะบุญโชคยังเข้าข้างที่นายกองเกวียนเอายาล้างพิษมากรอกปากนายตะกละได้ทันเวลา “ นั่นไงล่ะ ข้าเตือนเอ็งแล้ว
																								
																									ก็ไม่เชื่อ ถ้านายกองมาไม่ทันละก็ เอ็งได้ไปหายมบาลแน่ ๆ เตือนแล้วก็ไม้ฟัง ” “ เห็นโทษของการไม่ยับยั้งชั่งใจหรือยัง
																							
																								บุรุษหนุ่มผู้ตะกละอดใจไม่ไหวได้เก็บมะม่วงโดยที่ไม่สนใจคำเตือนของนายกองเกวียน
																							
																									     จำไว้เถอะว่า ไม่มีสิ่งสวยงามใดไร้พิษเจือปนอยู่ ต่อไปจงอย่าได้ประมาทอีก ” “ ข้าเข้าใจแล้ว ท่านนายกอง ต่อไปนี้ ข้าจะไม่ขัดคำสั่งนายกองอีกแล้ว ” ชาวขบวนเกวียนตกใจ
																								
																									กับมะม่วงพิษไม่ทันหาย หน่วยคุ้มครองก็แจ้งข่าวใหม่ให้ตื่นเต้นกันอีก “ ท่านนายกอง ท่านนายกอง พวกเราจับชาวบ้านได้ 2 คน เป็นพวกฉกชิงทรัพย์ที่ทำอยู่เป็นนิจเลยล่ะ
																							
																								บุรุษหนุ่มผู้ตะกละได้กัดกินผลมะม่วงด้วยความหิวกระหาย
																							
																									      ในดงมะม่วงมีพิษแห่งนี้นี่แหละ จะให้ข้าจัดการกับพวกชาวบ้านเยี่ยงไรดีท่านนายกอง ” “ เมื่อนายกองเห็นชาวบ้านทั้งสองก็ต้องแปลกใจ เพราะชาวบ้านทั้งสองนั้น แต่งกาย
																								
																									เกินฐานะโจรฉกชิงทรัพย์ทั่วไป จึงคาดคั่นเอาความจริง จนโจรทั้งสองยอมรับสารภาพ ” “ พวกเราเอามะม่วงพิษนี้มาขยายพันธ์ุไว้เองล่ะ ”
																							
																								พิษของมะม่วงส่งผลทันทีที่มะม่วงผ่านลงถึงท้องของบุรุษผู้ตะกละ
																							
																									      “ ใครผ่านมาถึงฤดูของมันก็มักจะเก็บกิน แล้วก็มักจะไม่มีคนรอด พวกเราไม่ได้ฆ่า มันก็ตายทุกรายแล้ว ” “ ใช่ ไม่มีใครทนต่อ รูป รส กลิ่น สีได้เลยสักราย พวกเราแค่ มาเฝ้าดู
																								
																									จนทุกคนตายสนิทเท่านั้น ” “ พวกเราก็แค่ดูทุกคนตายอย่างช้า ๆ แล้วก็ค่อยชวนกันมาเก็บทรัพย์กลับไปที่หมู่บ้านของเราก็แค่นั้นเอง ”
																							
																								บุรุษหนุ่มผู้ตะกละรอดชีวิตได้เพราะยาล้างพิษของนายกองเกวียน
																							
																									    “ แต่พวกเราไม่ได้เอาไปเปล่า ๆ นะท่าน พวกเราก็มีตอบแทนด้วยการฝั่งศพในดงมะม่วงให้นะ ใจบุญนะเนี่ย ” “ หมู่บ้านของเราก็อาศัยทรัพย์ที่หาได้แบบนี้ สุขสบายกัน
																								
																									มากมานานแล้ว แล้วก็ไม่เคยมีใครรอด เพิ่งจะรอดก็ครั้งนี้นี่แหละ ”
																							
																								หน่วยคุ้มครองแจ้งข่าวกับนายกองเกวียนว่าจับโจรฉกทรัพย์ได้ 2 คน
																							
																									      “ ว่าแต่ท่านเถอะ รู้ได้ไงว่ามะม่วงนี้มีพิษกินไม่ได้ ” “ เพราะว่าแถวนี้ใกล้หมู่บ้าน แล้วยังต้นมะม่วงนี้ก็ไม่ได้สูงอะไร แล้วยังมีลูกดก โดยที่พวกท่านไม่ได้เก็บเลย แสดงว่า
																								
																									ต้องมีพิษแน่ ๆ ” จบการบอกเล่า นายกองเกวียน ก็ยกธรรมะข้อเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นมาอธิบาย
																							
																								โจรฉกทรัพย์ได้สารภาพว่าพวกตนได้นำมะม่วงมีพิษมาปลูกไว้ตามแนวชายป่าใกล้หมู่บ้าน
																							
																									     อีกทั้งให้ปวารนารับศีลของคฤหัสถ์ไปปฏิบัติแลกกับอิสระภาพ “ หากเราไร้ศีลสัตย์เช่นเจ้า ป่านนี้ก็คงต้องตายด้วยดาบไปแล้ว ฉะนั้นพวกเจ้าจงปฏิบัติรักษาศีลให้จงดี ”
																								
																									“ พวกเราสำนึกผิดแล้ว ต่อไปพวกเราจะไม่ทำอย่างนี้อีก ขอท่านจงวางใจ ”
																							
																								โจรฉกทรัพย์จะนำสินค้าเงินทองไปเป็นของตนเองหลังจากชาวขบวนเกวียนตายจากไปแล้ว
																							
																									      สติปัญญาและประสบการณ์อันดีของผู้นำนั้น เมื่อได้รวมกันเข้ากับน้ำใจอันกว้างขวางแล้ว ย่อมสร้างกุศลกรรมไว้ได้กับแผ่นดินทุกขณะดั่งเช่นเหตุการณ์นี้ ต่อแต่นั้นมา
																								
																									ชายแดนพาราณสีก็ไม่มีผลไม้พิษคร่าชีวิตชาวขบวนเกวียนใด ๆ อีกเลย พวกมันถูกโค่นทำลายหมดสิ้น 
																								
																								นายกองเกวียนได้ยกธรรมะมาสอนโจรฉกทรัพย์แล้วก็ให้ปวารานารับศีลของคฤหัสถ์
																							
																									     ชาวบ้านใจบาปล้วนหันมาประกอบสัมมาชีพกันถ้วนหน้า บางทีกองเกวียนสินค้าบางขบวนก็อาจเป็นพวกเขาบ้างก็เป็นได้ เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสผลชาดกเสร็จ ก็ให้พระคาถาประจำชาดกว่า 
																								
																								 โจรฉกทรัพย์ถูกปล่อยตัวกลับไปยังหมู่บ้านหลังจากที่สำนึกผิดในการกระทำของพวกตน
																							
																											บริวารในกองเกวียน ได้กำเนิดเป็น พุทธบริษัท
																										
																											ส่วนหนุ่มนายกองเกวียน เสวยพระชาติ เป็นเราตถาคตฉะนี้แล
																										
																											นายํ รุกฺโขทุรารุโห นปิคามโตอารกา
																										
																											อาการเกน ชานามิ นายํ สาธุผโล ทุโม
																										
																											ต้นไม้นี้คนขึ้นไม่ยาก ทั้งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน
																										
																											เป็นการบอกให้เรารู้ว่า ต้นไม้นี้ มิใช่ต้นดี
																									











