ชาดก 500 ชาติ
สสปัณฑิตชาดก-ชาดกว่าด้วยผู้สละชีวิตเป็นทาน

	พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ นครสาวัตถี
	     พุทธกาลสมัยหนึ่ง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์พระศาสดาแห่งพระพุทธศาสนาได้เสด็จาริก ณ สาวัตถีนครเพื่อเผยแพร่คำสอนในหลักธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงตรัสรู้
	ให้ชาวเมืองได้ซึมซับนำไปปฏิบัติในการดำเนินชีวิตด้วยความผาสุก ทุกหนแห่งที่พระพุทธองค์เสด็จไปต่างสงบร่มเย็น ภายใต้ร่มพุทธธรรม

	กุฎุมพีผู้หนึ่งได้ให้บริวารจัดเตรียมเครื่องบริขารเพื่อถวายแด่คณะสงฆ์
	     ในกาลนั้นมีกุฎุมพีผู้หนึ่งในนครสาวัตถี เลื่อมใสศรัทธาในคำสอนขององค์พระศาสดายิ่งนัก กุฎุมพีผู้นี้ตระเตรียมการถวายเครื่องบริขารทุกอย่างแก่ภิกษุสงฆ์ โดยมีพระพุทธองค์เป็นประทาน
	
	“ เราต้องจัดเตรียมเครื่องทานทั้งหลายให้พร้อมเพรียง เร่งมือกันหน่อยนะพวกเจ้า ตั้งใจจัดเตรียมกันให้ดี ๆ ล่ะจะได้บุญกันถ้วนทั่วทุกคน ”
	

	กุฎุมพีได้นิมนต์พระสงฆ์ให้พำนักในมณฑปที่ตนสร้างไว้
	     กุฎุมพีผู้นี้ได้จัดสร้างมณฑปที่ประตูเรือนเพื่อนิมนต์ภิกษุสงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธานประทับในบวรอาสน์ในมณฑปที่จัดแจงไว้นั้น จากนั้นจึงได้ถวายทานอันประณีตมีรสเลิศต่าง ๆ
	
	แล้วยังได้นิมนต์ฉันอีก ๗ วัน “ ข้าแต่องค์พระศาสดา ข้าพระองค์ได้จัดเตรียมทานอันประณีตต่าง ๆ ไว้ถวายแล้วขอรับ ตลอด ๗ วันนี้ ขอให้ข้าพระองค์ได้ถวายทานให้แก่องค์พระศาสดา
	
	และภิกษุสงฆ์ทั้งหลายด้วยเถิด ”

	กุฎุมพีได้น้อมถวายทานอันประณีตตลอด ๗ วัน
	      พระพุทธองค์ทรงรับการถวายของกุฎุมพีที่เขาตั้งใจไว้ดีแล้ว เมื่อล่วงเข้าสู่วันที่ ๗ การถวายบริขารทั้งปวงแก่ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูป โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธานนั้นก็เสร็จสิ้น หลังจากเสร็จภัตกิจแล้ว
	
	เนื่องด้วยเห็นในความตั้งใจจริงของกุฎุมพีผู้นี้ที่ศรัทธาและมีจิตใจดีงาม ก่อนที่พระศาสดาจะกระทำอนุโมทนา จึงได้ตรัสแก่กุฎุมพีด้วยความเมตตาว่า “ ดูกรอุบาสก ควรแล้วที่ท่านจะกระทำปีติโสมนัส
	
	เนื่องว่าท่านนี้เป็นวงศ์ของบัณฑิตในสมัยก่อนทั้งหลาย

	พระศาสดาทรงตรัสกับกุฎุมพีในเรื่องของการบริจากทาน
	      ด้วยว่าบัณฑิตในสมัยก่อนทั้งหลายนั้นได้บริจาคชีวิตแก่เหล่ายาจกมาถึงเฉพาะหน้า แม้แต่ชีวิตของตนก็ได้ให้ไปแล้ว ” จากนั้นองค์พระศาสดาจึงทรงระลึกชาติ ด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ
	
	ตรัสเล่า สสปัณฑิตชาดก เป็นพุทธโอวาท แก่กุฎุมพีและเหล่าพุทธสาวกทั้งหลายดังนี้ ในอดีตกาลวาระที่พระเจ้าพรหมทัตปกครองนครพาราณสีอย่างผาสุกด้วยทศพิตรราชธรรม
	

	พระศาสดาทรงตรัสเล่า สสปัณฑิตชาดก แก่กุฎุมพีและเหล่าสาวกทั้งหลาย
	     กาลนั้นพระโพธิสัตว์ก็ได้กำเนิดเป็นพญากระต่าย อาศัยอยู่ในป่า โดยอาศัยอยู่ร่วมกับสหายอีก ๓ ตัว ก็คือ ลิง สุนัขจิ้งจอกและนาก “ ว่าอย่างไรกันบ้างละ ท่านลิง ท่านสุนัขจิ้งจอก ท่านนาก
	
	ช่วงนี้ป่าอุดมสมบูรณ์ร่มรื่นจริง ๆ นะ พวกท่านสบายดีกันหรือเปล่าละ ” “ เจี๊ยก ๆ ๆ ๆ เราสบายดี ท่านเองก็ดูอ้วนท้วนแข็งแรงดีเหมือนกันนะท่านกระต่ายสหายรัก ” “ ส่วนของข้าไม่ไหวเลย
	
	ที่อยู่อาศัยของข้าช่วงนี้ร้อน นอนไม่ค่อยหลับเลย ”

	พญากระต่ายโพธิสัตว์กับสหาย ๓ ตัว คือ ลิง นาก สุนัขจิ้งจอก
		     “ งั้นมานอนริมน้ำกับข้าไหมละท่าน หรือจะไปนอนในน้ำก็ได้นะ ท่านสุนัขจิ้งจอก รับรองเย็นสบาย ฮ่า ฮ่า ฮ่า ” “ เป็นเล่นไป เดี๋ยวข้าก็จมน้ำตายพอดี ” “ ท่านนี่ก็ จริง ๆ เล้ย เฮ้อ ต่อไปใครจะ
		
	
		เป็นเพื่อนคุยกับท่านละ ” สหายรักทั้ง ๔ นี้ เป็นสัตว์ที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม โดยเฉพาะพญากระกระต่าย ตกเย็นทุกครั้ง ก็มักจะมาพบปะกันเพื่อฟังโอวาทจากพญากระต่ายอยู่เสมอ
		
	
		อยู่มาวันหนึ่ง พญากระต่ายมองดูดวงจันทร์ก็รู้ว่า วันรุ่งขึ้นคือวันอุโบสถ
	
			เหล่าภิกษุสงฆ์ได้พากันชมสวนผลไม้ของท่านคหบดี
	
	     เมื่อทราบเช่นนั้นพญากระต่ายจึงได้ให้โอวาทแก่สหายสัตว์ทั้ง ๔ ว่า “ พวกท่านทั้งหลายวันนี้เราจงมาสมาทานศีล รักษาอุโบสถกันเถิด เพราะมีบุญกุศลมาก ฉะนั้นท่านจงเตรียมอาหารกันไว้
	
	เพื่อไว้แบ่งปันผู้ที่มาขอทานเถิด ” “ ได้สิ เมื่อท่านกระต่ายว่าอย่างนั้น ข้าก็ไม่ขัด ” “ ได้เลย ข้าเอาด้วย ” “ เรื่องศีลเรื่องธรรม พวกเราไม่เคยเกี่ยงอยู่แล้ว ” ทั้ง ๓ เมื่อรับคำแล้วจึงพากันกลับไปยัง
	
	ที่อยู่ของตน เมื่อถึงวันรุ่งขึ้นต่างก็พากันออกหาอาหารเพื่อเก็บไว้ให้ทาน ดั่งที่พญากระต่ายสหายรักแนะนำ

	คนสวนของท่านคหบดีได้ถวายความรู้ในเรื่องการดูแลสวนผลไม้ของตนแด่เหล่าภิกษุสงฆ์
	      นากนั้นตื่นแต่เช้าตรู่ มุ่งหน้าไปยังฝั่งแม่น้ำคงคา ขณะนั้นพรานเบ็ดคนหนึ่งตกปลาตะเพียนได้ถึง ๗ ตัว ก่อนที่จะนำเอาเถาวัลย์มาร้อยหัวปลา แล้วขุดดินกลบฝังก่อนที่จะข้ามไปทางใต้ของแม่น้ำ
	
	เพื่อตกปลาต่อไป “ ถือไปก็แกะกะเปล่า ๆ มันจะแย่เอา ฝังไว้ตรงนี้ก่อนแล้วกัน ตกปลาเสร็จเดี๋ยวค่อยกลับมาเอา ” เมื่อนากออกหาอาหารผ่านมายังบริเวณนั้น และด้วยสัญชาตญาณของสัตว์
	
	มีประสาทสัมผัสรับกลิ่นที่ว่องไว

	เหล่าภิกษุสงฆ์ต่างพากันกล่าวขานชื่นชมคนดูแลสวนผลไม้ของท่านคหบดี
	     จึงได้กลิ่นคาวปลาที่ฝังอยู่ใต้ดิน ลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ  จึงลงมือขุดพื้นดิน คุยเอาปลาทั้ง ๗ ตัว ที่ถูกฝังขึ้นมา “ ฮึ ฮึ กลิ่นแรงแฮะ ต้องอยู่ตรงนี้แน่ ๆ เลย ” เมื่อขุดไปได้สักพัก นากก็พบปลา
	
	ซ่อนอยู่ใต้ดินจริง ๆ แต่เพื่อความแน่ใจว่าปลานี้ไม่มีเจ้าของ นากจึงส่งเสียงร้องเป็นสัญญาณ ๓ ครั้ง เพื่อให้เจ้าของปลาได้ยิน “ โอ้โห เจอแล้วมีตั้ง ๗ ตัวแน่ะ แต่เอ้ ปลาใครละนี่ เราลองร้องเรียกดู
	
	ดีกว่า ถ้าไม่มีใครแสดงตนก็ถือว่าปลานี้ไม่มีเจ้าของก็แล้วกัน เขาจะได้มาหาว่าเราเป็นขโมย อ้าก อ้าก อ้าก ”

	คนดูแลสวนผลไม้ของท่านคหบดีสามารถบอกอายุ สี กลิ่น ขนาด ระยะเวลาของผลไม้ที่ตนปลูกได้ทุกประเภท
	     เมื่อส่งเสียงร้องเรียกถึง ๓ ครั้งแล้ว ก็ยังไม่มีผู้ใดแสดงตนว่าเป็นเจ้าของปลา นากจึงตัดสินใจคาบปลาทั้ง ๗ ตัวไปเก็บไว้ที่รังของตน “ อือ ปลานี้ คงจะไม่มีเจ้าของแน่แท้แล้วล่ะ งั้นเราก็คาบ
	
	กลับไปเก็บไว้ที่รังก่อนดีกว่า ระหว่างนี้เราจะได้ถือศีลไปด้วยเลย ” ส่วนทางฝ่ายสุนัขจิ้งจอกเองก็ตระเวนหาเหยื่อเช่นกัน จนกระทั่งไปพบกับกระท่อมของคนเฝ้านาคนหนึ่งเข้า
 
    
	พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนำอดีตนิทาน ผลชาดก มาตรัสเล่าแก่เหล่าภิกษุสงฆ์
	     สุนัขจิ้งจอกจึงเดินเข้าไปสำรวจหมายจะหาอาหารแล้วก็พบเนื้อย่าง ๒ ไม้ เหี้ย ๑ ตัว และหม้อนมส้ม ๑ หม้อ “ เอ้ อาหารเหล่านี้มันมีเจ้าของหรือเปล่าหนอ สุ่มสี่สุ่มห้าหยิบไปถ้าจะไม่ดีแน่เลย
	
	ลองร้องเรียกหาเจ้าของหน่อยก็แล้วกัน ” เพื่อความแน่ใจว่าอาหารเหล่านี้ไม่มีเจ้าของ สุนัขจิ้งจอกจึงส่งเสียงร้องขึ้นมา ๓ ครั้ง เผื่อว่าเจ้าของจะได้ยิน จะได้รีบมาแสดงตน

	นายกองหนุ่มคุมเกวียนบรรทุกสินค้าจากพาราณสีไปยังต่างถิ่น
	     เมื่อเห็นว่าไม่มีเจ้าของมาแสดงตัว สุนัขจิ้งจอกจึงคาบอาหารที่พบในกระท่อมกลับไปไว้ยังพุ่มไม้รังของตนและเก็บไว้กินเมื่อถึงเวลา จากนั้นก็นอนถือศีล ส่วนทางฝ่ายลิงก็มุ่งหน้าเข้าไปในป่า
	
	เพื่อเก็บมะม่วงมาไว้ยังพุ่มไม้รังของตน เก็บไว้กินเมื่อถึงเวลา แล้วก็นอนจำศีลเช่นกัน “ อึม เก็บมะม่วงไว้สะขนาดนี้คงพอแล้ว กลับรังไปจำศีลได้แล้วเรา ”

	นายกองหนุ่มสั่งหยุดขบวนเกวียนเมื่อเข้าเขตป่าที่มีพิษ
	     ทางด้านพญากระต่ายกลับไม่ได้ออกไปหาอาหารมาตุนไว้เช่นสัตว์อื่น ๆ ได้แต่นอนจำศีลอยู่ในรังของมัน “ อืม เราเองจะไปเก็บหญ้าแพรกมาตุนไว้ให้ทาน ก็คงจะไม่มีใครอยากได้หญ้าแพรก
	
	ไปกินหรอก จะเป็นงาหรือว่าข้าวสาร เราเองก็ไม่มี ถ้ามียาจกมาขอทานจากเรา เราจะให้เนื้อของเรานี่แหละแก่ยาจกไป ” ด้วยอานุภาพของศีลที่พญากระต่ายได้ทำไว้นี่เอง

	นายกองหนุ่มได้ตักเตือนและบอกกล่าวถึงอันตรายซึ่งจะเกิดจากป่าที่มีพิษ
	     ได้ทำให้บัลลังก์ของท้าวสักกะนั้นเร้าร้อน ด้วยเหตุนี้ท้าวสักกะจึงได้ลงมาเพื่อพิสูจน์ศีลของสัตว์ทั้ง ๔  “ เราต้องทดลองจิตใจของพญากระต่ายกับพวกพ้องดูดีกว่า ว่าจะมั่นคงในศีลสักแค่ไหน ”
	
	ทันทีที่ลงมาถึงโลกมนุษย์ ท้าวสักกะในร่างของพราหมณ์ก็มุ่งหน้าไปยังที่อยู่ของนากก่อน เมื่อเห็นพราหมณ์ยืนอยู่ที่หน้ารังของตน นากจึงถามกลับไปว่า

	ขบวนเกวียนได้ออกเดินทางต่อจนเลยเขตป่าที่มีพิษ
		     “ ท่านพราหมณ์ ท่านมาเพื่อต้องการสิ่งใดหรือ ” “ อ๋อ ไม่มีอะไรมากหรอกท่านนาก เราเพียงต้องการอาหารบางส่วนเท่านั้น แล้วแต่ท่านจะกรุณาเถิด ” “ ได้สิท่านพราหมณ์ ตอนนี้ข้ามีปลาตะเพียน
		
	
		อยู่ ๗ ตัว ข้ามีอยู่เท่านี้ เชิญท่านรับประทาน แล้วเจริญสมณธรรมอยู่ในป่าเถิดไม่ต้องเกรงใจ ”
	
	ขบวนเกวียนได้เดินทางต่อจนเข้าใกล้เขตหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยสวนมะม่วง
		     หลังจากรับปลาจากนากแล้ว ท้าวสักกะในร่างของพราหมณ์ก็ตรงไปยังรังของสุนัขจิ้งจอกต่อทันที เมื่อสุนัขจิ้งจอกเห็นพราหมณ์ยืนอยู่ จึงถามออกไปว่า “ มีสิ่งใดให้เราช่วยหรือท่านพราหมณ์
		
	
		บอกมาเถิดเรายินดี ” “ เราเพียงต้องการอาหารเท่านั้นท่านสุนัขจิ้งจอก จะมากน้อยก็แล้วแต่ท่านจะกรุณาเถิด ” “ ไม่มีปัญหา นี่เลยท่านพราหมณ์ ข้ามีเนื้อย่าง ๒ ไม้ เหี้ย ๑ ตัว แล้วก็นมส้ม ๑ หม้อ
	
	นายกองหนุ่มได้เตือนขบวนเกวียนอีกครั้งเมื่อเดินทางถึงสวนมะม่วงที่มีพิษ
		     ข้าไปเอามาจากกระท่อมของคนรักษานาเมื่อคืนโน่น เท่านี้คงพอทำให้ท่านอิ่มอยู่หรอกนะ เอาไปเถอะ ข้ายกให้ท่านหมดเลย แล้วเชิญท่านเจริญสมณธรรมอยู่ในป่าตามสมควรเถิด ” “ ขอบคุณท่านมาก
		
	
		ท่านสุนัขจิ้งจอกผู้ใจบุญ ” หลังจากได้รับอาหารจากสุนัขจิ้งจอกแล้ว พราหมณ์ก็มุ่งหน้าไปยังรังของลิงต่อทันที

	สวนมะม่วงมีผลมากมายดกดื่นเต็มต้นแต่ไม่มีร่องรอยของการเก็บเกี่ยว
		     “ เอ้  ท่านพราหมณ์ มายืนอยู่ตรงหน้ารังเราด้วยเหตุอันใดฤา มีอะไรให้เราช่วยเหลือรึ บอกมาเถิด เจี๊ยก ” “ มิมีสิ่งใดหรอกท่านลิง ข้าเพียงต้องการมาขอแบ่งปันอาหาร เท่านั้น แล้วแต่ท่านจะกรุณาเถิด ”
		
	
		“ ได้สิท่านพราหมณ์ ข้ามีมะม่วงสุกอยู่ แล้วก็มีน้ำเย็น ๆ เชิญท่านทานตามสะดวกแล้วจะพักผ่อนใต้ร่มไม้อันร่มรื่นแถว ๆ รังเราก็ได้นะ จากนั้นแล้วค่อยเข้าป่า ไปเจริญสมณธรรมเถิดท่านพราหมณ์ ”

																							ผู้ร่วมขบวนเกวียนต่างตื่นตาตื่นใจกับผลมะม่วงที่มีมากมายและน่ารับประทานยิ่งนัก
																						
																								      “ ขอบคุณมากนะท่านลิง ” จากนั้นพราหมณ์จึงได้มุ่งตรงไปยังรังของพญากระต่าย โดยหมายที่จะไปทดสอบศีลของกระต่ายเช่นกัน “ สัตว์ทั้ง ๓ ตัวนี้ ดำรงอยู่ในศีลดีมาก ต่อไปก็ตาพญากระต่าย
																								
																							
																								บ้างละนะ ลองดูหน่อยสิ ว่าจะเหมือนสัตว์ทั้ง ๓ หรือเปล่า ” เพียงครู่เดียวพราหมณ์ก็มาถึงหน้ารังของพญากระต่าย “ พราหมณ์ท่านนั้น มีสิ่งใดให้เราช่วยเหลือหรือเปล่า ”
																						
																							บุรุษหนุ่มผู้ตะกละอดใจไม่ไหวได้เก็บมะม่วงโดยที่ไม่สนใจคำเตือนของนายกองเกวียน
																						
																								     “ ข้าเพียงแต่ต้องการมาขอบริจาคอาหารจากท่านเท่านั้น จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ท่านจะเห็นกรุณาเถิดนะ ท่านพญากระต่าย ” “ อาหารหรือท่านพราหมณ์ อันตัวเราหนะ ไม่ได้เก็บอาหารไว้ให้หรอก
																								
																							
																								ข้าวหรือว่างาเราก็ไม่มี เอาอย่างนี้ไหมล่ะท่านพราหมณ์ ท่านย่างเรากินก็ได้ แต่ท่านเป็นผู้มีศีลจะไม่ทำปาณาติบาตนี่น่า อืม ถ้าอย่างนั้นท่านก็จงไปรวบรวมฟืนมาก่อไฟ เสร็จแล้วเราจะกระโดดเข้า
																								
																							
																								กองไฟย่างตัวเอง
																						
																							บุรุษหนุ่มผู้ตะกละได้กัดกินผลมะม่วงด้วยความหิวกระหาย
																						
																								      ให้ท่านทานเนื้อของเราก็แล้วกันนะท่านพราหมณ์ เมื่อเนื้อของเราสุกแล้ว ก็เชิญท่านทาน แล้วก็ค่อยกระทำสมณธรรมก็แล้วกันนะ ” เมื่อท้าวสักกะได้ฟังดังนั้นก็เนรมิตกองไฟขึ้นมา
																								
																							
																								แล้วบอกให้พญากระต่ายกระโดดเข้าไปในกองไฟที่โหมลุกโชติช่วงนั้น “ ข้าเตรียมไฟไว้พร้อมแล้วท่านกระต่าย ท่านจะทำเยี่ยงไรต่อไปฤา ” “ เราก็จะกระทำตามสัจจะที่ให้ไว้แก่ท่าน
																								
																							
																								เราจะโดดเข้ากองไฟย่างตัวเองให้สุก เพื่อให้ท่านทานเนื้อของเราไงล่ะ ”
																						
																							พิษของมะม่วงส่งผลทันทีที่มะม่วงผ่านลงถึงท้องของบุรุษผู้ตะกละ
																						
																								      เมื่อพร้อมแล้วกระต่ายก็สะบัดขนตัวเอง ๓ ที เพื่อไล่ให้แมลงต่าง ๆ ที่เกาะขนตัวเองอยู่หลุดไปให้หมด จะได้ไม่ต้องถูกไฟเผาตายตามไปด้วย ก่อนที่จะตัดสินใจพุ่งเข้าสู่กองไฟอย่างมิเกรงกลัว
																								
																							
																								มิหนำซ้ำยังแสดงท่าทีรื่นเริงราวกับโลดเล่นอยู่บนวิมานก็มิปาน “ เราได้ทำตามอย่างที่บอกแล้ว เดี๋ยวพอเราสุกแล้วก็ทานเนื้อเราได้ ไม่ต้องเกรงใจนะท่านพราหมณ์ ” แต่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนักทันที่ที่
																								
																							
																								พญากระต่ายกระโจนเข้าสู่กองไฟ กลับพบว่ากองไฟนั้นได้มีความร้อนแม้แต่นิดเดียว
																						
																							บุรุษหนุ่มผู้ตะกละรอดชีวิตได้เพราะยาล้างพิษของนายกองเกวียน
																						
																								    “ เอ้ นี่มันอะไรกันนี่ ทำไมกองไฟที่ท่านพราหมณ์ก่อขึ้นมาถึงได้ไม่มีความร้อนเลยล่ะ แล้วอย่างนี้เนื้อของเราจะสุกได้อย่างไร ท่านพราหมณ์ นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ” “ เฮอะ ๆ ๆ  ท่านพญากระต่ายเอ๋ย
																								
																							
																								เรามิใช่พราหมณ์ดอก แท้จริงเราคือท้าวสักกะ เราเนรมิตกายเป็นพราหมณ์เพื่อจะมาทดสอบศีลของท่านเท่านั้นเอง ” “ ท่านท้าวสักกะ นี่ท่านเพียงต้องการทดสอบข้าเท่านั้นหรอกหรือ เป็นอย่างนี้
																								
																							
																								แล้วไซร้ ผู้อื่นจะรู้ได้อย่างไรกันเล่า ถึงปรารถนาของข้า ที่ต้องการจะสละชีวิตให้ท่าน ”
																						
																							หน่วยคุ้มครองแจ้งข่าวกับนายกองเกวียนว่าจับโจรฉกทรัพย์ได้ 2 คน
																						
																								      “ มิจำเป็นที่ผู้อื่นจะต้องล่วงรู้หรอกท่านพญากระต่าย คุณความดีในการเสียสละชีวิตเพื่อให้ทานของท่านในครั้งนี้จะคงอยู่ปรากฎตลอดไป ” ทันทีที่กล่าวจบท้าวสักกะในร่างของพราหมณ์
																								
																							
																								ก็ทำการเขียนรูปของพญากระต่ายไว้บนดวงจันทร์ เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ในการเสียสละครั้งนี้ให้อยู่สืบไป จากนั้นก็นำพญากระต่ายขึ้นมาจากกองเพลิง ให้นอนพักบนพุ่มไม้อย่างเป็นสุข
																								
																							
																								ก่อนจะเสด็จกลับไปยังเทวโลก นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา สัตว์ทั้ง ๔ ก็บำเพ็ญศีลรักษาอุโบสถสืบไปจนสิ้นอายุขัย
																							
																								     หลังจากพระพุทธองค์ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ก็ทรงประกาศแก่กุฎุมพีและสาวกทั้งหลายว่า 
																						
																												นากในกาลนั้น กำเนิดเป็น พระอานนท์
																											
																												สุนัขจิ้งจอก กำเนิดเป็น พระโมคคัลลานะ
																											
																												ลิง กำเนิดเป็น พระสารีบุตร
																											
																												ท้าวสักกะ กำเนิดเป็น พระอนุรุทธ
																											
																												พญากระต่าย เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า
																										











