ชาดก 500 ชาติ
	
		สุราปานชาดก-ชาดกว่าด้วยโทษของการดื่มสุรา
	
	
		
		
	
		ชาวนาทั้งหลายพากันต้อนรับองค์พระศาสดาซึ่งเสด็จผ่านมา ณ นิคมภัททวติกา
	
		  
	
		       เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจำพรรษา ณ กรุงสาวัตถีแล้วได้เสด็จจาริกไปจนลุถึงนิคมชื่อ ภัททวติกา ขบวนของพระองค์ได้เสด็จผ่านท้องนาซึ่งขณะนั้น
		ข้าวกำลังออกรวงเป็นสีทองเหลืองอร่าม ชาวนาและคนเลี้ยงสัตว์ที่อยู่บริเวณนั้น
	
		 
	
	
		 
	
		ชาวนาต่างพากันกราบทูลทัดทานไม่ให้พระพุทธองค์เสด็จไปยังท่าอัมพะ
	
		 
	
		        เมื่อเห็นขบวนเสด็จของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต่างรีบละจากงานของตนเข้ามากราบไหว้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ศีลให้พรเหล่าพุทธศาสนิกชน
	
		เสร็จแล้วก็ทรงเสด็จสู่ท่าอัมพะ แต่กลุ่มชาวบ้านก็ได้ห้ามไว้
	
		
		
	
	
		 
	
		พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้พักอาศัยยังอาศรมซึ่งเป็นที่อยู่ของพญานาคอัมพติฏฐกะ
	
		 
	
		        “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่าได้เสด็จไปสู่ท่าอัมพะเลยพระเจ้าค่ะ ” “ อาศรมของชฎิลที่ท่าอัมพะ มีนาคอัมพติฏฐกะมีพิษร้ายมาก
	
		นะเพค่ะ ” “ ชาวบ้านที่นี่ต่างหวาดกลัวกันทั่ว ไม่มีใครกล้าไปที่นั่นเลยพระเจ้าค่ะ ”
	
		
		
	
	
		 
	
		พระสาคตเถระได้ปูอาสนะนั่งบนที่อยู่ของพญานาค
	
		 
	
		        “ พระองค์อย่าเสด็จไปเลยพระเจ้าค่ะ พิษร้ายของนาคตัวนั้นจะเบียดเบียนพระองค์ได้ ” แม้ชาวบ้านจะกราบทูลห้ามถึงสามครั้งสามครา พระผู้มีพระภาคเจ้า
	
		ก็ทำเป็นเหมือนไม่ทรงได้ยินคำของคนเหล่านั้น ทรงเสด็จไปยังท่าอัมพะดังเดิม
	
		
		
	
	
		 
	
		พญานาคอัมพติฏฐกะมีความโกรธแค้นมากที่มีคนมานั่งทับพื้นที่ที่ตนอาศัยอยู่
	
		 
	
		        เมื่อทรงเสด็จถึงท่าอัมพะ ไม่ห่างนิคมอัมพะวติกาขบวนเสด็จของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้พัก ณ อาศรมที่เป็นที่อาศัยของพญานาคอัมพติฏฐกะ
	
		ครั้งนั้นพระสาคตเถระเป็นพุทธอุปัฏฐากได้ปูอาสนะและได้นั่งบนที่อยู่ของพญานาคนั้น
	
		
		
	
	
		 
	
		พญานาคอัมพติฏฐกะได้พ่นไฟจากใต้ดินขึ้นมายังจุดที่พระสาคตเถระและเหล่าสาวกนั่งอยู่
	
		 
	
		        นาคอัมพติฏฐกะรู้สึกโกรธมากด้วยคิดว่าถูกมนุษย์ปุถุชนลบหลู่ “ มันจะมากไปแล้วนะ มนุษย์หน้าไหนมาผยองกับข้าต้องเจอดีสักหน่อยแล้ว ” พญานาค
	
		บังหวนควันพวยพุ่งออกมาจากใต้ดิน เหล่าภิกษุถูกกลบบังไปด้วยควันของพญานาคตัวร้าย
	
		 
	
	
		 
	
		ควันพิษและไฟของพญานาคไม่สามารถทำอันตรายต่อพระสาคตเถระได้
	
		 
	
		
			       “ แย่แล้ว ควันมาจากไหนกันนี่ หรือว่าจะเป็นอย่างที่ชาวบ้านบอก เราโดนพิษของเจ้าพญานาคนั้นเข้าแล้ว ” “ โอ้ย หายใจไม่ออก ควันเต็มไปหมดเลย ”
		
			ควันที่เกิดจากพญานาคนั้น ไม่ได้ทำให้พระสาคตะเถระตกใจแต่อย่างใด พระเถระได้แก้เผ็ดเจ้าพญานาคนั้นด้วยการบังหวนควันลงไปในใต้ดินเช่นกัน
	 
	
		 
	
	
		
			
				 
			
				ด้วยเดชของพระสาคตเถระทำให้นาคอัมพติฏฐกะสงบลงได้
		 
	 
	
		     
	
		        “ เจ้าพญานาคเอ๋ย เจ้าทำอะไรเราไม่ได้หรอก อย่ามาอวดเก่งนักเลย ” นาคอัมพติฏฐกะเมื่อไม่สามารถทำอะไรพระสาคตะเถระได้ก็ยิ่งบันดาลความโกรธขึ้นไปอีก
	
		มันพ่นไฟให้ลุกไหม้ออกมาจากพื้นดิน “ หนอย เจ้ามนุษย์ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง บังอาจลองดีกับข้าใช่ไหม คราวนี้พวกแกไม่เจอแค่ควันหรอก นี่แน่ะ ”
	
		
		
	
	
		 
	
		พระนครโกสัมพี
	
		 
	
		        “ คราวนี้ถึงกับพ่นไฟเลยเหรอ ที่ผ่านมามีแต่คนหวาดกลัวเจ้าสินะ ครั้งนี้แหละเราจะเป็นผู้กำราบเจ้าเอง ” เดชของนาคข่มพระเถระไม่ได้ แต่เดชของพระเถระ
		ข่มนาคได้ เจ้าพญานาคส่งเสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด ด้วยเดชของพระสาคตะเถระทำให้นาคอัมพติฏฐกะสงบลง ไม่โกรธเกรี้ยวได้สติ
	
		 
	
	
		 
	
		พระศาสดาทรงเสด็จมายังนครโกสัมพี
	
		 
	
		       จากนั้นพระเถระก็ทรงอาราธนาศีลให้นาคดำรงในสรณะศีลได้ ฝ่ายพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ นิคมภัททวติกาตามพระพุทธอัธยาศัยแล้วได้เสด็จไปสู่พระนคร
		โกสัมพี เรื่องราวที่พระสาคตะเถระกำราบนาคแผ่ไปทั่วชนบท เมื่อขบวนเสด็จของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จถึงโกสัมพี ฝูงชนชาวพระนครกระทำการ
		ต้อนรับพระศาสดา
	
		
		
	
	
		 
	
		ชาวบ้านต่างพากันสอบถามถึงสิ่งของที่พระสาคตะต้องการเพื่อที่ตนจะได้จัดมาถวาย
	
		  
	
		        พากันถวายบังคมพระองค์แล้วก็เลยไปสำนักพระสาคตะเถระ “ ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ สิ่งใดที่พระคุณเจ้าได้ด้วยยาก นิมนต์บอกสิ่งนั้น พวกกระผม
	
		จะจัดถวายสิ่งนั้นให้จงได้ ” พระสาคตะเถระเมื่อได้กล่าวความต้องการสิ่งใดออกไป แต่ภิกษุฉัพพัคคีภิกษุดื้อรั้นยังไม่สามารถทรงอยู่ในศีลกลับเสนอ
	
		ความต้องการออกไปแทน
	
		 
	
	
		
		
	
		ชาวบ้านได้จัดเตรียมสุราแดงไว้ถวายพระเถระและเหล่าภิกษุสงฆ์
	
		 
	
		        “ ผู้มีอายุทั้งหลาย สุราสีแดงดั่งเท้านกพิราบ พวกบรรพชิตหาได้ยากนักและก็เป็นของชอบใจด้วย ถ้าพวกท่านเลื่อมใสพระเถระละก็ จัดสุราสีแดง
	
		ดั่งเท้านกพิราบมาถวายเถิด ” “ ดีแล้วเจ้าค่ะ พวกกระผมจะเร่งรีบเตรียมสุราสีแดงนั้นมาถวายให้จงได้ ” ชาวเมืองโกสัมพีต่างคนต่างจัดเตรียมสุราใส
	
		 
	
	
		 
	
		พระสาคตเถระได้ดื่มสุราแดงที่ชาวบ้านได้จัดถวาย
	
		  
	
		       มีสีแดงดั่งสีเท้านกพิราบไว้ที่เรือนของตน ด้วยหวังว่าจักถวายแด่พระเถระ “ พรุ่งนี้ เราก็จักได้ถวายสิ่งนี้แด่พระเถระแล้ว ท่านเถระคงจะพอใจ
	
		นี่ก็ถือว่าเราได้ทำบุญที่ยิ่งใหญ่ด้วยสินะ ช่างอิ่มอกอิ่มใจสะเหลือเกิน ” รุ่งเช้าชาวเมืองนครโกสัมพีต่างนิมนต์พระเถระและศิษย์ไปที่เรือนของตน
	
		
		
	
	
		 
	
		พระสาคตเถระเมาสุราและได้ล้มลงนอนระหว่างประตู
	
		 
	
		        แต่ละบ้านก็พากันถวายสุราใสทุก ๆ เรือน “ นี่เราเป็นอะไรไปนะนี่ โอ้ย ทำไมมันวิงเวียนอย่างนี้ ” พระสาคตะเถระเมาสุราเดินออกจากพระนคร
		ล้มลงที่ระหว่างประตูนอนบ่นพร่ำไป “ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เวียนหัว โอ้ย โอ้ย นั่งสมาธิไม่ไหวแล้วเรา นอนดีกว่า ” พระศาสดาทรงกระทำภัตรกิจแล้ว
		เมื่อเสด็จออกจากพระนคร
	
		
		
	
	
		 
	
		เหล่าภิกษุประคองพระสาคตเถระเข้าสู่พระอาราม
	
		 
	
		       ทอดพระเนตรเห็นพระเถระนอนด้วยท่าทางนั้น จึงมีดำรัสให้ภิกษุอื่นช่วยประคองพระเถระเข้าสู่พระอาราม เหล่าภิกษุเมื่อประคองพระสาคตเถระมาถึงอารามแล้ว
	
		ก็วางศีรษะของพระเถระ ณ บาทมูลของพระตถาคต แล้วให้ท่านนอน แต่พระเถระกลับนอนเหยียดเท้าไปเฉพาะพระพักตร์พระตถาคต
	
		 
	
	
		 
	
		พระสาคตเถระได้นอนหันเท้าไปยังพระพักตร์ของพระตถาคต
	
		 
	
		
			        “ ดูกรภิกษุทั้งหลายความเคารพในเราตถาคตที่สาคตะเคยมีในก่อนนั้น บัดนี้ยังมีอยู่หรือไร ” “ ไม่มีพระเจ้าค่ะ ” “ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดเล่ากำราบพญานาค
		
			ชื่ออัมพติฏฐกะ ” “ สาคตะเถระพระเจ้าค่ะ ” “ บัดนี้สาคตะยังจะอาจเอื้อมกำราบงูได้หรือ ” “ เรื่องนั้นไม่ได้แน่นอนพระเจ้าค่ะ ”
		
			
			
	 
	
	
		 
	
		พระศาสดาได้ชี้ให้เห็นโทษจากการดื่มสุราของพระสาคตเถระ
	
		 
	
		
			       “ ดูกรภิกษุทั้งหลายดื่มสิ่งใดแล้ว ปราศจากความจำได้หมายรู้อย่างนี้ สิ่งนั้นควรที่ภิกษุจะดื่มถึงเพียงนี้หรือไม่เล่า ” พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตำหนิพระเถระ
		
			แล้วทรงเรียกพวกภิกษุมาทรงบัญญัติสิกขาบทว่าเป็นปาจิตตี ในเพราะดื่มสุราเมรัย แล้วเสด็จจากพระอาสน์เข้าคันถกุฎี เรื่องราวในครั้งนั้นกลายเป็นหัวข้อ
		
			ในการประชุมธรรมสภา  
		
			 
	 
	
	
		 
	
		พระศาสดาทรงเรียกประชุมภิกษุและทรงบัญญัติสิกขาบทว่าเป็นปาจิตตีในเพราะดื่มสุราเมรัย
	
		 
	
		
			       ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในธรรมสภา พูดถึงโทษของการดื่มสุราว่า ผู้มีอายุทั้งหลายขึ้นชื่อว่าการดื่มสุรามีโทษใหญ่หลวงถึงกับกระทำให้พระสาคตะ
		
			ผู้ได้นามว่าสมบูรณ์ด้วยปัญญามีฤทธิ์ไม่รู้แม้แต่คุณของพระศาสดา จึงได้กระทำอย่างนั้น
		
			 
	 
	
	
		 
	
		พระโพธิสัตย์ได้บังเกิดในตระกูลอุทิจจพราหมณ์ในแคว้นกาสี
	
		
			        “ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกบรรพชิตดื่มสุราแล้วพากันสลบไศลมิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อนก็ได้เป็นแล้วเหมือนกัน ” องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
			ทรงนำเรื่องในอดีตมาสาทกดังต่อไปนี้ ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี
			
	 
	
		
 
	
		
			
				
					
						
							
								
									
										
											
												
													
														
															
																
																	
																		
																			
																				
																					
																						
																							
																								 
																							
																								ประโพธิสัตย์ได้บวชเป็นฤาษีและพำนักอยู่ในหิมวันตประเทศ
																							
																								
																									       พระโพธิสัตย์บังเกิดในตระกูลอุทิจจพราหมณ์ในแคว้นกาสี เจริญวัยแล้วบวชเป็นฤาษี ได้อภิญญาและสมาบัติประลองฌานพำนักอยู่ในหิมวันตประเทศ
																									แวดล้อมด้วยอันเตวาสิกประมาณ ๕๐๐ “ นี่ก็ย่างเข้าฤดูฝนแล้ว พวกเรามาอยู่ในป่าแห่งนี้นานแล้วสินะ ที่ไม่ได้ออกไปไหนกันเลย ” “ นั่นสินะ ฝนตก
																									อย่างนี้ ผลไม้ก็เก็บยากเหลือเกิน
																								
																									
																							 
																							
																								บรรดาศิษย์ของฤาษีได้ปรึกษากันถึงเรื่องที่จะเข้าไปในเมืองช่วงฤดูฝน
																							
																								 
																							
																								
																									       พวกเราไปขออาจารย์เดินทางไปหมู่บ้านดีไหมนะ ” เหล่าศิษย์ต่างปรึกษาหารือกันแล้วสรุปว่าจะขออนุญาตอาจารย์เดินทางเข้าไปในหมู่บ้าน “ ท่านอาจารย์ขอรับ
																									พวกเราพากันไปแดนมนุษย์บริโภคของเปรี้ยว ๆ เค็ม ๆ แล้วค่อยมากันเถิด ” “ เราจะคอยอยู่ที่นี่แหละ พวกเธอพากันไปบำรุงร่างกายจนฤดูฝนผ่านไปแล้วจึงพากัน
																									กลับมาเถิด ” 
																								
																									 
																							 
																							
																							
																								 
																							
																								เหล่าศิษย์ทั้ง ๕๐๐ ได้กราบลาท่านฤาษีเข้าไปในกรุงพาราณสี
																							
																								 
																							
																								       เหล่าเตวาสิกเมื่อกราบลาอาจารย์ไปสู่พระนครพาราณสี ก็พักอยู่ในพระราชอุทยานนั้น ครั้นวันรุ่งขึ้นก็พากันไปเที่ยวภิกขาจารในบ้านภายนอกประตูพระนคร
																							
																								ได้รับความเกื้อกูลอย่างดี รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งคณะฤาษีทั้ง ๕๐๐ ก็พากันเข้าไปสู่พระนคร พวกมนุษย์พากันชื่นชมถวายภิกษาหารมากมาย “ เหมือนเราได้ทำบุญ
																								ครั้งใหญ่เลยนะ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะเนี่ยที่จะได้ถวายภิกษาหารแด่ฤาษีถึง ๕๐๐ รูปนะเนี่ย ”
																								
																							
																								 
																							
																							
																								 
																							
																								เหล่าเตวาสิกของท่านฤาษีได้รับถวายภัตตาหารมากมายจากสาธุชนที่เลื่อมใส
																							
																								 
																							
																								       “ นั่นสิ แต่ละรูปล้วนน่านับถือ เห็นว่าท่านเพิ่งธุดงค์ออกมาจากป่าหิมพานต์โน่น ต้องตบะแกร่งกล้าแน่ ๆ ” ข่าวฤาษี ๕๐๐ รูปมาจำพรรษาในเมืองต่างถูกเล่าลือ
																								ออกไปแพร่หลายจนถึงพระราชวัง ครั้งนั้นได้มีทหารเข้าไปกราบทูลพระราชาให้ทรงสดับคุณของฤาษีเหล่านั้น “ ขอเดชะบัดนี้มีฤาษี ๕๐๐ รูป พากันมาจาก
																								ป่าหิมพานต์ พักอยู่ในพระราชอุทยาน แต่ละรูปล้วนมีตบะกล้า
																								
																							
																								 
																							
																							
																								 
																							
																								สาธุชนต่างปลื้มปีติและยินดีที่ได้มีโอกาสถวายภัตตาหารฤาษี ๕๐๐ รูป
																							
																								 
																							
																								      มีอินทรีย์อันชนะแล้วอย่างเยี่ยม มีศีล ชาวบ้านชาวเมืองต่างพากันถวายภิกษาด้วยความเลื่อมใสศรัทธาพระเจ้าค่ะ ” “ งั้นพาเราไปเถอะ เราจะนิมนต์ให้ฤาษีมาพำนัก
																							
																								เสียที่พระอุทยานนี่แหละ ” พระราชาทรงสดับคุณของฤาษีเหล่านั้นแล้วก็เสด็จสู่อุทยาน ทรงนมัสการแล้วกระทำการปฏิสันถานนิมนต์ให้ฤาษีเหล่านั้นอยู่ในพระอุทยาน
																								๔ เดือนตลอดฤดูฝน
																								
																							
																								 
																							
																							
																								 
																							
																								ทหารได้มากราบทูลพระราชาถึงการมาของฤาษี ๕๐๐ รูป
																							
																								 
																							
																								       นับแต่นั้นฤาษีเหล่านั้นก็พากันฉันในพระราชวังแห่งเดียว พำนักอยู่ ณ พระราชอุทยาน อยู่มาวันหนึ่งในพระนครได้มีงานนักขัตฤกษ์ชื่อว่า สุรานักษัตร์ ชาวเมือง
																								ล้วนนำสุราอย่างที่ดี ที่ตัวเองมีออกมาดื่มด้วยกันสนุกสนานอย่างเมามาย ครั้งนั้นพระราชาเห็นว่าพวกบรรพชิตหาดื่มสุราได้ยาก จึงรับสั่งให้ถวายสุราอย่างดี
																								เป็นอันมาก พวกดาบสดื่มสุราแล้วก็เมามายไม่ได้สติ บางพวกลุกขึ้นฟ้อนรำ บางพวกขับร้อง
																							
																								 
																							
																							
																								 
																							
																								บรรดาฤาษีได้พากันดื่มสุราในงานสุรานักษัตร์ด้วยการถวายของพระราชา
																							
																								 
																							
																								       ครั้นฟ้อนรำขับร้องแล้วก็พากันนอนหลับทับบริขาร “ ฮะ ฮะ ฮ่ะ ไม่เคยสนุกเท่านี้มาก่อนเลย อ้าวร้องเพลงอีก เดี๋ยวเราจะฟ้อนรำเอง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ” “ โอ้ย เวียนหัว
																							
																								ไม่เคยมึนเมาขนาดนี้มาก่อนเลย ” รุ่งเช้าพอสร่างเมา ฤาษีพากันตื่นเห็นอาการอันวิปปริตของตนนั้น ต่างก็ร้องไห้คร่ำครวญ “ โธ่ พวกเราไม่ได้กระทำอันสมควร
																								แก่บรรพชิตเลย แล้วถ้าอาจารย์รู้จะเสียใจเพียงไร ที่มีศิษย์ทำตัวเยี่ยงนี้ ”
																								
																								
																							
																							
																								 
																							
																								เหล่าศิษย์เตวาสิกของท่านฤาษีได้กลับมาสารภาพถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสมของพวกตนเนื่องจากเหตุดื่มสุรา
																							
																								 
																							
																								      “ เราจากท่านอาจารย์มา พากันมาทำกรรมอันเลวถึงเพียงนี้ ” ฤาษีทั้ง ๕๐๐ รูปพากันทิ้งอุทยานกลับไปป่าหิมพานต์ เมื่อถึงแล้วก็เก็บบริขารไว้พากันไหว้อาจารย์
																								ผู้เป็นอาจารย์เมื่อเห็นศิษย์กลับมาก่อนหมดฤดูฝนก็แปลกใจ ก็ตรัสถามว่า “ พ่อคุณทั้งหลาย พวกท่านไม่ได้ลำบากด้วยภิกษา พากันอยู่สบายในถิ่นของมนุษย์หรือไฉน
																								อนึ่งพวกเธอยังจะอยู่ด้วยกันด้วยความสมัครสมานสามัคคีอยู่หรือ ”
																								
																							
																								 
																							
																							
																								 
																							
																								พระศาสดาตรัสพระธรรมเทศนาจบแล้วก็ทรงประชุมชาดกแก่เหล่าภิกษุสงฆ์
																							
																								
																									      “ ท่านอาจารย์ขอรับ พวกกระผมอยู่กันอย่างสบาย แต่ว่าพวกกระผมได้พากันดื่ม ได้พากันฟ้อนรำ พากันขับร้อง แล้วก็พากันร้องไห้เพราะดื่มสุรา ที่ทำให้
																									สัญญาวิกฤตเป็นดีแต่มิได้กลายเป็นลิงเสียเลย ” ฤาษีเมื่อได้ยินเรื่องจากศิษย์ก็กล่าวว่า ขึ้นชื่อว่านรชนที่เหินห่างจากการอยู่ร่วมกับครูย่อมเป็นเช่นนี้ได้ทั้งนั้น
																									ตำหนิดาบสเหล่านั้น แล้วให้โอวาทว่า พวกท่านอย่ากระทำกรรมเห็นปานนี้ต่อไปอีกมีฌาณไม่เสื่อมได้ไปบังเกิดในพรหมโลกแล้ว
																							 
																							
																								
																									
																										
																											
																												
																													
																														
																															
																																
																																	
																																		 พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
																																		คณะฤาษีในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัท
																																		ส่วนศาสดาของคณะ ได้มาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า