จากตอนที่แล้ว มโหสถบัณฑิตได้ทูลถามพระเจ้าวิเทหราชว่า “หากพระองค์จะทรงสำคัญว่า บิดาย่อมประเสริฐกว่าบุตรในที่ทั้งปวง ลาตัวนี้ก็ย่อมประเสริฐกว่าลูกม้าอัสดร ถ้าเช่นนั้น ขอพระองค์โปรดทรงรับลาตัวนี้ไว้เถิด แต่หากว่าพระองค์จะทรงสำคัญว่า บุตรอาจประเสริฐกว่าบิดาได้บ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้น ม้าอัสดรก็ควรค่าที่พระองค์จะทรงรับไว้แทนลาตัวนี้ ทั้งหมดที่ข้าพระองค์กราบทูลมานี้ สุดแต่พระองค์จะทรงเลือกเอาระหว่างลากับม้าอัสดรเถิดพระเจ้าข้า”

ฝ่ายอาจารย์เสนกบัณฑิตเห็นการณ์กลับตาลปัตรเช่นนั้น ก็ถึงกับนิ่งอึ้งสีหน้าซีดเผือด เหงื่อตก กระสับกระส่ายด้วยความขุ่นแค้น ซึ่งแทนที่จะได้โอกาสหยามมโหสถ แต่กลับถูก มโหสถเย้ยหยันด้วยเหตุผลที่ไม่อาจปฏิเสธได้ จนถึงกับต้องยอมจำนนในที่สุด
ในเวลานั้น พระเจ้าวิเทหราชทรงเกิดปีติโสมนัส ถึงกับทรงหลั่งน้ำจากสุวรรณภิงคารลงในมือของสิริวัฒกเศรษฐี ประกาศว่า “นับแต่นี้ไป ท่านสิริวัฒกเศรษฐี จงปกครองปาจีนยวมัชฌคามเยี่ยงพระราชาเถิด” เสร็จแล้วก็ทรงขอรับตัวมโหสถไว้ในฐานะราชกุมารของพระองค์
ฝ่ายท่านสิริวัฒกเศรษฐีนั้น คาดคิดไว้แต่ต้นแล้วว่า อย่างไรเสียพระราชาคงไม่พ้น ต้องทรงขอบุตรชายของตนไว้เป็นแน่ แม้นว่าตนจะเห็นแก่ความเจริญรุ่งเรืองของบุตรก็จริงอยู่ แต่ความห่วงใยบุตร เป็นวิสัยที่ผู้เป็นบิดาไม่อาจหลีกพ้น
ในที่สุดจึงได้กราบทูลทัดทานว่า “ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงสุดพระเจ้าข้า แต่ข้าพระองค์เกรงว่า มโหสถบุตรของข้าพระองค์ยังเด็กนัก แม้นถึงวันนี้กลิ่นน้ำนมในปากของเธอก็ยังฟุ้งอยู่ ต่อไปภายภาคหน้า เมื่อเธอเจริญวัยเติบโตเป็นผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าจึงจักถวายให้เป็นข้าบาทมูลอยู่ในราชสำนักของพระองค์ พระพุทธเจ้าข้า”
พระราชาจึงตรัสด้วยพระสุรเสียงบ่งถึงพระประสงค์อย่างเต็มที่ว่า “ท่านคฤหบดี ท่านอย่าได้ห่วงใยไปเลย เพราะนับแต่นี้ไป เราจักให้การเลี้ยงดูเธออย่างดี เรื่องนี้ขอท่านจงวางใจเถิด”

“พ่อมโหสถเอย เจ้าเป็นดุจแก้วตาดวงใจเพียงดวงเดียวของพ่อ หากแววตาดวงนี้ยังคงแจ่มใสรุ่งเรืองอยู่ ชีวีของพ่อก็จักอยู่เป็นสุข แต่คราใด แววตาดวงนี้กลับอับแสงโรยรา ก็เห็นทีว่า ครานั้นชีวีของพ่อคงจักต้องอับเฉาตามไปด้วย พ่อมโหสถผู้บัณฑิต เจ้าน่ะเป็นที่รักยิ่งของพ่อ เจ้าเป็นที่พึ่งที่หวังอันสูงสุดในชีวิตของพ่อนะลูก จำเดิมแต่นี้ไป เจ้าอย่าได้ทำให้พ่อต้องเป็นปราศจากที่พึ่ง ขอเจ้าจงปรนนิบัติบำรุงพระราชาผู้เป็นเจ้าชีวิต และเอาใจใส่ในราชกิจของพระองค์ อย่าได้หลงมัวเมาประมาทนะลูกรัก”
ครั้นสิริวัฒกเศรษฐีกล่าวให้โอวาทจบลง มโหสถก็ก้มลงกราบแทบตักของบิดา พลางกล่าวปลอบให้บิดาเบาใจว่า “ท่านพ่ออย่าได้เป็นห่วงไปเลยขอรับ ขอจงวางใจในตัวลูกเถิด และโปรดเรียนท่านแม่ของลูกด้วยว่า แม้นว่าลูกมิได้มีโอกาสกราบลาท่านแม่ แต่ก็จักประพฤติปฏิบัติตน ตามครรลองแห่งบัณฑิตนักปราชญ์ทั้งหลาย ให้สมกับที่ท่านพ่อและท่านแม่ได้เมตตาพร่ำสอน”

ภายหลังจากที่ท่านเศรษฐีกลับคืนสู่เรือนแล้ว พระเจ้าวิเทหราชจึงรับสั่งถามมโหสถว่า “มโหสถกุมารเอย บัดนี้เจ้านับว่าเป็นข้าหลวงของเราแล้ว เจ้าปรารถนาจะเป็นข้าหลวงฝ่ายใน หรือข้าหลวงฝ่ายนอกกันหล่ะ”
มโหสถดำริในใจว่า “บริวารของเรามีมากมาย หากจะอยู่ในพระราชวังในฐานะข้าหลวงฝ่ายในนั้น ก็เกรงว่าจะแออัดเกินไป อย่าเลย เราควรจะขอรับพระราชทานเป็นข้าหลวงฝ่ายนอกจึงจะเป็นการสมควร”
คิดดังนั้นแล้ว ก็กราบบังคมทูลว่า “ขอเดชะ พระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้า ข้าพระบาทขอรับพระมหากรุณาเป็นข้าหลวงเรือนนอกเถิด พระเจ้าข้า"

แต่ถึงกระนั้น มโหสถก็มิได้อยู่อย่างสุขสบายเท่าใดนัก เพราะยังต้องเผชิญหน้ากับอาจารย์ทั้ง ๔ อันมีท่านเสนกบัณฑิตเป็นผู้นำ ซึ่งวางตนเป็นปรปักษ์ คอยคิดจ้องจะเล่นงานมโหสถอยู่ทุกขณะ
ดังนั้น จึงเป็นเหตุให้มโหสถผู้เป็นบุรุษชาติอาชาไนย ต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษเพื่อมิให้เพลี่ยงพล้ำได้ และจักต้องขับเคี่ยวกับอาจารย์ทั้ง ๔ นี้เรื่อยไปจนกว่าพวกเขาจะยอมจำนน
ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราช เมื่อทรงรับตัวมโหสถเข้ามาเป็นข้าหลวงฝ่ายนอกแล้ว ก็ทรงมีพระทัยยินดี ใคร่จะหาโอกาสทดลองปรีชาสามารถของมโหสถ เพื่อให้เห็นประจักษ์แจ้งด้วยสายพระเนตรของพระองค์เอง แม้จะทรงรอคอยอยู่นาน แต่ก็ยังไม่ได้โอกาสอันเหมาะสม กระทั่งวันหนึ่ง มีราชบุรุษนำความมากราบทูลพระองค์ว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า ในสระโบกขรณีอันตั้งอยู่ในทิศทักษิณ ไม่ไกลจากประตูเมือง ได้ปรากฏมีดวงแก้วมณี ส่องแสงเจิดจ้าแวววาว อยู่ในสระนั้นเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง พะยะค่ะ”

แต่เนื่องจากดวงแก้วมณีนั้น ปรากฏให้เห็นเพียงแสงที่แวววาวเท่านั้น ยังไม่มีใครสามารถนำขึ้นมาจากสระได้ เมื่อราชบุรุษได้ฟังรับสั่งเช่นนั้นจึงอึกอัก กราบทูลสิ่งใดไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อได้สติแล้ว พวกเขาจะกราบทูลอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)