
มโหสถจึงกราบทูลให้ทรงทราบว่า “กิ้งก่ามันถวายความเคารพพระองค์ ถ้าจะทรงพระกรุณามันก็เพียงแค่พระราชทานค่าอาหารของมันวันละกากณึก คือเหรียญทองมีค่าเท่าชิ้นเนื้อที่กาพอคาบไปได้ก็พอ”
พระเจ้าวิเทหราชทรงดำริในพระทัยว่า “กากณึกเดียวเท่านั้น ช่างเล็กน้อยเหลือเกิน” จึงมีรับสั่งกะราชบุรุษว่า “ตั้งแต่นี้ไป เจ้าจงซื้อเนื้อให้กิ้งก่าตัวนี้วันละกึ่งมาสก ซึ่งมีค่าเท่าอาหารของคน”
จนกระทั่งวันอุโบสถวันหนึ่ง ชาวเมืองเว้นจากการฆ่าสัตว์เป็นอาหาร ราชบุรุษผู้นั้นเที่ยวหาซื้อเนื้อสัตว์ให้กิ้งก่าไม่ได้ จึงเอามีดเจาะเหรียญทองกึ่งมาสกนั้นให้เป็นรู แล้วเอาด้ายร้อยทำเป็นวงเล็กๆ นำไปห้อยคอให้เจ้ากิ้งก่าต่างเครื่องประดับ

พระเจ้าวิเทหราชทรงทอดพระเนตรเห็นท่าทางของมันแล้ว ทรงดำริในพระทัยว่า “ในวันก่อนๆ กิ้งก่าตัวนี้มันประจบเราดีเหลือเกิน แต่มาวันนี้ ทำไมมันถึงไม่ยอมวิ่งลงมาหาเราเช่นเดิม เรื่องนี้คงต้องมีเหตุบางประการเป็นแน่”
ทรงดำริพลาง มีพระดำรัสถามว่า “พ่อมโหสถ เธอจำกิ้งก่าตัวนี้ได้ไหมเล่า”
“จำได้อย่างแน่นอนพระเจ้าข้า” มโหสถทูลตอบ
“เธอดูซิ ประหลาดไหมเล่า เจ้ากิ้งก่าตัวนี้ เมื่อก่อนพอมันเห็นเรา ก็วิ่งลงมาซบแทบพื้นดิน ครั้งนั้นเธอเคยบอกเราว่ามันแสดงความเคารพเรา แต่มาวันนี้ ทำไมดูมันช่างกระด้างกระเดื่องเช่นนั้น เธอทราบหรือไม่ว่า เพราะเหตุอันใด มันจึงยังคงเกาะนิ่ง เชิดหัวชูคออยู่เช่นนั้น”
มโหสถบัณฑิตสดับพระราชดำรัสนั้นแล้ว จึงพิเคราะห์ดูที่คอกิ้งก่านั้น ก็เห็นเหรียญทองกึ่งมาสกผูกติดอยู่ จึงคาดการณ์ได้ตลอดว่า วานนี้เป็นวันอุโบสถ ราชบุรุษคงหาซื้อเนื้อไม่ได้
เมื่อเป็นดังนั้น จึงได้มอบเหรียญทองกึ่งมาสกให้มันคล้องคอแทนเนื้อที่มันจักต้องได้รับในแต่ละวัน มันจึงเกิดความผยองในทรัพย์ที่ได้มา
ครั้นแล้วจึงกราบบังคมทูลว่า “ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท ในวันก่อน กิ้งก่าตัวนี้ยังไม่มีสิ่งใดคล้องคอ แต่วันนี้มันกลับได้เหรียญทองมูลค่ากึ่งมาสกมาคล้องคอ ซึ่งมันไม่เคยได้รับมาก่อน

พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำทูลนั้นแล้ว ทรงเชื่อมั่นในความฉลาดรอบรู้ของมโหสถ แต่เพื่อจะพิสูจน์ความจริงให้ปรากฏ จึงรับสั่งให้เรียกราชบุรุษนั้นมา ทรงสอบถามดู
ก็ทรงได้รับคำทูลถวายรายงานว่า “ในวานเป็นวันอุโบสถ ไม่มีเนื้อขายแม้สักร้านเดียว ราชบุรุษจึงนำเหรียญทองกึ่งมาสกมาเจาะรูแล้วร้อยผูกคอกิ้งก่า เพื่อทดแทนเนื้อสัตว์ที่มันจะต้องได้กินในแต่ละวัน”
ท้าวเธอทรงดำริว่า “เรื่องราวที่ราชบุรุษกราบทูลมานี้ เป็นไปตามที่มโหสถกราบทูลไว้ทุกประการ” จึงมิได้ทรงซักถามสิ่งใดอีก แต่กลับยิ่งทรงอิ่มเอมพระทัยว่า “พ่อมโหสถนี้ อัศจรรย์จริง ดูเธอช่างรอบรู้ไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง รู้ได้แม้กระทั่งกิริยาอาการของสัตว์”
เหตุการณ์ในครั้งนั้นเอง ทำให้ท้าวเธอทรงโปรดปรานมโหสถยิ่งขึ้นไปอีก จึงทรงโปรดเกล้าพระราชทานส่วยที่ประตูพระนครทั้งสี่เป็นรางวัลตอบแทนความดีความชอบแด่มโหสถ
ในขณะที่กิ้งก่าตัวนั้นเกือบจะถูกฆ่าตาย เพราะเหตุที่ทำให้ท้าวเธอทรงกริ้วมาก ถึงกับทรงปรารภขึ้นว่า “น่าจะให้ฆ่ามันให้ตายเสียในบัดนี้ล่ะ”
มโหสถบัณฑิตได้ยินดังนั้น จึงกราบทูลห้ามว่า “ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า ขึ้นชื่อว่า สัตว์เดรัจฉานย่อมไร้เสียซึ่งปัญญา ถ้าพอจะมีปัญญาอยู่บ้าง ก็มีแต่เพียงน้อยนิด ฉะนั้น ขอฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงโปรดงดโทษแก่มันด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า”

เหตุการณ์ทุกอย่างมีดีมีเสียในตัวของมัน หากมองให้ดีๆ เราก็จะได้ข้อคิดที่สามารถนำมาสอนตนเองว่า “เมื่อเราได้รับการยกย่องสรรเสริญ ได้รับยศศักดิ์จากบุคคลใด ก็ไม่ควรลุ่มหลงมัวเมา วางตนตีเสมอ หรือดูหมิ่นบุคคลนั้น เพราะการตีเสมอผู้มีพระคุณนั้นเป็นเหตุแห่งความเสื่อม”
กล่าวถึงดินแดนที่อยู่เหนือขึ้นไปจากกรุงมิถิลานคร อันปรากฏนามแห่งแคว้นว่าคันธาระ ซึ่งมีตักศิลาเป็นราชธานี ณ เมืองตักศิลานี้เอง มีชื่อเสียงเลื่องลือกันมาช้านานว่าเป็นศูนย์กลางแห่งศิลปวิทยาการทุกแขนง
ด้วยเป็นแหล่งการศึกษาที่สำคัญ คือสำนักทิศาปาโมกข์ อันเป็นแหล่งรวมของเหล่าพราหมณกุมาร ขัตติยกุมาร และมหาชนทั้งหลายต่างเดินทางหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อมาศึกษาศิลปวิทยา แล้วจึงนำความรู้นั้นกลับไปพัฒนายังถิ่นเดิมของตนของตน
ในบรรดาผู้ที่มาเข้ารับการศึกษาอยู่ในสำนักทิศาปาโมกข์แห่งนั้น มีมาณพน้อยชาวเมืองมิถิลาผู้หนึ่งนามว่าปิงคุตตระ นอกจากเขาจะเป็นศิษย์ผู้อาวุโสสุดในบรรดาศิษย์ทั้งปวงของอาจารย์ทิศาปาโมกข์แล้ว ปิงคุตตระยังนับว่าเป็นผู้ที่รุ่งเรืองด้วยสติปัญญาอย่างสูงสุด

ครั้นแล้วจึงได้ถือโอกาสเข้าไปกราบขอขมาและฟังโอวาทจากท่านอาจารย์ ก่อนที่จะลากลับคืนสู่มิถิลานครอันเป็นมาตุภูมิของตน
ในขณะที่รอรับฟังโอวาทจากอาจารย์อยู่นั้น ปิงคุตตระก็ต้องฉงนใจอย่างมาก เมื่อจู่ๆอาจารย์ก็กล่าวขึ้นว่า “ปิงคุตตระเอย อาจารย์มีอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งมีค่ามากสำหรับอาจารย์ แต่มันก็เป็นสิ่งที่อาจารย์จะต้องสละ โดยจะมอบให้แก่เจ้า เจ้าจะรับไหมล่ะ”
“ข้าแต่ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์เมตตาศิษย์ถึงเพียงนี้ มีหรือศิษย์จะไม่รับ” ปิงคุตตระกล่าวด้วยสีหน้าแววตา บ่งบอกว่าดีใจไม่น้อย
“ดีละ ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงรอสักครู่หนึ่ง” ว่าแล้วอาจารย์ทิศาปาโมกข์ก็ใช้ให้คนไปตามบุตรสาวของตนมา ส่วนปิงคุตตระเมื่อเขาได้ทราบว่า อาจารย์จะมอบบุตรสาวให้แก่ตน เขาจะพึงพอใจในตัวเธอหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)