
แต่ก็ถูกมโหสถปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าเหนื่อยล้าเหลือเกิน อมราจึงจำเป็นต้องปีนขึ้นไปเก็บกินเอง มโหสถแหงนมองดูนางซึ่งเก็บกินอยู่แต่ผู้เดียว จึงวอนนางว่า “ขอผลพุทราให้พี่บ้างสิ”
เธอจึงถามกลับว่า “พี่อยากจะได้ผลร้อน หรือผลเย็นล่ะ”
อมราครั้นได้รับคำตอบจากมโหสถว่าต้องการผลร้อน จึงเก็บผลพุทราโยนลงไปที่พื้นดิน บอกว่า “นี่เป็นพุทราร้อนค่ะ” มโหสถจับเคล็ดได้ว่า พุทราร้อนที่นางว่าก็คือพุทราเปื้อนฝุ่น เมื่อจะกิน ก็ต้องเก็บมาเป่าฝุ่นออกเสียก่อน เหมือนอย่างเวลาที่จะกินของร้อนๆ

ครั้นได้พักพอคลายเมื่อยล้าแล้ว มโหสถจึงพานางเดินทางต่อไปจนถึงกรุงมิถิลา บอกนางว่า ตนชื่อโสมทัตเป็นช่างชุนที่มีชื่อเสียงในกรุงมิถิลา จากนั้นก็ได้ฝากนางไว้กับครอบครัวของคนเฝ้าประตูก่อน โดยให้สัญญาว่า ไม่นานเท่าไรตนจะกลับมารับ
มโหสถกลับไปถึงเรือนของตนแล้ว ก็ดำเนินการตามอุบายที่ได้คิดไว้ โดยเรียกสหายบริวารมาสามคน ซึ่งได้เคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่ครั้งยังเป็นเด็ก ทุกคนต่างมีชื่อเสียงร่ำลือไปในทางเจ้าชู้ ถนัดในทางเกี้ยวพาราสี และมีคารมคมคายด้วยกันทั้งนั้น

ว่าแล้วมโหสถก็หันไปหยิบถุงเงินพันกหาปณะยื่นให้ต่อหน้า สหายเหล่านั้นรับค่าจ้างนั้นมาด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความหนักอกหนักใจอยู่ไม่น้อย แต่ครั้นมโหสถได้เล่าที่มาที่ไปให้ทราบ ทุกคนต่างก็ยินดีรับดำเนินการณ์ตามแผนของมโหสถทันที ทั้งหมดเห็นพ้องตรงกันว่า พวกตนจะต้องเข้าไปหานางทีละคน แล้วพูดจาเกี้ยวพาราสีนาง ไปจนกว่านางจะยอม
ครั้นตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มคนแรกก็ตรงไปยังบ้านของคนเฝ้าประตูเพียงลำพัง พอไปถึงก็ตะโกนเรียกหานายประตูเสียงดังโหวกเหวก
ขณะนั้นนางอมรากำลังจัดเก็บข้าวของในเรือน ครั้นได้ยินเสียงเรียกดังมาจากหน้าบ้าน ก็รีบออกมาดู

ชายหนุ่มได้ยินวาจาอ่อนหวานของนาง จิตใจก็พลอยอ่อนโอนไปตามเสียงของนาง ยังไม่ทันที่เขาจะตอบอะไรๆ นางก็ถามต่อไปอีกว่า “ท่านมาถึงนี่ เพราะมีธุระอันใดหรือ”
เขาได้สติ จึงรีบตอบนางว่า “จ้ะ แม่นาง ฉันเพียงแต่แวะมาสนทนาปราศรัยกับพ่อนายเท่านั้นล่ะ”
นางอมราคาดเดาว่า ชายผู้นี้คงสนิทสนมคุ้นเคยกับนายประตูเป็นอย่างดี จึงกล่าวเชื้อเชิญให้มานั่งบนเรือน พลางบอกเขาว่า “พ่อนายออกไปทำธุระข้างนอก อีกสักพักหนึ่งก็คงจะกลับ”
ชายหนุ่มจึงรีบฉวยโอกาสขึ้นไปนั่งบนเรือนทันที แล้วก็เริ่มพูดเกี้ยวพาราสีนาง ด้วยท่าทางกรุ้มกริ่ม หวังจะให้นางเอออวยด้วย “นางผู้เจริญ ความรักของบุรุษย่อมเกิดได้ในสตรี มิได้เลือกวัยและฐานะ แม้สตรีก็เช่นกัน วัยและฐานะของบุรุษจะห้ามความรักของสตรีมิได้เลย ฉะนั้นขอนางจงได้ปรานีต่อฉันผู้มอบทุกอย่างแก่นางด้วยเถิด”

ความจงรักภักดีที่มีต่อโสมทัตผู้เป็นสามี ยังคงอัดแน่นเต็มเปี่ยมอยู่ภายในจิตใจดวงน้อยๆของนาง จนไม่มีช่องว่างในหัวใจ และไม่เปิดโอกาสให้แก่ใครได้เข้ามานั่งแทนที่ในใจนางอย่างแท้จริง
นางดำริในใจว่า “ความประพฤติของชายผู้นี้เทียบไม่ได้กับละอองธุลีที่ติดอยู่ที่เท้าสามีของเรา” จึงตอบชายหนุ่มว่า
“พี่ชาย ดิฉันเป็นหญิงมีสามีแล้ว อยู่ในฐานะที่ชายใดมิพึงใฝ่ปอง เพราะทั้งเลือดเนื้อและจิตใจของดิฉันได้มอบไว้แล้วแก่โสมทัต สามีผู้เป็น
นายของชีวิต มิใช่แค่เพียงชาตินี้เท่านั้น แต่ดิฉันหวังจะมอบให้โสมทัตทุกชาติไป ขอท่านอย่าได้หวังอะไรกับสตรีเช่นดิฉันเลย การทำเช่นนั้นไม่ต่างอะไรกับคนโง่ที่หวังจะคั้นน้ำมันจากเม็ดทราย ย่อมเปล่าประโยชน์”

ชายหนุ่มได้ฟังคำของนางแล้ว ก็รู้สึกอึดอัดใจเสียเต็มประดา เหมือนผู้ที่ดำน้ำอยู่นาน ที่ยังมิได้โอกาสโผล่ขึ้นมาหายใจ
นางปล่อยให้ชายหนุ่มอึดอัดใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็กล่าวตำหนิชายหนุ่มอีกว่า “ท่านเป็นผู้มีทรัพย์ และยังสรรเสริญค่าแห่งทรัพย์ว่า คนที่มีทรัพย์ก็เท่ากับมีทุกสิ่งทุกอย่าง จริงอยู่ ทรัพย์นั้นอาจอำนวยสิ่งที่ท่านปรารถนาได้ แต่โปรดจำไว้ด้วยว่า ทรัพย์ของท่านมิอาจซื้อความรักไปจากใจของสตรีเช่นดิฉันได้เลย ทรัพย์ของท่านจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อ ท่านได้ใช้ถ่ายถอนความชั่วออกจากใจเสีย แล้วน้อมนำความดีมาใส่ไว้แทน”
คำพูดของอมรานั้นล้วนออกจากใจที่ตรงไปตรงมา มิได้อ่อนไหวตามคำหว่านล้อม ทำให้เจ้าหนุ่มนั้นสิ้นหวัง ส่วนเจ้าหนุ่มอีกสองคนที่เหลือจะจีบนางสำเร็จหรือไม่นั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)