ด้วยมูลค่าความเสียหายปีละกว่า 2 แสนล้านบาทจากสถิติอุบัติเหตุทางถนนและกว่า 80% ของสาเหตุหลักในการเกิดเหตุดังกล่าวมีที่มาจาก “ความเมา” จากจุดนี้ก่อให้เกิดกลุ่มคนทำงานเพื่อรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้กับคนที่ชอบดื่มสุรา
หันมาใส่ใจกับความเดือดร้อนของคนอื่นและสังคม ในชื่อของมูลนิธิ “เมาไม่ขับ”
ความเป็นมา...เป็นไปอย่างไร ผู้จัดการมอเตอริ่ง สัมภาษณ์ “นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช” เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ผู้เป็นตัวตั้งตัวตีโครงการนี้ เหนืออื่นใดครั้งหนึ่งเขาเคยประสบอุบัติเหตุจากคนเมาขับรถมาชน....มันน่าเจ็บใจจริง ๆ

       “นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช” หรือที่ใครหลายคนคุ้นเคยกับชื่อ “หมอเมาไม่ขับ” ผู้ซึ่งใช้เวลานานนับสิบปีในการรณรงค์เพื่อกระตุ้นจิดสำนึกให้กับคนที่รักการดื่มสุรา หันมาใส่ใจกับความเดือดร้อนของคนอื่นและสังคม ด้วยการ “เมาไม่ขับ” เพราะการเมาถือเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งสร้างความเสียหายให้ชีวิตและทรัพย์สินมูลค่าปีละกว่า 2 แสนล้านบาท
       
       ดังนั้นเพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางของการช่วยรณรงค์ในเรื่องดังกล่าว ผู้จัดการมอเตอริ่ง จึงขอนำเสนอเรื่องราวความเป็นมาต่างๆ ของโครงการ “เมาไม่ขับ” กับ “หมอแท้จริง” ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยสูญเสียเพราะเหตุคนเมาแล้วขับรถมาชน

       สำหรับที่มาที่ไปของ “มูลนิธิเมาไม่ขับ” ต้องย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน โดยเริ่มต้นจากตัวหมอแท้จริงมีความชอบในเรื่องวิทยุสื่อสาร (VR) ซึ่งทำให้หมอได้รับรู้ข่าวสารต่างๆ อย่างรวดเร็วก่อนคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ รถชน, ไฟไหม้ รวมถึงอุบัติเหตุหลายหลากรูปแบบ หมอจึงเกิดความคิดที่จะช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเหล่านั้น แต่ก็ยังไม่สามารถทำได
้เพราะสมัยก่อนรถพยาบาลยังไม่ทันสมัย เหมือนปัจจุบันที่มีเครื่องมือครบ
       
       
จึงเริ่มต้นด้วยการตั้งเป็นศูนย์วิทยุชื่อ “นเรนทร” ขึ้นเพื่อประสานงานไปยังโรงพยาบาลต่างๆ เวลาเกิดเหตุฉุกเฉิน ทำมาได้สักพักยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ อยู่มาวันหนึ่งเกิดเหตุ ตึกรอยัลพาซ่าถล่มที่โคราช ทางปอเต็กตึ้งจึงเรียกวิทยุแจ้งเหตุเข้ามาที่ศูนย์นเรนทร หมอแท้จริงซึ่งประจำการอยู่หน้าวิทยุตลอดจึงโทรศัพท์แจ้งเหตุดังกล่าวแก่ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (ตามสายงานรับผิดชอบของตนเอง)เพื่อขออนุมัติส่งทีมแพทย์เข้าไปช่วยเหลือ
       
       ซึ่งปลัดก็อนุมัติทันที จึงเป็นที่มาของ ภาพข่าวที่สื่อออกไปในด้านการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บอย่างทันท่วงที เนื่องจากการประสานงานที่รวดเร็ว โดยเฉพาะทีมงานของกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานของรัฐหน่วยแรกๆ ที่เข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเหตุการณ์ดังกล่าว
       


       จากความสำเร็จตรงจุดนี้ ทำให้ภาครัฐเห็นความสำคัญของการประสานงานจึงก่อตั้ง สถาบันการแพทย์ด้านอุบัติเหตุและสาธารณภัย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข(ประมาณปี 2535) โดยเลือกหมอแท้จริงเป็นผู้อำนวยการสถาบันคนแรก เนื่องจากทางปลัดเห็นว่า หมอแท้จริงมีความรู้เรื่องเกี่ยวกับอุบัติเหตุอย่างดี และมีความสนิทสนมกับพวกอาสากู้ภัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปอเต็กตึ้งหรือร่วมกตัญญู
       
       “ความที่ผมมีใจรักทำงานทางด้านนี้อยู่แล้วจึงตัดสินใจรับตำแหน่งผ.อ.สถาบัน แต่ทว่าก็ขอกับปลัดฯ ว่า จะยังคงทำงานเป็นหมอตาอยู่ด้วยเหมือนเดิมนะ เพราะหมอสถาบันมันหากินไม่ได้ แต่หมอตาพอจะหาเงินเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้”
       
       หลังจากนั้นก็จัดตั้งหน่วยกู้ชีพนเรนทรขึ้น ควบคู่ไปกับสถาบันฯ พอทำหน่วยกู้ชีพไปได้สักระยะหนึ่ง สังเกตเห็นว่า ผู้ประสบอุบัติเหตุที่ไปรับมา ส่วนใหญ่มีแต่คนเมา หมอแท้จริงเริ่มเก็บตัวเลขสถิติสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ เมื่อรวบรวมได้จำนวนหนึ่งพบว่า กว่า 80% ของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมาจาสาเหตุ “เมา” นั่นเอง
       
       จึงคิดว่า ถ้าจะทำการรักษาอย่างเดียวเห็นท่าจะไม่ดีแน่ มันเป็นทางนรก ไม่ใช่สวรรค์ ฉะนั้นต้องเริ่มทำเรื่องป้องกันด้วยเหมือนกับ การรณรงค์เกี่ยวกับโรคเอดส์ โรคอหิวา ของกระทรวงสาธารณสุข เพราะหากขืนแต่รอให้คนเป็นแล้วค่อยมารักษา คนคงจะตายหมดก่อน
       


       หมอจึงจัดตั้ง “ชมรมคนรุ่นใหม่ดื่มสุราแล้วไม่ขับรถ” ขึ้น เพื่อรณรงค์เกี่ยวกับการเมาแล้วไม่ขับรถ โดยทำร่วมกับคุณดำรง พุฒตาล ทว่าในช่วง 2-3 ปีแรกยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก ประชุมกันมาหลายครั้งงานรณรงค์ไม่คืบหน้า จึงกลับมาคิดกันว่าสงสัยชื่อชมรมไม่เหมาะ ว่าแล้วคุณดำรง ก็เลยจัดกิจกรรมให้ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งชื่อชมรม โดยมีเงินรางวัลให้
       
       ซึ่งผลของกิจกรรมนั้นมีคนส่งชื่อมาเป็นจำนวนมาก แต่มีเพียงชื่อเดียวที่โดนใจได้รับรางวัลชนะเลิศ และใช้มาจนถึงทุกวันนี้คือ “เมาไม่ขับ”
       
       เมื่อชมรม “เมาไม่ขับ” ได้ชื่อในการทำตลาดอย่างเป็นทางการ และเริ่มเป็นที่รู้จักของสาธารณชนเรื่อยมา
จนในปี 2546 หมอแท้จริงรวบรวมสถิติการเกิดอุบัติเหตุคนตายจากทุกโรงพยาบาลในช่วงวันปีใหม่ แล้วนำเสนอจัดงานแถลงข่าว ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและสาธารณชนเป็นอย่างมาก
       
       “สิ่งที่เราทำมาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2535-2546) ลุ่มๆ ดอนๆ แต่เพียงแค่นำเสนอตัวเลขสถิติเท่านั้นก็ได้รับการตอบสนองจากสื่อต่างๆ รวมถึงกระแสการตื่นตัวของคนเป็นจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นท่านนายกรัฐมนตรีให้ความสนใจ พร้อมกับลงมือปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการจัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยบนท้องถนนขึ้น”

       เป็นอันว่านับตั้งแต่นำเสนอตัวเลขสถิติต่อสาธารณชนในครั้งนั้น กระแส “เมาไม่ขับ” ก็เริ่มถูกจุดประกายเป็นวงกว้างมากขึ้น พร้อมกับสื่อและเจ้าของสินค้าต่างๆ หยิบเอาคำว่า เมาไม่ขับ ไปโฆษณา ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้คำว่า เมาไม่ขับ เป็นที่รู้จักมากชนิด 9 ใน 10 คน เคยได้ยินคำนี้ และจากชมรมที่ทำอะไรได้ไม่มากจึงปรับเปลี่ยนมาเป็นมูลนิธิเมาไม่ขับ ในปัจจุบันเพื่อการทำงานคล่องตัวและเป็นรูปธรรม
       
       แม้กระแสเมาไม่ขับจะแรงเพียงไรแต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับ หมอแท้จริง เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2550
หรือราวๆ 1 ปีก่อน หมอต้องพบกับฝันร้ายคือ รถหมอถูกคนเมาขับมาชนอย่างจัง ความแรงของการปะทะทำให้รถของหมอไม่สามารถซ่อมได้ต้องซื้อใหม่อย่างเดียว
       

       “จำได้ว่าวันนั้นผมขับมากับครอบครัวเพื่อไปเยี่ยมคุณพ่อและคุณแม่ที่จังหวัดสระบุรี ซึ่งทำเป็นประจำทุกปี ขับอยู่ดีๆ ความเร็วประมาณ 30-40 กม./ชม. ก็มีรถมาชนท้ายอย่างแรงแล้วขับหนีไป พอผมลงมาจากรถคิดในใจว่า โห!!! ซวยจริงๆ เลยเรา แต่ยังดีที่คนไม่เป็นอะไรมาก” หมอเล่าถึงเหตุการณ์วันนั้นแล้วเล่าต่อว่า

       “พอดีมีมอเตอร์ไซค์ขับสวนทางผ่านมา บอกว่า พี่ๆ รถคันที่ชนพี่จอดเสียอยู่ตรงโน้นไง ผมก็วิ่งไปดูอย่างเร็วเลย หวังจะจดเลขทะเบียน พอไปถึงเห็นคนขับกับคนที่นั่งมาด้วยกันยืนเถียงกันอยู่ว่า กูบอกแล้วว่าเมาแล้วอย่าขับเร็ว พอผมได้ยินเท่านั้นถึงกับเข่าอ่อนเลยครับ คิดในใจเรารณรงค์ เย้วๆ ให้คนอื่นเมาไม่ขับ แต่สุดท้ายมาโดนคนเมาขับรถชนเสียเอง
       
       ความรู้สึกของหมอในตอนนั้นไม่ต่างอะไรกับ ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย พร้อมกับความคิดในใจว่า “เลิกแล้วครับกับการรณรงค์” เพราะแสดงว่า สิ่งที่เราทำดีมาทั้งหมด 10 กว่าปี ไม่ได้ผลเลย แต่ระหว่างที่อยู่โรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บกระดูกมือแตก หมอแท้จริงได้ดูรายการหนึ่ง แล้วเกิดความคิดว่า
       
       “จริงๆ แล้วอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับตัวเรานั้นหมายความว่า สิ่งที่เราทำมาทั้งหมด ยังดีไม่พอต่างหาก ฉะนั้นเราต้องไปหาวิธีรณรงค์ให้เกิดผลมากกว่าเดิม”
       
       และนี่จึงเป็นที่มาของการรณรงค์อย่างไม่หยุดยั้งดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน พร้อมทั้งขยายเครือข่ายให้คลอบคลุมถึงบรรดาเหยื่อของผู้ที่ถูกคนเมาขับรถชน ให้ได้รับความช่วยเหลือและมีกิจกรรมทำอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการตั้งเป้าหมายของมูลนิธิว่า “เราจะต้องไม่สูญเสียจากคนเมาแล้วขับ”
       

       สุดท้ายเป้าหมายของหมอและมูลนิธิ จะเป็นไปได้เพียงไรหรือไม่ คงขึ้นกับสำนึกของคนที่รักการดื่มและภาครัฐที่จะออกกฎหมายที่ก่อให้เกิดความเกรงกลัว
ในการกระทำความผิด ซึ่งเราขอให้ความตั้งใจของหมอเป็นจริงในเร็ววัน
 
 
 
 
 
ที่มา- 
 
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง