การรับใช้ประชาชนด้วยใจที่เต็มอิ่ม ... ท่านลามะ Robina Courtin กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ Sean ถ่ายภาพโดย: Ben Rushton

พระพุทธศาสนากับการบังคับใช้ข้อกฎหมายเป็นเสมือนเพื่อนที่ไม่คุ้นเคยกัน

ยึดติดกับหลักการที่ไม่รุนแรง ความสงบ และมีความรักให้กับมวลมนุษยชาติ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่องานประจำวันนั้นต้องเกี่ยวข้องกับการสืบสวนสอบสวนและการจับกุมผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมร้ายแรง

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่งของ NSW ที่ยึดตัวเองไว้กับแนวปรัชญาโบราณและยังนำแนวปรัชญานี้มาใช้ปฎิบัติในระหว่างการทำงานประจำของตัวเองด้วย

“เรื่องต่างๆ ที่ผมต้องพบเจอเป็นสิ่งที่น่าขนลุกและสะอิดสะเอียน และคนที่ผมต้องพบปะก็เป็นพวกที่มีสันดานเลวโดยกำเนิดอีกด้วย” Jason Puxty กล่าว

“พระพุทธศาสนาสอนผมให้เข้าใจว่า พวกคนเหล่านี้ได้เคยกระทำในสิ่งที่เลวร้ายมาแล้ว”

“ผมจะปฏิบัติตามปรัชญานี้ต่อไปและจะจัดการกับงานในหน้าที่เหล่านี้อย่างเหมาะสม แต่ในขณะเดียวกันก็จะทำอย่างมีเมตตาและมีเกียรติด้วย”

นาย Puxty และเจ้าหน้าที่อีกท่านหนึ่ง ซึ่งเขาต้องการให้รู้จักเขาเพียงว่าเขาชื่อ Sean ได้เปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนาหลังจากได้มีประสบการณ์เลวร้ายมาหลายเรื่องในขณะทำงาน “Jason และ ผมได้ประสบกับเรื่องเลวร้ายต่างๆ หลายเรื่อง และตอนนี้เราทั้งสองก็รู้เหตุรู้ผลดีมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่เราต้องพบเห็นและเข้าใจว่า เราจะต้องตอบสนองกับสิ่งนั้นๆ อย่างไรในเชิงอารมณ์” Sean กล่าว

“ยกตัวอย่างการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ถ้าเรามัวแต่นั่งอยู่ตรงนั้นแล้วคิดเพียงแต่ว่า “ทำไม? ทำไม?” ไม่ได้ช่วยเรียกคืนชีวิตใครกลับมาได้ ผมควรจะรับใช้ประชาชนด้วยใจที่เบิกบานดีกว่า และรับรู้เพียงว่า ประชาชนผู้โชคร้ายเหล่านี้เสียชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์วัยก็เพราะเหตุการณ์อันน่าสลดนี้เกิดขึ้น

ชายทั้งสองนี้ได้รับเอาคำสอนทางพระพุทธศาสนาจากภิกษุณีชาวออสเตรเลียชื่อ Robina Courtin

ภิกษุณี Robina อดีตเคยเป็นนักเคลื่อนไหวทางทหารฝ่ายซ้าย ต่อมาได้มาเป็นบอดี้การ์ดประจำตัวของท่านลาไล ลามะ ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการโครงการ The US-based Liberation Prison Project ซึ่งให้การช่วยเหลือนักโทษด้วยการไปเยี่ยมเยียนนักโทษอย่างสม่ำเสมอ โดยไปให้คำแนะนำและสอนเรื่องศาสนาด้วย

“ถ้าเราแกะกล่องยี่ห้อของศาสนาออก... เนื้อหาภายในของพระพุทธศาสนาก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับใจ” ภิกษุณี Robina กล่าว ในขณะที่กำลังเยี่ยมสถาบันพระพุทธศาสนาสายวัชรยานแห่งหนึ่งในแอชฟิลด์ (Ashfield) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

“ใครก็ตามไม่ว่าเขาจะเป็นผู้กระทำความผิดหรือเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน้าที่ของเขานั้นเหมือนกัน คือ ต้องรู้จักใจตัวเอง หาให้ได้ว่า อะไรเป็นอะไร ต่อจากนั้นก็เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเอง”

แล้วถ้าสถานการณ์ในขณะนั้นจำเป็นที่จะต้องใช้กำลังในการจัดการล่ะ?

ถ้าผมจำเป็นต้องใช้กำลังเพื่อปกป้องตัวเองและผู้อื่น ผมก็ต้องทำ แต่ผมรู้ว่า นั่นจะต้องมีวิบากกรรมที่จะต้องไปชดใช้ในภายหน้า” นาย Puxty กล่าว

“ผมได้อาราธนาศีลเอาไว้แล้วว่าจะไม่ทำสิ่งต่อไปนี้ –ไม่ฆ่า ไม่โกหก ไม่ลักทรัพย์ ผมจะทำร้ายผู้อื่นก็ต่อเมื่อเพื่อป้องกันตนเอง แต่ผมก็รู้ดีว่า นั่นจะทำให้มีวิบากกรรมตามมา”

ชายทั้งสองนี้ชี้แจงว่า ทัศนคติของพวกเขาไม่มีผลกระทบต่อตำแหน่งหน้าที่การเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ NSW แต่เขาเชื่อว่า เพื่อนร่วมงานของพวกเขาจะได้รับประโยชน์จากคำสอนทางพระพุทธศาสนาด้วยโดยผ่านความประพฤติของเขาทั้งสอง”

“ผมมองดูเพื่อนร่วมงานบางคนทุบกำแพงอิฐด้วยอารมณ์ ผมคิดว่า พวกเขาก็สามารถได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน” Sean กล่าว

“เพียงแต่ว่ายังมีคนจำนวนน้อยที่ปฏิบัติตามระบบความเชื่อนี้ เนื่องจากว่า คนส่วนมากมองว่า มันมีข้อขัดแย้งกันระหว่างงานในหน้าที่นี้กับการปฏิบัติตนตามพระพุทธศาสนา”

ที่มา-http://www.smh.com.au/national/between-buddhism-and-hard-yards-of-police-work-20090311-8vap.html?page=-1

 
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง