มุมมองทางพระพุทธศาสนาในเรื่องของทุกข์และธรรมชาติที่ผันแปรของความทุกข์ได้ให้ความเห็นเรื่องความทุกข์ว่าเป็นสิ่งที่อ้างอิงถึง          ความทุกข์ตามความคิดของทางตะวันตกถือว่าเป็นอารมณ์ชนิดหนึ่งของแต่ละบุคคล ความหดหู่เป็นเสมือนคลื่นที่มีอยู่ในทะเลแห่งความทุกข์มากกว่าจะเป็นผลสะท้อนของความคิดมนุษย์ คนแต่ละคนในมุมมองของพระพุทธศาสนาไม่เป็นทุกข์ เพราะว่าความทุกข์เป็นสภาวะของการรับรู้ ไม่ใช่บุคลิกภาพ แต่เพราะการยึดติดกับความรู้สึกทุกข์ที่เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่าถ้าสิ่งที่ตนเองต้องการแล้วไม่สมหวัง คนเราต้องเป็นทุกข์ทำให้คนเราเป็นทุกข์ การที่ติดอยู่ในทะเลทุกข์ไม่ได้ทำให้คนเราเป็นทุกข์ แต่เป็นเพราะผลสะท้อนของทัศนคติที่ยึดติดอยู่ในวังวนของมารหรือภาพลวงตา ที่เกิดขึ้นจากตัณหาทำให้เราเป็นทุกข์

การตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือการเข้าถึงสภาวะของนิพพานที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เชื่อกันว่า เป็นผลลัพธ์ของการพิชิตภาพลวงตาได้ ความทุกข์เป็นภาพลวงตา ถ้าความทุกข์เป็นภาพลวงตา ความรู้สึกว่าทุกข์ก็เป็นสภาวะที่คนเราตกอยู่ในเงื้อมมือของภาพลวงตา ความคิดตามหลักเหตุและผลทางพระพุทธศาสนา ไม่มีคนที่เป็นทุกข์ เพราะว่า ความทุกข์นั้นเป็นเพียงภาพลวงตา มันไม่มีอยู่จริง คนที่อยู่สภาวะที่สามารถบรรยายว่า ตัวเองเป็นทุกข์ ก็เพราะว่าคนเหล่านั้นไม่สามารถปลดปล่อยตนเองจากวงจรแห่งทุกข์ไปสู่สภาวะพระนิพพานได้ พระพุทธศาสนาตระหนักดีว่า ความทุกข์เกิดจากตัณหาหรือความทะยานอยากในสิ่งที่ไม่แน่นอน ซึ่งเป็นรากฐานของการเกิดมาเป็นมนุษย์ล่ะ

“ไม่มีผู้กระทำหรอก ไม่มีอะไรเลยนอกจาก การกระทำ เท่านั้นที่มีอยู่”

ศาสนาพุทธเกือบจะเรียกได้ว่ามีแต่ “ความว่างเปล่าและไม่มีความหมายอะไรเลย”ในมุมมองเกี่ยวกับชีวิต คอนเซ็ปอันหนึ่งในคำสอนทางพระพุทธศาสนาคือ แม้แต่การยึดติดของเราต่อตัวเราเองและตัวตนของเราหรือความชอบของเราและรสนิยมต่างๆ นั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ การกระทำของเราเป็นไปตามความคิดของเรา ก็แค่นั้นเอง การพลัดพรากตามความคิดทางพระพุทธศาสนาก็ถือว่าเป็นการกระทำของเราเอง เหมือนกับบุคลิกของเรา ซึ่งไม่มีตัวตน แต่เป็นเพียงเรื่องของเหตุและผลประเภทหนึ่งเท่านั้นเอง ในพระพุทธศาสนาทุกอย่างไม่ยั่งยืน และทุกสภาวะที่คนเราเป็นอยู่ในขณะใดขณะหนึ่งก็เป็นเพียงการเดินทางของกาลเวลา ดังนั้นการกระทำจึงไม่สามารถให้คำจำกัดความบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้ เพราะว่าหลังจากเวลาผ่านไปแล้ว คนๆ นั้นก็ไม่ได้เป็นคนๆ เดิมที่ได้กระทำพฤติกรรมนั้นอีกต่อไป ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคนๆ หนึ่งเป็นพวกชอบเล่นพิเรนทร์ในสมัยที่เป็นนักเรียน เขาได้รับฉายาว่าเช่นนั้นในขณะนั้นในชุมชนที่เขาอยู่ ถามว่า เขายังได้ชื่อว่าเป็นพวกชอบเล่นพิเรนทร์เมื่อเขาโตเป็นผู้ใหญ่ด้วยหรือไม่ บางคนอาจจะยังเป็นอยู่ บางคนไม่ ความคิดที่ผูกการกระทำในขณะหนึ่งไปกับบุคลิกภาพของคนเราตลอดไปนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในมุมมองของพระพุทธศาสนาในแง่ของความไม่แน่นอน การกระทำยังอยู่ มีคนกระทำพฤติกรรมนั้น แต่การที่จะตราหน้าหรือตีตราลงไปในคนใดคนหนึ่งโดยอาศัยการกระทำของเขาเพียงอย่างเดียวนั้นถือว่าเป็นความผิดพลาด ซึ่งดูเหมือนว่า ในพระพุทธศาสนาจะบอกว่า ในชีวิตคนเรา ก็มีเพียงแต่การกระทำตามบทบาท และตัวแสดงซึ่งมีอิสระ แต่มีความเกี่ยวข้องทางธาตุพื้นฐานจากฉากหนึ่งไปสู่อีกฉากหนึ่ง

“พระนิพพานมีอยู่ แต่ไม่ใช่ที่อยู่ของบุคคลที่แสวงหาพระนิพพาน”

พระนิพพานหรือสภาวะการหลุดพ้นคือ อิสรภาพจากวงจรของความทุกข์และความสุข มันไม่ใช่ความดีหรือเลวที่เกิดในประสบการณ์ที่สลับกันไปมาชั่วประเดี๋ยวประด๋าว พระนิพพานนั้นมีอยู่ มันอยู่ที่ๆ มันอยู่ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหรือเงื่อนไขใดๆ   ในแนวทางของความทุกข์และความสุข พระนิพพานนั้นเหมือนกับรูปแบบหนึ่งของความโอบอ้อมอารีในชีวิตชวนหัว พระนิพพานเกิดขึ้นในทันทีที่พระภิกษุรูปหนึ่งปรบมือในการปฏิบัติของเซน ในคำบรรยายเรื่องการหลุดพ้นได้พรรณาไว้ว่า ในทันที่ตื่นขึ้นจากความฝันที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ตึงเครียดและปฏิกริยารูปแบบต่างๆ สำหรับผู้ที่แสวงหาพระนิพพาน พวกเขาจะไม่รวมอยู่ในนั้น คนเราจะแสวงหาก็แต่ในสิ่งที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าของเท่านั้น ในการแสวงหาจะนำมาซึ่งความรู้สึกที่ติดยึดและยึดมั่นต่อผลลัพธ์ที่จะตามมา สำหรับผู้ที่แสวงหาพระนิพพานเขาจะต้องแยกตัวออกจากความรู้สึกนี้มิฉะนั้นจะไม่สามารถเข้าถึงสภาวะของการบรรลุธรรมได้ การแสวงหานั้นตัวมันเองเป็นสภาวะที่กระตือรือร้นมากกว่าสภาวะที่อยู่ในขณะที่หลุดพ้นแล้ว

“หนทางนั้นมีอยู่ แต่ไม่ได้มีผู้เดินทางอยู่บนเส้นทางนี้”

มรรคมีองค์ 8 นี้เป็นหนทางการดำรงชีวิต เป็นไลฟ์สไตล์ถ้าพูดแบบภาษาสมัยใหม่ และเป็นวิธีการ ผู้ที่เดินทางอยู่บนเส้นทางสายนี้เป็นบุคคลแต่ตัวตนนั้นไม่มี ความเป็นบุคคลเป็นความคิดที่กำหนดขึ้นมาภายในจิตของเราเอง หรือเกิดจากการตีความภายในชุมชนว่าเป็นบุคคล พระพุทธศาสนาบอกว่า ภาพลวงตานั้นมีอยู่ในขณะที่เรามุ่งความคิดของเราไปที่คนๆ หนึ่งแล้วเกิดความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเราหรือกับความรู้สึกอุปาทานของเรา มรรคมีองค์ 8 เป็นเครื่องชี้ เป็นระบบที่ให้ปฏิบัติตาม เป็นคำสอนที่เป็นชุด คนๆ หนึ่ง หรือนักเรียนคนหนึ่งกำลังเดินอยู่บนเส้นทางนี้ในรูปแบบของตัวเอง กาลเวลาจะส่งผลต่อเขาไปตลอดเส้นทาง ผู้เดินอยู่บนทางนี้ไม่มีอยู่เพราะว่าเขาอยู่บนเส้นทางที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นชาวพุทธที่ดียิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆ ในสภาวะที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่เดินอยู่บนเส้นทางนี้ก็จะเปลี่ยนแปลงความเป็นตัวตนไปด้วย ตัวตนในแต่ละขณะก็เป็นของชั่วคราวเพราะว่า ไม่ว่าเขาจะเป็นใครในตอนเริ่มต้นเดินทางเขาจะไม่ใช่คนเดิมเมื่อไปถึงปลายทาง

มรรคมีองค์ 8 เป็นปัญญา เป็นการกระทำที่เหมาะสมและมีจรรยา และเป็นการพัฒนาการทางจิตใจ พระพุทธศาสนาและคำสอนมีผลทางด้านจิตใจต่อผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนนั้น คนที่เดินทางอยู่บนทางนี้จะต้องผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางตัวตนเป็นอย่างมาก ลองจินตนาการว่าจะเป็นอย่างไรสำหรับคนที่มีสัมมาทิฎฐิ, สัมมาสังกัปปะ, สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตา, สัมมาอาชีวะ, สัมมาวายามา, สัมมาสติ, สัมมาสมาธิ เป็นเวลาหลายปีแล้ว เขาจะเหมือนกับมีการเปลี่ยนแปลงในระดับที่หยั่งรากลึกในแบบเดียวกันที่เกิดกับ Cat Stevens ตอนที่เขาได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งหลังจากนั้น Cat Stevens จะไม่พูดจากับดาราสาว Patty D’Arbanville ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้เขาแต่งบทเพลงที่ชื่อว่า Lady D’Arbanville ขึ้นมาหลังที่เขาได้พบปะกับเธอเข้าโดยบังเอิญในภายหลัง ทั้งนี้เนื่องจากว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงการนับถือศาสนาของเขาซึ่งทำให้ Cat Stevens จะพูดจากับ Patty ก็โดยวิธีการผ่านทางสามีของเธอเท่านั้น ตามข้อบังคับของกฎหมายอิสลาม ประเด็นของผมก็คือ คนๆ หนึ่งอาจจะเริ่มต้นปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 อย่างเช่น ฮิปปี้ Berkeley  แล้วกลายเป็นนักฟิสิกส์ประยุกต์ที่ศึกษาเกี่ยวกับระบบความร้อนในยุคที่โลกยังว่างเปล่าและวิธีการของเขาเป็นที่ประจักษ์แก่คนหลายล้านคนในเมือง Atherton ในกาลต่อมา

 

ที่มา-http://www.examiner.com/x-4061-SF-Womens-Health-Examiner~y2009m4d11-More-on-the-wisdom-under-the-Bodhi-tree-misery-is-optional-ladies

 

 

 

 

 

 
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง