อันไหนถือว่าเป็นพระพุทธศาสนา
และอันไหนถือว่าเป็นวิทยาศาสตร์ กันล่ะเนี่ย?
ก่อนที่เขาจะเริ่มลงมือทำการวิจัยเพื่อเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง
ที่มีชื่อว่า “พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์:
เครื่องนำทางไปสู่ความพิศวง” เมื่อปี 2008 ถ้า Donald S. Lopez ได้ยินว่า บางอย่างเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์นั้นไปด้วยกันได้
เขาจะต้องนึกถึงหนังสือขายดีมากเล่มหนึ่งในอดีตที่เขียนโดยนักฟิสิกส์ที่ชื่อว่า Fritjof
Capra ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1975 ภายใต้ชื่อหนังสือว่า “The Tao
of Physics” ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับงานสำรวจที่เกี่ยวกับความคล้ายคลึงกันระหว่างฟิสิกส์สมัยใหม่กับความเชื่อทางศาสนาของทางซีกโลกตะวันออก
เรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์
–ในยุคทศวรรษที่ 1970 Lopez คิดว่า “ผมเข้าใจถูกทีเดียว
เพียงแต่ว่าผมเป็นคนในอีกศตวรรษหนึ่งเท่านั้นเอง” ศาสตราจารย์ Lopez แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน กล่าวในการปาฐกถาครั้งหนึ่งในมหาวิทยาลัย เขาได้ติดตามเรื่อง
“ความมุ่งมั่น” ตั้งแต่เมื่อทศวรรษที่ 1870 หรือจะเรียกว่า “การยืนยัน”
ถึงความเหมือนกัน หรืออย่างน้อย ก็สามารถเรียกได้ว่า
เป็นความเข้ากันได้ระหว่างวิทยาศาสตร์สมัยใหม่กับการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา
หรือจะพูดว่า ระหว่างทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์กับความเชื่อทางพระพุทธศาสนาก็ได้ นั่นเป็นการเลคเชอร์เมื่อวันที่
23 กุมภาพันธ์ 2009 ซึ่งได้รับการสนันสนุนจาก คณะเอเชียศึกษา ของ The UCLA
Center, Lopez ซึ่งชื่อของเขาเป็นที่รู้จักกันดีด้านงานตำราและผลงานอ้างอิงต่างๆ
ในสายนี้ที่ว่ากันว่า ได้มาตรฐาน และเขายังเป็นนักเขียนร่วมกับ Robert
Buswell แห่งมหาวิทยาลัย UCLA ในการผลิตดิกชั่นเนรีที่มีคำศัพท์มากถึง
1 ล้านคำ ที่มีหลายภาษามารวมกัน โดยใช้ชื่อดิกชั่นนารี่เล่มนี้ว่า Dictionary
of Buddhism
“เรามักจะเห็นการอ้างที่ว่า
พระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ไปด้วยกันได้มามากกว่า 150 ปี
ในขณะที่ข้อแตกต่างระหว่างคำสอนทางพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ก็ได้ถูกเรียกร้องให้นำออกมาตีแผ่ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาเช่นกัน”
เขากล่าวในขณะที่ปาฐกถา “สำหรับคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่เข้ากันได้กับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่มีการเปรียบเทียบในช่วงเวลาที่ผ่านมา
แต่เนื่องจากว่าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากอยู่เสมอ
ทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมายในใจของคนเราตามมาด้วย”
Lopez ยังได้ทำการสำรวจอย่างย่อๆ
ในเรื่องความแตกต่างที่หลากหลายระหว่างพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ในช่วง 150
ปีที่ผ่านมา เขากล่าวว่า การยืนยันแรกในเรื่องความไปด้วยกันได้นั้นมาจากชาวพุทธจากเอเชีย
ตั้งแต่ศรีลังกาถึงญี่ปุ่น ซึ่งชาวพุทธเหล่านี้ต้องการจะปกป้องระบบความเชื่อของศาสนาของตนจากข้อหาที่ว่า
ล้าหลังและงมงาย
ต่อมาหลังจากนั้น
ชาวตะวันออกและชาวตะวันตกหลายท่านได้ออกมาร่วมกันยืนยันว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงมองไปล่วงหน้ามานานแล้วในเรื่อง
ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ หรือความรู้ที่ได้จากการพินิจพิเคราะห์ รวมไปถึงทฤษฎีเรื่องความสัมพันธ์
ทฤษฎีเรื่องกลศาสตร์ของอนุภาคในปรมาณู ทฤษฎี Big Bang และเรื่องอนันตจักรวาล
และบางครั้งเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น กล้องส่องทางไกล หรือกล้องจุลทรรศน์ ก็ได้ถูกนำมาอ้างเพื่อเป็นการยืนยันคำสอนทางพระพุทธศาสนาในเรื่องความเป็นจริงตามธรรมชาติ
บางประเด็นทางพระพุทธศาสนาที่เป็นปัญหาโต้แย้งกัน
โดยปกติแล้วจะเกี่ยวกับเรื่องพวกชาดก หรือ ต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนา ที่ Lopez กล่าวว่า
เป็นการแต่งขึ้นโดยนักวิชาการชาวตะวันตก ซึ่งเป็นชุดแนวคิดของพวกหัวสูง
ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ว่า อะไรถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิต
แต่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับพระภิกษุ ภิกษุณี
รวมทั้งฆราวาสที่มีคุณธรรมสูงส่ง ... ที่มีปรากฎในช่วงระยะเวลายาวนานกว่า 2,000
ปีที่ผ่านมา
เมื่อเร็วๆ นี้ นักศึกษาภาควิชาศาสตร์แห่งการเรียนรู้ได้ศึกษาในเรื่องผลกระทบของการทำสมาธิแบบพระพุทธศาสนาที่มีต่อสมอง
ถึงแม้ว่า พวกเขายังให้ความสนใจเกี่ยวกับว่า การทำสมาธิ คืออะไร
และอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้คนเราเป็นชาวพุทธ น้อยเกินไป ตามความเห็นของ Lopez แต่ว่า
ท่านดาไล ลามะ เองก็ได้ทรงเรียกร้องให้ชาวทิเบตยอมรับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ Lopez
ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้นำทางจิตวิญาณของทิเบตเชื่อว่า
ในที่สุดแล้วนักวิทยาศาสตร์จะต้องออกมายืนยันว่า ความเชื่อเรื่องการเกิดใหม่นั้นเป็นเรื่องจริง
ในการปาฐกถาของเขา Lopez กล่าวว่า
คนสมัยใหม่จำนวนมากค้นพบความรู้สึกสบายทางใจในการทำสมาธิ ถึงแม้ว่านั่นอาจจะยังไม่มีการหยั่งรู้อะไรที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้น
แต่แนวคิดที่ว่า สัจธรรมนั้นคือ “สิ่งที่ค้นพบ แล้วสูญสลาย
แล้วก็ถูกค้นพบอีกครั้งหนึ่ง” โดยการตรัสรู้ธรรมและสัจธรรมคือ “บางสิ่งที่รอคอยการค้นพบ”
โดยการพิสูจน์ที่ควบคุมได้ ซึ่งในระดับสุดยอดแล้วเหมือนกันยังคงเป็นจริง
ที่มา-http://www.international.ucla.edu/article.asp?parentid=105292