
วัดแห่งนี้ถือว่าเป็นอนุสาวรีย์ทางพระพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ถูกสร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 8 และ 9 เป็นสถานที่แสวงบุญของผู้ที่มีศรัทธาจากทั่วภูมิภาคนี้ และยังเป็นที่สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของอินโดนีเซียอีกด้วย
ในสัปดาห์นี้ นักแสวงบุญจะมาที่นี่จำนวนมากเพื่อมาร่วมเฉลิมฉลองวันประสูติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระภิกษุ ภิกษุณี และฆราวาส ในชุดจีวรสีเหลืองบ้าง สีเทาบ้าง หรือแม้แต่สีดำ จะมาร่วมกันสวดมนต์และเดินเวียนประทักษิณรอบวัดที่สร้างขึ้นจากหินภูเขาไฟแห่งนี้ ซึ่งประดับตกแต่งด้วยภาพต่างๆ ที่ได้มาจากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาและจากพุทธประวัติที่ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลาย
ทุกปีชาวพุทธประมาณ 40,000 – 60,000 คนจากภายในอินโดนีเซียเอง จากจีน ไต้หวัน สิงคโปร์ และจากที่อื่นๆ จะมารวมตัวกันที่บรมพุทธโธ เพื่อเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชา เทศกาล
“วัดแห่งนี้เป็นวัดทางพระพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย ดังนั้นพวกเราจึงพากันมาสวดมนต์ที่นี่ ในวโรกาสครบรอบวันประสูติและตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” Inge Teja กล่าว Teja อายุ 27 ปี เป็นนักบัญชี เธอเดินทางมาที่นี่พร้อมด้วยนักแสวงบุญอีก 180 คนจากเมือง Tangerang ใกล้กับกรุงจาการ์ต้า
“ที่บ้านของดิฉัน เราไม่มีวัด มีแต่วิหารแห่งหนึ่งเท่านั้น” เธอกล่าวเสริม
เมื่อหลายศตวรรษมาแล้ว พื้นที่ตอนกลางของเกาะชวาถูกปกครองโดยอาณาจักรชาวพุทธและชาวฮินดู ทำให้พื้นที่แถบนี้มีร่องรอยของสองวัฒนธรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ รวมทั้งวัดและพระพุทธรูปที่มีอยู่ให้เห็นได้อย่างกระจัดกระจาย
แต่ในปัจจุบันนี้ ชาวพุทธ และชาวคริสต์ ได้กลายเป็นชนกลุ่มน้อยของประเทศอินโดนีเซียไปแล้ว
จากประชากรอินโดนีเซียทั้งหมด 226 ล้านคน ประมาณ 85 เปอร์เซนต์เป็นชาวมุสลิม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศาสนาของอินโดนีเซียกล่าวว่า เพียงแค่ 1.2 เปอร์เซนต์ของประชากรทั้งหมดเท่านั้นที่เป็นชาวพุทธ WALUBI ซึ่งเป็นองค์กรชาวพุทธที่ใหญ่ที่สุดในประเทศนี้ให้ตัวเลขว่า ประมาณ 12-15 ล้าน หรือประมาณ 6.6 เปอร์เซนต์ที่เป็นชาวพุทธในขณะนี้
แข่งกันเรียกคนเข้าไปสวดมนต์
บรมพุทธโธ สร้างขึ้นบนยกพื้นรูปแบบทรงปิรามิด บนยอดเป็นที่ตั้งของเจดีย์และพระพุทธรูปจำนวนหลายองค์
การก่อสร้างของบรมพุทธโธ เป็นฝีมือของมนุษย์ที่น่าทึ่งมาก แต่ว่าวัดแห่งนี้ก็ได้ถูกทิ้งร้างและถูกลืมเลือนไปเป็นเวลาหลายศตวรรษ จนกระทั่งได้ถูกค้นพบอีกครั้งในศตวรรษที่ 19 ในสภาพที่ถูกปกคลุมด้วยขี้เถ้าและพืชจำนวนมาก แต่ตอนนี้ UNESCO ได้ประกาศให้สถานที่แห่งนี้เป็นมรดกโลกไปเรียบร้อยแล้ว
บรมพุทธโธ และที่ตั้งทางพระพุทธศาสนาแห่งอื่นๆ ในพื้นที่บริเวณนี้นอกจากถือว่าเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แล้ว สถานที่เหล่านี้ยังเป็นเครื่องเตือนให้รำลึกว่าพระพุทธศาสนาเคยเจริญรุ่งเรืองมาก่อนในอดีตในประเทศมุสลิมประเทศนี้
ผู้หญิงท้องถิ่นของที่นี่จำนวนมากยังแต่งกายแบบมุสลิมดั้งเดิมและโพกศรีษะด้วย ในขณะที่พุทธศาสนิกชนรวมตัวกันสวดมนต์วันละหลายครั้งแข่งกับเสียงเรียกให้คนเข้าไปสวดมนต์ของมัสยิดใกล้เคียง
เมืองใกล้เคียงที่มีชื่อว่า โซโล ถือว่าเป็นพื้นที่หัวใจสำคัญของกลุ่มต่อสู้อิสลามที่รู้จักกันว่า Jemaah Islamiah หรือ JI
กลุ่มดังกล่าวนี้ต้องการสร้างตำแหน่งอิสลามขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นกลุ่มที่แสดงความรับผิดชอบเรื่องการระเบิดในจาการ์ต้าและในเกาะท่องเที่ยวอย่างบาหลีด้วย
ย้อนหลังกลับไปในทศวรรษที่ 1980 บางส่วนของบรมพุทธโธ ถูกทำลายจากการโจมตีด้วยระเบิด แต่สำหรับในวันนี้ภัยคุกคามที่ร้ายแรงสำหรับอนุสาวรีย์แห่งนี้คือนักท่องเที่ยว รวมถึงคนที่ไม่ใช่ชาวพุทธที่ไม่ยอมปฏิบัติตามป้ายที่แจ้งเอาไว้ว่า “ไม่อนุญาติให้ปีนป่าย” พากันตะกายกันขึ้นไปบนส่วนยอดของบรมพุทธโธ เพื่อโพสท่าถ่ายภาพ การกระทำดังกล่าวสร้างความตื่นตระหนกให้กับชาวพุทธที่มาสักการะเจดีย์แห่งนี้เป็นอย่างมาก
การเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชาบนดินแดนมุสลิมที่เป็นหัวใจสำคัญของอินโดนีเซียแห่งนี้ยังคงถือว่าเป็นบททดสอบที่สำคัญเรื่องความอดทนซึ่งกันและกันในประเทศนี้ ประเทศซึ่งได้ผ่านบทเรียนอันเจ็บปวดอันเนื่องมาจากความตึงเครียดจากการแข่งขันระหว่างศาสนาที่มีมาตั้งแต่การลงจากตำแหน่งของอดีตประธานาธิบดีซูฮาโต้ เมื่อปี 1998
ความตึงเครียดทางศาสนา
ในขณะที่จอมเผด็จการซูฮาโต้ใช้กำลังทหารในการจัดการกับผู้ไม่เห็นด้วยที่มีอยู่ในหมู่เกาะต่างๆ ที่กินพื้นที่กว้างใหญ่ของประเทศ ระหว่างที่ตนเองอยู่ในอำนาจ 32 ปี การเปลี่ยนแปลงมาเป็นประชาธิปไตยในปี 1998 ทำให้เป็นการง่ายมากขึ้นที่จะทำให้ความตึงเครียดทางศาสนาจะหวนคืนกลับมาอีกครั้งได้
ในขณะที่ชาวจีนในอินโดนีเซียซึ่งแนวโน้มว่าเป็นชาวพุทธหรือชาวคริสต์และเป็นผู้ที่มั่งคั่งมากกว่าชาวมุสลิมเป็นกลุ่มชนที่เป็นเป้าหมายของการจราจลที่เกิดขึ้นในปี 1998
ความขัดแย้งเรื่องศาสนามักจะเกิดขึ้นในพื้นที่ของอินโดนีเซียที่มีชุมชนชาวคริสเตียน เช่น Poso และ Ambon แม้ความขัดแย้งเหล่านั้นได้รับการแก้ไขไปแล้ว แต่ประวัติของอินโดนีเซียก็ได้บันทึกเอาไว้ถึง ความสำเร็จและล้มเหลวในการจัดการกับเรื่องเสรีภาพการนับถือศาสนาและการปกป้องสิทธิของประชากรทุกคนเอาไว้ด้วย
โบสถ์และสถานที่ทางศาสนาหลายแห่งถูกโจมตีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มสิทธิมนุษยชนกลุ่มต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา
เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่รุนแรงจากกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงที่ต่อต้านกลุ่มมุสลิมสายที่มีชื่อว่า Ahmadiyya ซึ่งชาวมุสลิมส่วนใหญ่เห็นว่า มีพฤติกรรมที่แปลกประหลาดจากมุสลิมทั่วไป
สำหรับชาวพุทธกล่าวว่า พวกตนเองไม่ได้ตกเป็นเหยื่อการโจมตีของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด พิจารณาตามพื้นฐานความเชื่อทางศาสนา
“ถ้าเราพูดกันเกี่ยวกับศาสนาล้วนๆ จะไม่มีข้อจำกัดอะไรเลย ในปี 1998 ได้มีการออกกฎมาว่า กลุ่มชาวพุทธจะต้องเข้าสังกัดอยู่ใน WALUBI เพื่อที่จะทำให้อยู่ได้ แต่หลังจากปี 1998 มีองค์กรอื่นๆ เกิดขึ้น กลุ่มชาวพุทธไม่ต้องเข้าร่วมอยู่ใน WALUBI อีกต่อไป คือพวกเขามีทางเลือกมากขึ้น” Siti Hartari Murdaya หัวหน้าของ WALUBI กล่าว
“ดิฉันคิดว่า เสรีภาพในการนับถือศาสนาในอินโดนีเซียได้เดินอยู่บนร่องรอยที่ถูกต้องแล้ว” เธอกล่าว
ที่มา-http://www.canada.com/topics/news/world/story.html?id=02d3d031-2558-4f39-89de-82e07541091d