เมืองนารา ---หญิงสาวคนหนึ่ง
แต่งตั้งตัวเองว่า เป็น “Butsuzo girl” เนื่องจากเธอตัดสินใจว่า
จะอุทิศชีวิตของเธอในการโปรโมทแง่มุมต่างๆ ที่น่าสนใจของรูปปั้นพระพุทธรูปที่มีหลากหลายรูปแบบ
เธอได้บอกเล่าถึงต้นกำเนิดของแรงบันดาลใจนี้ ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดานักสำหรับคนในวัยเดียวกันกับเธอ
ในการแสดงปาฐกถาที่มีขึ้นเมื่อปลายเดือนมีนาคม ที่พิพิธภัณฑ์ The Nara
National Museum ในเมืองนารา
Ikumi Hirose อายุ 29 ปี
อยู่ที่เมือง Yokohama อ้างตัวเองว่า เป็น Butsuzo girl
ซึ่งมีความหมายว่า หญิงสาวผู้หลงใหลในรูปปั้นพระพุทธรูป
Hirose ได้กล่าวกับผู้ฟังที่อัดแน่นประมาณ
200 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีพวกที่ยังเป็นวัยรุ่นหน้าใหม่รวมอยู่ด้วยจำนวนหนึ่งว่า
“ดิฉันไม่ใช่นักวิจัย ไม่ใช่พระ หรือปฎิมากร
ดิฉันเป็นเพียงผู้ที่ชื่นชอบพระพุทธรูปมากเท่านั้น”
ในการอธิบายว่า เธอได้กลายมาเป็น Butsuzo girl ได้อย่างไร Hirose เล่าว่า หลังจากที่บิดาของเธอเสียชีวิต
ขณะนั้นเธอกำลังเรียนอยู่ปีสาม
เธอจึงเริ่มต้นปฏิวัติพฤติกรรมของตนเองเพื่อที่จะจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกที่สูญเสียในขณะนั้น
สองปีหลังจากที่บิดาของเธอเสียชีวิต
เธอได้ไปเยี่ยมชมวัด Sanjusangendo Temple ในเมือง Kyoto เมื่อได้เห็นพระพุทธรูป 1,000 มือที่มีชื่อว่า Senju Kannon ซึ่งความหมายตามตัวอักษรคือ พระพุทธรูป 1,000 มือ แต่ตามความเป็นจริงแล้ว
มีเพียง 42 แขนเท่านั้น ก็ทำให้เธอถึงกับน้ำตาไหลในทันที
“ดิฉันรู้สึกตื้นตันว่า
พระพุทธรูปที่อยู่เบื้องหน้าดิฉันเหล่านี้เกิดขึ้นจากการที่มีผู้สร้างขึ้นมา
มีผู้ที่บำรุงรักษาเอาไว้ มีผู้ดูแล และมีผู้ที่มาสักการบูชาตลอดช่วงเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา
ดิฉันรู้สึกว่า การที่มีพระพุทธรูปเหล่านี้ปรากฎอยู่ช่างเหมือนเป็นสิ่งอัศจรรย์”
เธอกล่าว
Hirose จึงได้ลงทะเบียนเรียนที่มหาวิทยาลัย
Sophia University ในสาขาวิชา Buddhist Art “ดิฉันเรียนเกี่ยวกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นโบราณโดยใช้ตำราภาษาอังกฤษ
เนื่องจากว่า วิธีนี้ง่ายสำหรับดิฉันและมันเหมาะกับดิฉันมาก” เธอบอกกับผู้ฟัง
เธอได้ยกตัวอย่างประโยชน์ของการเรียนภาษาที่สอง
เกี่ยวกับพระพุทธรูปที่มีชื่อเสียงองค์หนึ่งที่วัด Koryuji Temple ในเมือง Kyoto
ว่า
“คำอธิบายภาษาอังกฤษเกี่ยวกับพระพุทธรูปองค์นี้นั้นเรียบง่าย
เช่นพูดว่า “รูปปั้นนี้คิดว่าจะปกป้องเราได้อย่างไร”
หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ในภาคภาษาญี่ปุ่นนั้นซับซ้อนและใช้คำศัพท์ทางศาสนามากเกินไป”
เธอกล่าว
เมื่อเดือนพฤษภาคม 2007 นี้เองที่ Hirose รู้สึกว่า
ตนเองต้องการจะอุทิศชีวิตของเธอเพื่อพระพุทธรูปเหล่านี้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เธอก็ได้ไปปรากฎตัวตามสถานีโทรทัศน์หลายต่อหลายครั้ง พิมพ์หนังสือออกมาเล่มหนึ่ง
และใช้อินเตอร์เน็ตในการเผยแพร่ความคิดของเธอ
ในปัจจุบันนี้เธอได้เดินทางไปทั่ว 47
จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น ด้วยหวังว่า จะได้ไปชมพระพุทธรูปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
และเพื่อจะได้มีโอกาสพบปะกับผู้คนที่เธอสามารถจะแบ่งปันความสนใจด้วยได้
Maho และ Yuki
Wada สองพี่น้องที่เมือง Oyodocho จังหวัดนารา
ได้เข้าร่วมในกิจกรรมครั้งนี้ เธอทั้งสองก็เหมือนกับ Hirose คือชอบไปเยี่ยมชมวัดต่างๆ
เพื่อไปสักการะพระพุทธรูป
Maho เป็นกราฟฟิกดีไซเนอร์
อายุ 23 ปี กล่าวว่า “ใบหน้าของพระพุทธรูปแต่ละองค์แตกต่างกันขึ้นอยู่กับยุคสมัยที่สร้างขึ้น
ยิ่งดิฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับความแตกต่างมากเท่าไร ดิฉันก็รู้สึกว่า
สามารถสื่อสารกับพระพุทธรูปเหล่านั้นได้ดีมากขึ้นเท่านั้น”
Yuki เป็นนักศึกษาระดับวิทยาลัย
อายุ 21 ปี เธอเรียนเกี่ยวกับศิลปะ สารภาพว่า ได้ตกหลุมรักพระพุทธรูปที่มีชื่อว่า Taishaku-ten
ที่วัด Toji Temple ในเมือง Kyoto กล่าวว่า “ดิฉันสะสมภาพโปสเตอร์ของ Taishaku-ten ทุกครั้งที่ดิฉันไปที่วัด
ดิฉันได้แขวนภาพเหล่านั้นไว้ที่วิทยาลัยด้วยในบริเวณที่ดิฉันทำงาน แต่เพื่อนๆ
ของดิฉันขอให้ดิฉันกำจัดภาพเหล่านั้นออกไป”
หลังจากจบการบรรยายของ Hirose แล้ว
นักวิจัยที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งของพิพิธภันฑ์แห่งนี้ชื่อ Atsushi Nishiyam
ซึ่งเป็นผู้ชำนาญการเรื่อง Buddhist Art ก็ได้ร่วมขึ้นเวทีกับเธอด้วย
เขาทั้งสองได้ช่วยกันชักชวนให้ผู้ฟังร่วมกันลงคะแนนให้กับพระพุทธรูปที่ตนเองชื่นชอบ
ซึ่งภาพพระพุทธรูปทั้งหมดได้ถูกจัดแสดงอยู่บนจอขนาดยักษ์
ในขณะที่ทั้งสองท่านอธิบายถึงเหตุผลที่ตนเองชื่นชอบพระพุทธรูปแต่ละองค์
และได้จับกลุ่มของพระพุทธรูปทั้งหมดออกเป็น 4 กลุ่มคือ nyorai, bosatsu, myoo และ ten
กลุ่ม Nyorai เป็นพระพุทธรูปที่แสดงถึงความสำเร็จของการตรัสรู้ธรรม
กลุ่ม Nishiyama เป็นพระพุทธรูปที่อำนวยพรให้สุขภาพดีและช่วยรักษาโรคด้วย
ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่อยู่ที่วัด Yakushiji Temple ซึ่งเป็นตัวอย่างพระพุทธรูปที่ทั้งสองชื่นชอบ
“พระพุทธรูปองค์นี้มีลักษณะที่สมบูรณ์แบบมาก
แม่ของผม ซึ่งไม่เคยรู้จักบิดาของตนเองเลย บอกว่า เธอรู้สึกว่า
เหมือนมีพ่อมาอยู่ด้วยทุกครั้งเมื่อเธอยืนอยู่ต่อหน้าพระพุทธรูปองค์นี้” เขากล่าว
สำหรับกลุ่ม bosatsu ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่จะนำพาผู้คนให้มุ่งสู่การตรัสรู้ธรรม
Hirose ได้แนะนำพระพุทธรูปองค์หนึ่งที่มีชื่อว่า Kannon
Bosatsu ซึ่งมี 11 หน้า เป็นของวัด Kogenji Temple ในจังหวัด Shiga เธอยังได้บอกเล่าถึงตำนานเรื่องหนึ่งว่า
พระพุทธรูปองค์นี้ถูกซ่อนไว้ใต้ดินในช่วงศตวรรษที่ 16
โดยชาวท้องถิ่นเพื่อปกป้องพระพุทธรูปองค์นี้เอาไว้ หลังจากที่แม่ทัพในยุคกลางที่ชื่อว่า
Oda Nobunaga ได้เผาทำลายวัด Enryakuji
Temple ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามทะเลสาบ Biwa กับวัดแห่งนี้
Hirose กล่าวว่า
เธอมักจะพบว่า มีคนมาสวดมนต์กับพระพุทธรูปที่เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ The Nara
National Museum แห่งนี้มากกว่าที่พิพิธภัณฑ์แห่งอื่นๆ นาย Nishiyama
จึงพูดติดตลกว่า อาจจะเป็นเพราะว่า
ทางพิพิธภัณฑ์ของเราสามารถรักษาพระพุทธรูปได้ดีกว่าที่ทำกันตามวัดต่างๆ
ที่เคยเก็บพระพุทธรูปเหล่านี้เอาไว้มาก่อน
Mieko Nakamura อดีตครูสอนเปียโน
อายุ 49 ปี อยู่ที่เมือง Toyonaka จังหวัด Osaka กล่าวว่า หลังจากเข้าร่วมกิจกรรมนี้ “ดิฉันรู้สึกหลงใหลในพระพุทธรูป Ashura
ของวัด Kofukuji Temple เมื่อดิฉันได้เห็นพระพุทธรูปองค์นี้ในงานนิทรรศการเมื่อปี
2007”
“ตั้งแต่นั้นมา
ดิฉันก็ได้ไปเยี่ยมเยือนวัดแห่งนั้นอีก 2-3 ครั้งต่อเดือนเพื่อไปสักการะพระพุทธรูปองค์นั้น
และดิฉันก็เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับพระพุทธรูปองค์อี่นๆ
มันดีมากเลยที่ได้ค้นพบพระพุทธศาสนาและประเพณีโดยทั่วไปของชาวญี่ปุ่นในวัยของดิฉันนี้”
ที่มา-http://www.yomiuri.co.jp/dy/features/culture/20090409TDY16002.htm