
วอชิงตัน 11 มิถุนายน: นักโบราณคดีกับทีมของเขากำลังค้นหาพระพุทธรูปขนาดใหญ่องค์ที่ 3 ของอาฟกานิสถาน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางไสยยาสน์และเป็นที่เชื่อกันว่ามีความยาว
1,000 ฟุต (300 เมตร) ถูกฝังอยู่ใต้ดิน
ตามรายงานในนิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟิก แมกกาซีน นักโบราณคดีที่พูดถึงก็คือนายซีมายาไล ทาร์ซี
ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสำนักโบราณคดีของอาฟกานิสถานในทศวรรษที่ 70
(หรือ 1970s)
เมื่อกลุ่มตาลีบันระเบิดทำลายพระพุทธรูปขนาดใหญ่
2
องค์ในเมืองบามิยันในปี ค.ศ. 2001 ไม่มีใครที่เศร้าโศกเกินไปกว่านายทาร์ซีซึ่งเป็นผู้ปกป้องพระพุทธรูป 2
องค์นี้ด้วยเหล็กเสริมในทศวรรษที่ 70
ตอนนี้เขามุ่งมั่นว่าจะเปิดเผยวัตถุโบราณที่มีค่าอื่นๆ
ของบามิยันออกมา เขากลับไปเริ่มขุดหาวัตถุโบราณใหม่อีกครั้งในปี 2002
หลักจากถูกเนรเทศมา 23 ปี
นายทาร์ซีกำลังค้นหาพระพุทธรูปขนาดใหญ่องค์ที่ 3
– องค์ที่เป็นพระพุทธรูปปางไสยยาสน์และเชื่อกันว่ามีขนาดยาว 1,000
ฟุต (300 เมตร) ฝังอยู่ใต้ดิน
นายทาร์ซีและทีมของเขาซึ่งเป็นนักศึกษา,
นักโบราณคดีและผู้ปฏิสังขรณ์ของพิพิธภัณฑ์ได้ทำความสะอาดและซ่อมแซมปฏิสังขรณ์รูปปั้นดินเหนียวของชาวพุทธอื่นๆ
ที่พบในเมืองบามิยันเป็นจำนวนมาก
นายทาร์ซีหวังว่าสักวันหนึ่งวัตถุโบราณเหล่านี้จะอยู่ในกล่องจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ของอาฟกานิสถานซึ่งวัตถุเหล่านี้ได้รับความเสียหายจากการทำลายและการปล้นสะดม
นายทาร์ซีและทีมของเขาขุดเศียรพระพุทธรูปขึ้นมาได้หลายองค์ซึ่งมีอายุไม่ต่ำกว่า
1,500
ปี
“วัตถุจากอดีตเหล่านี้และเรื่องราวของสถานที่ที่วัตถุเหล่านี้เกิดขึ้นมา
จะกลายเป็นแหล่งกำเนิดของแรงบันดาลใจและช่วยให้ประชาชนของอาฟกานิสถานผูกพันกับบรรพบุรุษของพวกเขามากยิ่งขึ้น” นายทาร์ซีกล่าว
ตอนนี้นายทาร์ซีกำลังค้นหาพระพุทธรูปขนาดใหญ่องค์ที่
3
ซึ่งเป็นองค์ที่เชื่อกันว่าถูกฝังอยู่ใต้ดินและเป็นปางไสยยาสน์ขนาด 1,000
ฟุต (300 เมตร)
นายทาร์ซีเป็นผู้ขุดพบพระบาทของพระพุทธรูปปางประทับยืนที่มีอยู่ทั้งหมด
6 พระบาทซึ่งประดิษฐานอยู่ในวัดทางตะวันออกของเมืองบามิยัน
ในปี 2008 นายทาร์ซีและทีมของเขาเปิดเผยเรื่องพระพุทธรูปปางไสยยาสน์ขนาด
62 ฟุต (19 เมตร)
องค์หนึ่งออกมาซึ่งเป็นองค์ที่มีขนาดเล็กกว่าพระพุทธรูปปางไสยยาสน์ขนาด 1,000
ฟุต (300 เมตร) ที่เขามุ่งมั่นว่าจะค้นหาแต่ยังคงมีการพูดเป็นนัยยะถึงสิ่งที่อาจรอคอยอยู่ ถ้าการค้นหาของเขาประสบความสำเร็จขึ้นมา
เขากำลังตั้งหลักการค้นหาของเขาตามรายงานชิ้นหนึ่งซึ่งมีรายละเอียดมาก โดยรายงานฉบับนี้เขียนโดยพระธุดงค์ชาวจีนในศตวรรษที่ 7
ผู้เดินทางมาที่ดินแดนแห่งนี้