
“มันก็เหมือนกับผู้นำที่ไม่มีกล้องถ่ายรูป” พระ Gelong Thubten กล่าว “ผมคิดถึงอะไรนะเหรอ?
ผมคิดถึงคุณแม่และไอศกรีม”
เขาค้นพบอะไร
มันดูเหมือนเป็นความสุขภายในอันลึกซึ้งและรัศมีแห่งความสงบนิ่งและเยือกเย็น
ในเดือนมิถุนายน
2005 พระ Gelong
Thubten วัย 37 ปีจากประเทศบ้านเกิดเมืองนอนมาอยู่อย่างจำกัดบริเวณอย่างสมัครใจในถิ่นที่ห่างไกลของสก็อตแลนด์ ตัดขาดจากวิทยุ
โทรทัศน์และการสื่อสารทางโทรศัพท์ นอกจากจดหมายที่ได้รับเดือนละครั้ง
เขาและพระเพื่อนอีก 14 รูปถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
เขาใช้เวลาตามตารางการนั่งสมาธิและการสวดมนต์อย่างเคร่งครัดและถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย ออกจากโลกแห่งวัตถุและมีสมาธิอยู่กับใจภายใน เขาปฏิบัติธรรมวันละ 19 ชั่วโมง ทุกวัน ในช่วง 5 เดือนของปีที่ 2
พระสงฆ์ปฏิบัติตามคำอธิษฐานว่าจะอยู่อย่างเงียบสงบ
พระ Gelong Thubten เติบโตขึ้นในมาในครอบครัวของชนชั้นกลางในเคมบริดจ์และแฮมป์สเต็ด
(Hampstead) ท่านเป็นลูกชายของนักแสดงชาวอินเดียชื่อนายอินทิรา โจชิ ผู้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Kumars
at No 42. ท่านเข้ารับการศึกษาที่
University College School ทางตอนเหนือของลอนดอนและที่มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด
(University of Oxford) แล้วเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนการแสดงในนิวยอร์คและกลายเป็นนักแสดงคนหนึ่ง
เมื่อท่านอายุ 21 ปี สรุปสั้นๆ ได้ว่าหลังจากท่านเข้ารับการทดสอบการแสดงเพื่อรับบทในภาพยนตร์เรื่อง
Little Buddha – “เหตุบังเอิญอย่างสุดยอดใช่หรือไม่? –
ชีวิตที่เร่งรีบและความเครียดจากการแสดงที่ท่านได้รับมากเกินไป ทำให้ท่านตัดสินใจถอนตัวออกมา 12 เดือนเพื่อศึกษาพระพุทธศาสนา
สิ่งนั้นผ่านมาแล้ว
16 ปี
ปัจจุบันนี้ท่านเป็นพระเถระรูปหนึ่งและถือศีล : ไม่ฆ่าหรือทำร้ายสัตว์, ไม่ลักทรัพย์, ไม่พูดปด, ไม่เสพกามและไม่เสพยาเสพติด
พระ Gelong Thubten เปิดเผยถึงความลำบากที่ท่านประสบในการปฏิบัติธรรมที่พบในบ้านชาวนาผู้เปลี่ยนศาสนา ดาวเทียมของวัด Samye Ling ใน Dumfriesshire เป็นศูนย์พุทธศาสนาของทิเบตแห่งแรกที่ตั้งขึ้นในโลกตะวันตก
“ปีแรกผ่านไปอย่างช้ามากๆ
ผมและพระอีกรูปหนึ่ง เราจะพบกันในช่วงฉันเพลและพูดกันขำๆ ว่า
เหลืออีก1,099 วัน และในวันต่อมา เราจะพูดว่า เหลืออีก1,098 วัน จริงๆแล้วมันดูเหมือนว่าเวลาผ่านไปช้าๆ
แต่ในปีที่สอง คุณซึมซับในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งและใจมีสมาธิมากขึ้น ดังนั้นในตอนท้ายเมื่อมันเริ่มเร่งเครื่องและคุณรู้ว่าคุณเหลือเวลาอีก
1 ปี คุณเริ่มที่จะกระวนกระวายอีกครั้ง
“ผมไม่อยากเปรียบเทียบมันกับคำพิพากษาให้ไปติดคุก คุณสามารถเดินออกมาได้ทุกเวลา ไม่มีการตำหนิกัน มีพระ 1 – 2 รูปได้ขอออกไปและพวกเราไม่ได้ว่าอะไร ผมมีเพื่อนที่ออกไปและผมเข้าใจว่า
– มันลำบากมาก”
พระสงฆ์มีปฏิทินสำหรับใช้ในงานที่ต้องทำและใช้ปฏิทินนี้เพื่อนับเวลาที่ผ่านไป พวกท่านไม่ได้ฉลองคริสต์มาสด้วยไก่งวง –
พวกท่านเป็นมังสวิรัติ – แต่ฉลองด้วยขนมปังกรอบแคร็กเกอร์ ในบางโอกาสภารโรงจะทำบางอย่าง เช่น ซุปมาร์ไมต์
มาให้พวกท่าน
เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องเรียบๆ
เล็กๆ ที่มีหิ้งพระ, ที่นั่งสมาธิ
และหีบใส่ของขนาดใหญ่หีบหนึ่งเพื่อเก็บผ้าไตรและถุงเท้าของเขา เขาไม่มีหนังสือหรือของฟุ่มเฟือยชนิดใดๆ เลย
มันเป็นงานยากเหมือนกับการสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมาจริงๆ
– สร้างความเข้มแข็งภายในตัวคุณเอง มันมีประโยชน์จริงๆ ผมพบว่ามันทำให้เหนื่อยได้แต่ก็มีความสุข”
ตอนนี้เขากำลังจัดการปฏิบัติธรรมให้เป็นระบบยิ่งขึ้นและวางแผนที่จะกลับไปทำงานที่เขาเคยทำมาก่อน: การให้คำปรึกษาแก่ธุรกิจต่างๆ, พนักงาน NHS, นักโทษ,
ผู้ติดยาและเด็กนักเรียนเกี่ยวกับการจัดการความเครียด
“ผมเคยเป็นนักแสดงมาก่อน ผมหยุดทำตอนอายุ 21ปี การเป็นนักแสดงทำให้ผมมีความสามารถมากในการเข้าสังคมกับผู้คนเมื่อผมกำลังสอนพวกเขา เมื่อผมไปในโรงเรียน ผมบอกพวกเขาว่า ใช่!ผมเคยเป็นนักแสดง ผมเคยอกหักและเคยดื่มเหล้าและใช้ยา ผมไม่ได้ถูกไล่ออกจากวงการมายาไปสู่วงการศาสนาที่แปลกประหลาด”
หลังจากพ้นช่วงของการปรับตัวที่ศูนย์
Samye Ling เขาเดินทางไปที่บรัสเซลส์ในสัปดาห์ต่อมาเพื่อเริ่มสอน หลังจากอยู่ตามลำพังมานานเขาไม่ได้รอคอยเที่ยวบินหรือกลุ่มคน แต่เพื่อนคนหนึ่งให้เครื่องแล็ปท็อปแก่เขาและเขาก็มีความสุขที่ได้อ่านนิยายอีกครั้งหนึ่ง “ผมคิดถึงแฮรี พอตเตอร์ 2 ตอนหลัง” เขากล่าว “ผมต้องการมันจัง”
หนทางสู่การเห็นแจ้ง
- พระพุทธศาสนาเป็นเพียงศาสนาเดียวในโลกที่ให้อภัยมากที่สุดและมีเหตุผลมากที่สุด สังเกตได้จากหลักคำสอนของพุทธศาสนาที่ไม่ใช้ความรุนแรงและเน้นความพอเพียง
- ไม่มีการบรวงสรวงพระเจ้า แต่ละคนค้นหาหนทางสู่การเห็นแจ้งหรือพระนิพพานด้วยตนเอง
- ชาวพุทธไม่เชื่อในโชคชะตาฟ้าลิขิต ทุกๆ คนสามารถเปลี่ยนแปลงได้
- โดยพื้นฐานแล้วพระพุทธศาสนามองโลกในแง่ดี ศาสนาพุทธถือว่าโดยธรรมชาติแล้วคนเป็นคนดี มีมุมมองหลัก 3 อย่างในทางปฏิบัติสำหรับชาวพุทธ: ไม่ทำความชั่ว, ทำความดีและฝึกใจผ่านการนั่งสมาธิ
ชีวิตในแต่ละวัน
3.45 am ตีระฆังปลุกให้ตื่น
3.45 am – 6.20 am อาบน้ำแล้วเริ่มนั่งสมาธิครั้งแรกตามลำพัง
6.30 am – 7 am สวดมนต์ด้วยกันเป็นกลุ่ม
7 am – 8.30 am ทานอาหารเช้า พระภิกษุใช้เวลานี้ในการ งีบ เดินหรือทำงานบ้านบางอย่าง
8.30 am – 11.45 am นั่งสมาธิ 3 ชั่วโมง 15 นาทีในห้องตนเอง
11.45 am –
1.30 pm ทานอาหารกลางวัน อาหารเป็นแบบ มังสวิรัติและเรียบง่าย บางครั้งพระภิกษุที่มีหน้าที่ทำอาหารจะทำเค้กวันเกิดให้แก่เจ้าของวันเกิดด้วย
1.30 pm –
3.35 pm นั่งสมาธิ
3.45 pm – 4.45 pm นั่งสมาธิด้วยกันเป็นกลุ่ม
5 pm –
6.30 pm สวดมนต์ด้วยกันเป็นกลุ่ม
6.30 pm –
7.30 pm ทานอาหารเย็น พระสงฆ์จะได้รับจดหมายจากทางบ้านเดือนละครั้ง
7.30 pm –
9.45 pm นั่งสมาธิในห้องของตน ไม่อนุญาตให้อ่านหนังสือหรือนิยายอื่น ยกเว้นหนังสือธรรมะทางพุทธศาสนา
10 pm – 11 pm สวดมนต์ในห้องของตน
11 pm เข้านอน พระสงฆ์จำวัดในท่านั่งสมาธิใน
prayer box หรือจำวัดบนผ้าห่ม