จากตอนที่แล้ว ท่านสิริวัฒกเศรษฐีได้สั่งบริวารให้จัดเตรียมรถม้า และสิ่งของที่จะนำไปถวายพระราชา ครั้นพร้อมเพรียงกันแล้ว ก็ได้ออกเดินทางไปก่อน
ครั้นสิริวัฒกเศรษฐีไปถึง พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงปฏิสันถารกับท่านเศรษฐีด้วยพระอัธยาศัยอันดี แล้วก็มีพระราชดำรัสถามว่า “พ่อมโหสถบุตรชายของท่านอยู่ไหนเล่าไม่ได้มาด้วยหรือ”
ครั้นได้รับคำตอบว่า เธอจะตามมาในภายหลัง ก็ทรงเบิกบานพระหฤทัย ตรัสเชิญให้เศรษฐีนั่ง

ขณะนั้นมโหสถกุมารห้อมล้อมด้วยสหายผู้เป็นบริวารนับพัน ค่อยๆก้าวเข้าสู่ท้องพระโรง เมื่อมาถึงเบื้องพระพักตร์ของพระเจ้าวิเทหราช ก็ได้ถวายบังคมแด่พระราชาอย่างนอบน้อมแล้วยืนอยู่ ณ ที่อันสมควร
พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรมโหสถซึ่งมายืนอยู่เบื้องพระพักตร์ ก็ทรงพระปราโมทย์ยิ่งนัก ตรัสปฏิสันถารว่า “นี่หรือมโหสถบัณฑิต เราได้ยินชื่อเจ้ามานาน เอาเถอะ เจ้าจงเลือกที่นั่งอันสมควรเถิด”
หลังจากที่พระราชาเชื้อเชิญให้นั่ง มโหสถก็หันหน้าชำเลืองดูสิริวัฒกเศรษฐีผู้เป็นบิดา ซึ่งนั่งอยู่บนอาสนะทางขวามือของตน
ท่านเศรษฐีคอยกำหนดดูสัญญาณของมโหสถอยู่แล้ว พอเห็นมโหสถชำเลืองดูเท่านั้น ก็รู้ทันทีว่ามโหสถได้ให้สัญญาณตามที่ตกลงกันไว้ ทันใดนั้นท่านเศรษฐีก็ลุกขึ้นจากอาสนะ ยื่นมือชี้มาทางอาสนะของตน พลางกล่าวว่า “แน่ะลูก เจ้าจงมานั่งตรงนี้เถิด”
เหล่าข้าราชบริพารซึ่งยืนห้อมล้อมอยู่แน่นขนัดท้องพระโรง พากันแปลกใจว่า เหตุใดท่านสิริวัฒกเศรษฐีถึงต้องทำเช่นนั้น ทุกคนจึงต่างเฝ้ารอดูอยู่ว่ามโหสถจะทำเช่นไร ระหว่างตัดสินใจนั่งลงทันที หรือว่าจะเลือกอาสนะอื่นที่เหมาะสมกว่าแล้วจึงค่อยนั่ง แต่ปรากฏว่า แทนที่มโหสถจะหาที่นั่งอื่น เขากลับนั่งแทนที่บิดาของตนเสียเฉยๆ เป็นเหตุให้บิดาต้องเลื่อนมานั่งบนอาสนะที่ต่ำกว่า
ปุโรหิตาจารย์ทั้ง ๔ ซึ่งกำลังเฝ้าดูมโหสถอย่างไม่ละสายตาอยู่ในที่นั้น ต่างพากันส่งเสียงฮือฮาขึ้นก่อน เหล่าข้าราชบริพารซึ่งพอมีสติปัญญาไตร่ตรองตามในเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนได้ทัน ครั้นเห็นมโหสถประพฤติเยี่ยงเด็กไร้เดียงสาเช่นนั้น ก็พากันหัวเราะเยาะหยันไปตามๆกัน

แม้แต่พระเจ้าวิเทหราชเอง ก็ทรงเสียพระทัยอย่างหนัก พระพักตร์แต่เดิมที่ทรงแจ่มใสผุดผ่อง มาบัดนี้ก็พลันเปลี่ยนสี กลับกลายเป็นเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด
มโหสถเหลียวมองดูบริษัทในที่นั้นด้วยกิริยาปกติ มิได้มีอาการประหม่าเลยแม้แต่น้อย เพราะรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเสีย ตนก็จะต้องถูกอาจารย์เสนกะทดลองให้เกิดความละอายเช่นนี้
มโหสถเห็นการณ์เป็นไปตามคาดหมาย ก็สมใจยิ่งนัก คิดว่า “คราวนี้ล่ะ เราจักสำแดงให้เห็นปรีชาของเราบ้าง”
ครั้นแล้วจึงทูลถามพระเจ้าวิเทหราชด้วยน้ำเสียงแจ่มใสว่า “ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า ข้าพระองค์สังเกตว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมีพระพักตร์เผือดไป ก็พระองค์ทรงเสียพระทัยหรือ พระเจ้าข้า”
ท้าวเธอก็ทรงรับว่า “อือ...เราเสียใจ ไม่คิดเลยว่าเธอจะทำอย่างนี้”
ท้าวเธอจึงตรัสตอบว่า “ก่อนนั้นเราได้ฟังกิตติศัพท์ของเธอแล้ว ก็เกิดความเลื่อมใส ยิ่งได้เห็นท่วงทีกิริยาวาจาของเธอ ก็ดูน่ารักน่าชื่นใจไปเสียทั้งหมด แต่ครั้นได้เห็นการกระทำของเธอเมื่อสักครู่ ความชื่นใจที่เคยมี ก็พลันสิ้นไปชั่วพริบตา บอกตามตรงว่า เราทั้งเสียใจและผิดหวังในตัวเธอมาก”
“พระองค์ทรงผิดหวังเพราะเหตุไรหรือ พระพุทธเจ้าข้า” มโหสถซักพระราชาอย่างซื่อๆ เหมือนกุมารไร้เดียงสา

ลำดับนั้น มโหสถจึงทูลถามพระองค์อีกว่า “ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า ข้าพระบาทขอพระราชทานโอกาส เพื่อจะทูลถามพระองค์สักอย่างหนึ่ง จะได้หรือไม่ พระพุทธเจ้าข้า”
แม้ท้าวเธอจะยังมิทรงคลายจากพระหฤทัยที่หมองเศร้า แต่ครั้นทรงสดับเสียงเจื้อยแจ้วของกุมารน้อยน่ารักผู้มีนามว่ามโหสถ ก็ทรงอดมิได้ที่จะทรงพระกรุณาเป็นพิเศษ จึงมีพระดำรัสว่า “เธอประสงค์จะกล่าวสิ่งใด ก็จงว่ามาเถิด”
มาถึงตอนนี้ คงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจได้ว่า มโหสถคิดเช่นไร จึงได้ให้บิดาลุกจากที่นั่ง แล้วตนก็กลับมานั่งเสียเอง ซึ่งใครๆ เห็นแล้ว ต่างก็อดไม่ได้ที่จะแสดงอาการดูหมิ่นเย้ยหยันในความเป็นผู้มีสติปัญญาแต่ขาดความเคารพ ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ

ครั้นได้รับพระราชาทานพระราชวโรกาสแล้ว มโหสถบัณฑิตจึงได้กราบทูลถามในสิ่งที่ตนได้ไตร่ตรองเอาไว้โดยมิได้มีความสะทกสะท้านแต่อย่างใด แต่ว่ามโหสถจะกราบทูลถามอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)