จากตอนที่แล้ว เหล่าราชบัณฑิตทั้ง ๔ ต่างก็คิดปัญหาไม่ออกจึงพากันไปถามมโหสถบัณฑิต ครั้นได้รับคำแนะนำจากมโหสถแล้ว วันรุ่งขึ้นก็พากันมาเข้าเฝ้าพระราชาด้วยความมั่นใจครั้นบัณฑิตทั้ง ๔ มาพร้อมกันแล้ว

ในที่สุดจึงผินพระพักตร์มาถามมโหสถเป็นคนสุดท้ายว่า “พ่อบัณฑิต เธอล่ะ รู้ปัญหานี้ไหมเล่า”
มโหสถทูลรับสนองว่า “ เว้นข้าพระองค์แล้ว ใครเล่าจักทราบคำตอบที่ลึกซึ้งของปริศนานี้” แล้วก็ได้กราบทูลว่า “แพะกับสุนัขแม้นจะกินอาหารต่างกัน คือแพะกินหญ้า สุนัขกินปลาและเนื้อ แต่มาวันหนึ่ง แพะกลับคาบชิ้นเนื้อมาจากห้องเครื่อง ส่วนสุนัขก็คาบฟ่อนหญ้ามาจากโรงช้าง นำมาฝากกันและกัน มิตรธรรมจึงบังเกิดแก่สัตว์ทั้งสอง พระราชาประทับอยู่บนปราสาท ได้ทอดพระเนตรเหตุนั้นด้วยพระองค์เอง”
พระเจ้าวิเทหราชได้สดับคำตอบของมโหสถ ก็ทรงปลื้มว่า “เป็นบุญลาภของเรา ที่มีราชบัณฑิตเช่นนี้อยู่ในราชสำนัก” จึงได้พระราชทานรางวัลให้แก่ราชบัณฑิตเหล่านั้นโดยเท่าเทียมกันทุกคน คือทรงโปรดพระราชทานรถเทียมม้าอัสดรให้คนละคัน พร้อมกับบ้านส่วยอีกคนละหมู่บ้าน

“เทวี ราชบัณฑิตทั้ง ๕ ของเราน่ะสิ ล้วนแล้วแต่ทรงภูมิรู้ มีปรีชาหลักแหลมด้วยกันทุกคน ช่างเป็นลาภของเราโดยแท้ ที่มีบัณฑิตผู้ปราชญ์เปรื่องอยู่ในราชสำนักมากถึงเพียงนี้” ท้าวเธอตรัสชื่นชมพลางแย้มพระสรวลด้วยทรงสำราญพระราชหฤทัย
“ทูลกระหม่อมเพคะ พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่า อาจารย์ทั้ง ๔ น่ะ หาได้รู้คำแก้ปริศนานั้นด้วยตนเองไม่ แต่จำต้องอาศัยปัญญาผู้อื่น”
ท้าวเธอทรงฉงนพระทัย ตรัสถามว่า “อย่างนั้นหรือเทวี”

ครั้นท้าวเธอทรงทราบความจริงเช่นนี้แล้ว ก็ยิ่งทรงโปรดปรานมโหสถบัณฑิตมากขึ้นเป็นทับทวี เพราะชื่นชมในความเป็นผู้มีอัธยาศัยกว้างขวางของมโหสถ แต่เรื่องที่จะพระราชทานรางวัล
ให้มโหสถบัณฑิตเพิ่มขึ้นนั้น ท้าวเธอทรงระงับเอาไว้ก่อน ด้วยทรงดำริว่า “ช่างเถิด เรื่องมันผ่านไปแล้วก็แล้วกันไป แต่หากคราวหน้า มโหสถยังสามารถแก้ปริศนาของเราได้อีก คราวนี้ล่ะ เราก็จักมอบรางวัลให้เธออย่างมากมายทีเดียว”
ท้าวเธอทรงปลอบพระนางอุทุมพรให้ทรงคลายพระปริวิตกแล้ว ก็ทรงครุ่นคิดหาปริศนาข้อใหม่ที่จะใช้ทดสอบปัญญาราชบัณฑิตของพระองค์อีกครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่ง ท้าวเธอก็ทรงดำริถึงปัญหาข้อหนึ่งขึ้นมาได้ นั่นคือปัญหาว่า ระหว่างบุคคลผู้ด้อยปัญญา แต่สมบูรณ์ด้วยยศ และโภคทรัพย์ กับบุคคลผู้เปี่ยมด้วยปัญญาแต่ด้อยยศศักดิ์ นักปราชญ์ทั้งหลายสรรเสริญผู้ใด ว่าเป็นผู้ประเสริฐกว่ากัน

ท้าวเธอทรงตระหนักดีว่า อย่างไรเสียท่านอาจารย์เสนกะก็ต้องเลือกสนันสนุนฝ่ายคนที่มีทรัพย์เป็นแน่ เพราะปัญหานี้เป็นข้อที่สืบเนื่องในตระกูลของอาจารย์เสนกะมาแต่เดิม ขณะเดียวกันก็ทรงมั่นพระทัยว่า มโหสถจักต้องสนับสนุนคนที่มีปัญญาโดยมิต้องสงสัย เพราะนั่นเป็นวิสัยของมโหสถโดยแท้

ท่านเสนกะก็ทูลรับสนองท้าวเธอขึ้นมาก่อน เช่นเดียวกับทุกครั้งว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์ทรงถามมาเถิด พวกข้าพระบาทพร้อมอยู่แล้วที่จะสนองงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ พระพุทธเจ้าข้า”
ครั้นแล้วพระเจ้าวิเทหราชจึงมีพระดำรัสถามท่านอาจารย์เสนกะก่อนว่า “ดีล่ะ ท่านอาจารย์เสนกะ ถ้าเช่นนั้นเราจักขอถามท่านก่อนว่า ระหว่างผู้มีปัญญาแต่ด้อยสิริคือทรัพย์และยศ กับผู้มีทรัพย์และยศแต่ด้อยปัญญา ในบรรดาบุคคลทั้งสองนี้ นักปราชญ์ทั้งหลายจักยกย่องใครว่าเป็นผู้ประเสริฐกว่ากัน”

ดังนั้น ท่านเสนกะจึงมิได้รอช้า รีบกราบทูลท้าวเธอทันที ราวกับได้ทรงจำข้อความนั้นไว้อย่างแม่นยำว่า “ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพระบรมราชวโรกาส กราบบังคมทูลแก้ข้อปริศนาในบัดนี้ว่า บัณฑิตผู้ฉลาดปราดเปรื่อง เลื่องลือกันว่าเป็นนักปราชญ์ผู้มีปัญญามาก ไม่ว่าเขาจะเกิดมาในเผ่าพันธุ์ใด มีชาติตระกูลสูงส่งสักแค่ไหน จะเป็นผู้มีศิลปะหรือไม่ก็ตาม แต่หากว่าเป็นคนไม่มีทรัพย์ ไร้ยศศักดิ์อัครฐาน เขาเหล่านั้นทั้งหมดย่อมตกอยู่ในอำนาจของผู้มีทรัพย์ ต่างจะพากันยอมตนให้ผู้มีทรัพย์ได้เรียกใช้สอยในกาลทุกเมื่อ ข้าพระพุทธเจ้ารู้ความจริงข้อนี้ จึงกล่าวว่า คนมีปัญญาไม่ประเสริฐเลย ผู้มีทรัพย์เท่านั้นประเสริฐกว่า พระพุทธเจ้าข้า” วาทะของอาจารย์เสนกะฟังดูเข้าที แต่วาทะของมโหสถบัณฑิตจะเป็นเช่นไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)