
ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 เมษายน ผศ.นพ.สมบัติ โรจน์วิโรจน์ ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลกรุงเทพ เตือนผู้สูงอายุกระดูกจะเสื่อมสภาพ จากการสำรวจพบว่าร้อยละ 50 ของผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปเริ่มมีปัญหาข้อเสื่อม โดยเฉพาะข้อเข่า และกระดูกสันหลัง รองลงมาเป็นข้อสะโพก พบมากในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เนื่องจากเพศหญิงทำงานหนักกว่าเพศชาย รวมทั้งระดับฮอร์โมนก็มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในวัยทองหรือวัยหมดประจำเดือน คือ อายุ 50 ปีขึ้นไป เพราะระดับฮอร์โมนลดลง ความเสื่อมของข้อจะเกิดขึ้น และโรคกระดูกพรุนจะตามมา ซึ่งพบว่าโรคกระดูกพรุนเป็นปัจจัยสำคัญของกระดูกเสื่อม
อาการที่เห็นได้ชัดของผู้สูงอายุที่มีปัญหาข้อเสื่อม จะมีอาการปวดเกร็งที่สะโพกไปจนถึงขาและเท้า เดินไม่ค่อยไหว ไม่มีแรง เกิดการกดทับเส้นประสาท การรักษาในปัจจุบัน หากความเสื่อมไม่มากนัก แพทย์จะให้ยา เพื่อช่วยปรับสภาพของกระดูกอ่อนผิวข้อ ชะลอความเสื่อมได้ แต่ในรายที่มีความเสื่อมของข้อกระดูกมากๆ การผ่าตัดถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด สำหรับการผ่าตัดทางออร์โธปิดิกส์ เป็นการผ่าตัดที่เกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใส่เข้าไปในตัวผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นการใส่โลหะดามกระดูกที่หักให้เข้าที่ การใส่สกรูยึดกระดูกสันหลัง หรือการใส่อุปกรณ์ทดแทน อาทิ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม
![]() |
ที่ผ่านมาแพทย์จะทำการผ่าตัดแบบมาตรฐานเพียงอย่างเดียว โดยอาศัยความชำนาญของแพทย์เป็นหลัก ซึ่งอาจเกิดการคลาดเคลื่อนระหว่างใส่ข้อเทียมได้ ทำให้ข้อไม่ตรงแนว ส่งผลให้ข้อกระดูกทรุดตัวได้ภายหลัง ทำให้อายุการใช้งานสั้นลง จากปกติการใส่ข้อเทียมควรมีอายุการใช้งานประมาณ 10-15 ปีอาจเหลือเพียง 7-8 ปีเท่านั้น ทั้งนี้ ปัจจุบันมีเทคโนโลยีช่วยเสริมการผ่าตัด ที่เรียกว่า คอมพิวเตอร์ช่วยในการผ่าตัดข้อ หรือคอมพิวเตอร์ระบบนำวิถี (Navigation system) เป็นระบบช่วยวางแผนในการผ่าตัดเปลี่ยนข้อกระดูก ช่วยในการกำหนดขนาดของข้อเสื่อมที่สมดุลกับกระดูกข้อจริง รวมถึงตำแหน่งในการวางจะมีความแม่นยำ เหมือนกับการวางแผนไว้ในฟิล์มเอ็กซเรย์ก่อนผ่าตัด ความคลาดเคลื่อนจะน้อยมาก
สำหรับขั้นตอนการผ่าตัดด้วยระบบนำวิถี แพทย์จะทำการติดตั้งอุปกรณ์รับส่งสัญญาณเข้ากับกระดูกของผู้ป่วยส่วนที่จะผ่าตัด เพื่อทำการส่งสัญญาณภาพไปยังจอคอมพิวเตอร์ด้วยระบบแสงอินฟราเรด หรือระบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยหรือแพทย์ผู้รักษา จากนั้นแพทย์จะทำการหาตำแหน่งของข้อที่ต้องการผ่าตัด และเมื่อได้ตำแหน่งที่เหมาะสม ระบบจะทำการสร้างภาพเสมือนจริงแบบ 3 มิติ ซึ่งแพทย์สามารถวางแผนการผ่าตัดหรือทดลองผ่าตัดบนจอคอมพิวเตอร์ก่อนการผ่าตัดจริง เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการผ่าตัดจริง สำหรับการผ่าตัดที่ใช้ระบบนำวิถีเป็นตัวเสริมจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 20 นาที ซึ่งนานกว่าการผ่าตัดแบบมาตรฐาน เนื่องจากระบบนี้ต้องใช้เวลาในการตรวจค่าความแม่นยำสูง ทั้งนี้ ข้อเสีย คือ มีค่าใช้จ่ายสูงประมาณกว่า 1 แสนบาท
ข้อดีของระบบนี้ ช่วยลดความผิดพลาดระหว่างการผ่าตัดได้ เพราะแพทย์สามารถดูรายละเอียดระหว่างการผ่าตัดบนจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งจากเดิมต้องใช้ตาเปล่าเท่านั้น การใช้ระบบนี้จึงเพิ่มความแม่นยำขึ้น เห็นได้จากที่ผ่านมาการเปลี่ยนข้อเข่าเทียมในผู้ป่วย พบว่า แนวการใส่ข้อเข่าเทียมตรงตามที่คาดไว้ ขณะที่การผ่าตัดที่ไม่ใช้ระบบดังกล่าว จะใส่ข้อเข่าเทียมออกนอกแนวเกือบร้อยละ 2
นอกจากนี้
ยังช่วยลดอันตรายจากการรับรังสีระหว่างผ่าตัด
โดยเฉพาะการผ่าตัดใส่โลหะดามกระดูก
ปกติแพทย์ต้องฉายรังสีเอ็กซเรย์จากเครื่อง Fluoroscope
หากรับรังสีในปริมาณมากและยาวนานย่อมส่งผลต่อร่างกายในระยะยาว
โดยเฉพาะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
และที่สำคัญต้องอาศัยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ
หากคำนวณมุมผ่าตัดคลาดเคลื่อน ย่อมทำให้การใส่ข้อเทียมคลาดเคลื่อนด้วย
ถือเป็นอีกทางเลือกในการนำเทคโนโลยีอันทันสมัยมาเป็นตัวช่วยในผู้ป่วยโรคกระดูกเสื่อม อยู่ที่ว่าผู้ป่วยจะสู้ราคาไหวหรือไม่...
ถือเป็นอีกทางเลือกในการนำเทคโนโลยีอันทันสมัยมาเป็นตัวช่วยในผู้ป่วยโรคกระดูกเสื่อม อยู่ที่ว่าผู้ป่วยจะสู้ราคาไหวหรือไม่...
ที่มา-
