ชาดก 500 ชาติ
อุทยชาดก ชาดกว่าด้วยบารมี 10 ทัศ
พระโอรสอุทัยภัทรและพระราชธิดาอุทัยภัทราครั้งหนึ่งเมื่อองค์พระศาสดาทรงเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ได้มีกุลบุตรชาวสาวัตถีผู้หนึ่ง เมื่อได้ถวายชีวิตในพระศาสนาแล้ว ก็มิได้ประพฤติปฏิบัติธรรมดั่งที่ได้ตั้งใจไว้ “จิตใจของเราช่างเป็นทุกข์ยิ่งนักไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา ก็เห็นแต่ภาพน้องนางเท่านั้น” เหตุแห่งความทุกข์ของภิกษุหนุ่มนี้คือการลุ่มหลงในกิเลสกามภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งไม่เป็นอันประพฤติปฏิบัติธรรมเพราะเฝ้าคิดถึงหญิงงามนางหนึ่ง“น้องนางช่างงามยิ่งนัก พิศไปทางใดก็ไม่เบื่อเลย เป็นบุญวาสนาของเรายิ่งนัก ที่ได้ประสบพบเจอนางนี้” ตั้งแต่วันนั้นที่ได้เจอกับหญิงงาม ภิกษุหนุ่มรูปนี้ก็ไม่สามารถทำจิตใจให้สงบได้เลย จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความลุ่มหลง คิดถึงแต่นางงาม จนร่างกายซูบผอม ผิวกายซีดเหลือง สีหน้าอมทุกข์เศร้าหมองตลอดเวลา “ความคิดถึงที่พี่มีนี้ มันช่างมากมายยิ่งนัก จะทำอย่างไรหนอ เราถึงจะละจากความทุกข์นี้ได้ ”ภิกษุหนุ่มเฝ้าคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่ตนได้เจอหญิงงามนางหนึ่งยิ่งนานวันเข้า ร่างกายของภิกษุหนุ่มรูปนี้ก็ทรุดโทรมลง ภิกษุอื่นๆ ที่พบเห็นก็แสดงความห่วงใย พาภิกษุหนุ่มไปเฝ้าองค์พระศาสดา เพื่อให้พระองค์ชี้ทางพ้นทุกข์“เมื่อท่านบรรพชาแล้ว เหตุใดถึงยังลุ่มหลงในกิเลสอยู่เล่า เพราะต้องการถอยห่างจากกิเลสเหล่านี้มิใช่หรือ ท่านถึงได้ตัดสินใจบรรพชานะ แล้วเหตุใด จึงกลับไปหามันอีกเล่า ไปเฝ้าองค์พระศาสดากันเถิด พระองค์จะทรงชี้นำทางสว่างให้กับท่าน”ภิกษุหนุ่มจมอยู่กับความทุกข์จนร่างกายซูบผอมเหล่าภิกษุทั้งหลาย ได้พาภิกษุหนุ่มรูปนั้นไปเฝ้าองค์พระศาสดา “ภิกษุหนุ่มรูปนี้ มีความทุกข์ใหญ่หลวงพระเจ้าค่ะ เขาหมดความสุขในเพศบรรพชิดแล้ว คิดจะสึกพระองค์ได้โปรดชี้ทางสว่างแก่เขาด้วยเถิด” “ดูก่อนภิกษุ เหตุไรเล่า เธอบรรพชาในพระศาสนา อันเป็นที่นำสัตว์ออกจากทุกข์ เห็นป่านนี้ ยังเป็นผู้เบื่อหน่ายด้วยอำนาจกิเลส แม้แต่บัณฑิตในปางก่อนเสวยราชสมบัติ ณสุรุนธนนคร มีบริเวณได้ 12 โยชน์ อันมั่งคั่งเพื่อนภิกษุได้ปลอบใจและเตือนสติภิกษุหนุ่มผู้ตกอยู่ความทุกข์ถึงจะอยู่รวมห้องกับหญิงผู้เทียบเท่านางเทพอัปสรตลอด 700 ปี ก็ยังมิได้ทำลายอินทรีย์ แลดูด้วยอำนาจความโลภเลย” ดังนี้แล้วจึงทรงนำอดีตนิทานดังต่อไปนี้ในอดีตกาลครั้งพระเจ้ากาสีเสวยราชสมบัติ ณ สุรุนธนนคร แคว้นกาสี แม้จะทรงอภิเษกมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีบุตรเลย แม้จะมีพระเทวีมากมาย แต่ก็ไม่มีใครเลยที่จะมอบบุตรให้แก่พระองค์ได้ “น้องนางทั้งหลาย พวกเธอจงพากันอธิษฐาน เพื่อปรารถนาบุตรเถิด เราอยากจะมีบุตรเพื่อสืบทอดราชสมบัติ”พระบรมศาสดาทรงตรัสเล่า อุทยชาดก แก่เหล่าบรรดาภิกษุทั้งหลาย“เพค่ะ หม่อมฉันจะทำตามรับสั่งของพระองค์” ครั้งนั้นพระบรมโพธิสัตว์จุติจากพรหมโลก มาถือปฏิสนธิในพระอุทรพระอัครมเหสีของพระราชา “เสด็จพี่เพค่ะหม่อมฉันตั้งครรภ์แล้วเพค่ะ หม่อมฉันจะให้กำเนิดพระโอรสแด่พระองค์เองเพค่ะ” เมื่อครบกำหนดตั้งครรภ์ อัครมเหสีได้ให้กำเนิดราชโอรส ดั่งพระประสงค์ของพระเจ้ากาสี ลำดับนั้นพระประยูรญาติทรงขนานพระนามพระราชกุมารนั้นว่า อุทัยภัทร เพราะทรงบังเกิดทำให้หทัยของมหาชนจำเริญพระเจ้ากาสีและพระมเหสี แห่งเมืองสุรุนธนนคร แคว้นกาสีวันเวลาผ่านไปเมื่อพระโอรสทรงย่างฝ่าพระบาทได้ สัตว์ผู้อื่นจุติจากพรหมโลกมาเป็นบังเกิดเป็นกุมาริกาในพระอุทรของเทวีของพระองค์ใดพระองค์หนึ่งของพระราชาพระองค์นั้น พระประยูรญาติทรงขนานพระนามพระราชกุมารีนั้นว่า อุทัยภัทรา “เอ ดีจริงๆ เลย นี่เรามีทั้งโอรส ราชธิดา ช่างน่ารักจริงๆ เลยลูกของพ่อ”พระราชกุมารทรงจำเริญวัย จบการศึกษาศิลปะศาสตร์ทั้งหมด พระองค์ทรงเป็นพรหมจารีโดยกำเนิด ไม่ทรงทราบเรื่องเมถุนธรรมพระราชโอรสอุทัยภัทร แห่งแคว้นกาสีแม้ด้วยความฝัน พระทัยของพระองค์มิได้พัวพันในกิเลสทั้งหลายเลย แต่ในด้านของผู้เป็นพระบิดานั้นเล่า กลับมีพระประสงค์จะให้พระราชโอรสอภิเษก “ลูกเอ๋ย บัดนี้เป็นการที่เสวยความสุขในราชสมบัติของลูก พ่อจะให้ราชสมบัติทั้งหมดแก่ลูก หากลูกนั้นได้ทำการอภิเษกกับหญิงที่คู่ควร” “เสด็จพ่อ หม่อมฉันมิได้มีความต้องการด้วยราชสมบัติเลย จิตของข้าพระองค์ มิได้พัวพันในกองกิเลสเลย หม่อมฉันไม่ได้ต้องการที่จะอภิเษกกับหญิงใด”พระราชธิดาอุทัยภัทรา แห่งแคว้นกาสีแม้พระโอรสอุทัยภัทรจะปฏิเสธพระประสงค์ของพระเจ้ากาสี แต่พระราชาก็มิได้สนใจแต่อย่างใด พระองค์ยังทรงตรัสเรื่องนี้กับพระโอรสหลายครั้ง เมื่อได้รับพระราชดำรัสบ่อยๆ เข้า พระโอรสอุทัยภัทรจึงให้ช่างสร้างรูปสตรีสำเร็จด้วยชมพูนุชอันเปล่งปลั่ง แล้วทรงส่งข่าวสารถวายพระราชบิดาและพระราชมารดาว่า ถ้าข้าพระองค์ได้พบเห็นผู้หญิงงามปานนี้ไซร้ ก็จักยอมเข้าพิธีอภิเษกและขอรับมอบราชสมบัติพระเจ้ากาสีได้ตรัสเรื่องการหาคู่ครองให้กับพระราชโอรสอุทัยภัทรพระราชบิดาและพระราชมารดาให้อำมาตย์พาเอารูปทองคำนั้นตระเวนไปทั่วชมพูทวีป แต่ก็ไม่พบเจอหญิงงามดังรูปปั้นทองคำนั้นเลย “โอ้ย แห่ไปรอบเมืองแล้ว ยังไม่เจอหญิงงามดังรูปปั้นทองคำนี่เลยสักคน เหนื่อยลมจะใส่” เมื่อไม่ได้ผู้หญิงงามเช่นนั้น พระเจ้ากาสีจึงตกแต่งพระนางอุทัยภัทราให้ประทับอยู่ในวังของพระราชกุมารนั้น ด้วยความงามของพระนาง ทรงข่มรูปทองคำนั้นเสียหมดสิ้น “เสด็จพ่อ ไม่น่าทรงทำเรื่องเช่นนี้เลย เราไม่ต้องการอภิเษกกับใคร”พระราชโอรสอุทัยภัทรทรงให้ช่างปั้นรูปหญิงงามด้วยทองชมพูนุชครั้งนั้นพระราชบิดาและพระราชมารดา ทรงอภิเษกพระโอรสอุทัยภัทรกับน้องนางต่างพระมารดาอุทัยภัทราราชกุมารีให้เป็นพระมเหสี ทั้งๆ ที่พระราชกุมารและพระราชกุมารีทั้งสองพระองค์นั้นมิได้ปรารถนาเลย และทั้งสองพระองค์นั้นก็ทรงประทับอยู่ด้วยกัน อยู่อย่างประพฤติพรหมจรรย์ ครั้นกาลต่อมาพระราชบิดาและพระราชมารดาล่วงลับไป พระโพธิ์สัตว์จึงครอบครองราชย์สมบัติ แม้ทั้งสองพระองค์จะประทับร่วมห้องกัน ก็มิได้ทรงทำร้ายอินทรีย์ทอดพระเนตรกันด้วยอำนาจความโลภเลย ก็แต่ว่าทรงกระทำข้อผูกพันกัน
เหล่าอำมาตย์พากันแห่รูปปั้นหญิงงามไปทั่วเมืองเพื่อตามหาหญิงงามที่เหมือนกับรูปปั้น“สัญญากับหม่อมฉันนะเพค่ะ ว่าเราทั้งสอง หากผู้ใดสิ้นพระชนม์ไปก่อน ผู้นั้นต้องมาจากภพที่เกิด เพื่อบอกเล่าให้อีกฝ่ายรับรู้นะเพค่ะ” “ได้สิ น้องหญิง” ว่ากันว่าในสมัยนั้นผู้คนมีอายุได้เป็นหมื่นๆ ปี เมื่อเวลาล่วงไป 700 ปี นับเวลาที่ได้อภิเษก พระโอรสอุทัยภัทรก็ได้สวรรคต พระนางอุทัยภัทราก็มิทรงมีพระประสงค์จะอภิเษกกับผู้ใดอีก พระนางเพียงพระองค์เดียวทรงสำเร็จราชการแทนหมู่อำมาตย์ ร่วมกันปกครองราชสมบัติ ฝ่ายพระโพธิสัตว์เจ้านั้น เมื่อสวรรคตแล้ว ก็มาบังเกิดเป็นท้าวสักกะในดาวดึงส์พิภพพระราชธิดาอุทัยภัทราทรงมีความงดงามยิ่งกว่ารูปปั้นทองชมพูนุชแต่เพราะทรงมียศใหญ่ยิ่ง ไม่ทรงมีเวลาที่จะคิดถึงเรื่องเดิมได้ตลอด 7 วันในสวรรค์ ดังนั้นอันล่วงไปถึง 700 ปีมนุษย์ท้าวสักกะจึงทรงระลึกได้ “ดีล่ะ เราจะรักษาสัญญาที่ได้ให้กับอุทัยภัทรา เราจักทดลองนางด้วยทรัพย์แล้วจักเปล่งสีหนาทแสดงธรรม เปลื้องข้อผูกพันแล้วจึงจะกลับมา” คืนวันนั้นเองเมื่อราชบุรุษปิดทวารแล้ว พระราชธิดาทรงประทับอยู่เพียงพระองค์เดียว พระนางทรงประทับนั่งมิได้ไหวติง ด้วยทรงนึกถึงศีลของพระองค์อยู่ในห้องพระบรรทม ณ พื้นชั้นสูงสุดแห่งพระมหาปราสาทเจ็ดชั้นครั้งนั้นท้าวสักกะเทวราชทรงถือเอาถาดทองคำหนึ่งใบ บรรจุเหรียญมาสกทองคำจนเต็ม ไปปรากฏพระกายภายในห้องพระบรรทม ประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่งพระเจ้ากาสีทรงทำการอภิเษกพระราชโอรสอุทัยภัทรและพระราชธิดาอุทัยภัทรา“ดูกร พระนางผู้มีพระวรกายงามหาที่ติไม่ได้ เหตุใดพระนางถึงเสด็จขึ้นสู่ปราสาทประทับนั่งอยู่พระองค์เดียว หม่อมฉันขอวิงวอนพระนางให้เราทั้งสองอยู่ร่วมกันตลอดคืนหนึ่งนี้”“นครนี้มีคูรายรอบ มีป้อมแลซุ้มประตูมั่นคง มีหมู่ทหารถือกระบี่รักษา ยากที่ใครๆ จะเข้าได้ ทหารของนักรบหนุ่มก็ไม่มีมาเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านปรารถนามาพบเราด้วยเหตุอะไร”“หม่อมฉันเป็นเทพบุตร มาในตำหนักของพระนาง เชิญพระนางชื่นชมกับหม่อมฉันเถิด หม่อมฉันจะถวายถาดทอง อันเต็มไปด้วยเหรียญทองให้”พระราชโอรสอุทัยภัทรและพระราชธิดาอุทัยภัทราประทับอยู่ด้วยกันแต่ต่างก็ประพฤติพรหมจรรย์“เราไม่สามารถทำตามพระประสงค์ของท่านได้หรอก นอกจากเจ้าชายอุทัยแล้ว เราไม่พึงปรารถนา เทวดา ยักษ์ หรือมนุษย์ผู้อื่นเลย ดูกรเทพบุตรผู้มีอานุภาพมาก ท่านจงไปเสียเถิดอย่ากลับมาอีกเลย” ท้าวสักกะทรงสดับพระสุรสีหนาทของพระนางแล้วก็ได้หายวับไปตรงนั้นนั้นเอง รุ่งขึ้นในเวลาเดิมท้าวสักกะก็เสด็จเข้ามาในห้องบรรทมของพระนางอุทัยภัทราอีกเช่นเคย ครั้งนี้พระองค์ทรงถือถาดเงินเต็มเปี่ยมด้วยเหรียญมาสกทองคำมา “ความยินดีอันใดเป็นที่สุดของผู้บริโภคกาม สัตว์ทั้งหลายประพฤติไม่สมควร เพราะเหตุแห่งความยินดีอันใดพระนางอย่าพลาดความยินดีในทางอันสะอาดของพระนางนั้นเลย
พระนางอุทัยภัทราทรงปกครองบ้านเมืองหลังจากที่พระเจ้าอุทัยภัทรสิ้นพระชนม์หม่อมฉันขอถวายถาดเงินอันเต็มไปด้วยเหรียญเงินแด่พระนาง” พระราชธิดาทรงพระดำริว่า เทพบุตรนี้หากพระนางสนทนาปราศรัยด้วยก็คงมาบ่อยๆ คราวนี้พระนางอุทัยภัทราจึงทรงนิ่งเฉยไม่ได้ตรัสคำอะไรเลย ท้าวสักกะเทวราชทรงทราบความที่พระนางไม่ตรัสก็เลยหายวับไปตรงที่นั้นนั่นเอง วันรุ่งขึ้นพอถึงเวลานั้น ท้าวสักกะก็เสด็จเข้ามาในห้องบรรทมของพระนางอุทัยภัทราอีก พร้อมถือถาดโลหะเต็มไปด้วยเหรียญกษาปณ์มา “พระนางผู้ทรงพระเจริญ เชิญพระนางโปรดปรนเปรอหม่อมฉันด้วยความยินดีในกามเถิดหม่อมฉันจะถวายถาดโลหะเต็มไปด้วยเหรียญกษาปณ์แด่พระนาง”พระเจ้าอุทัยภัทรได้ไปบังเกิดเป็นท้าวสักกะ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์“ธรรมดา ชายหมายจะให้หญิงเอออวยด้วยทรัพย์ ย่อมประมูลราคาขึ้นจนให้พอใจ แต่ของท่านตรงกันข้าม ท่านประมูลราคาโดยลดลงดั่งที่เห็นประจักษ์อยู่ ” “ดูกรพระนางราชกุมารีผู้ทรงพระเจริญ หม่อมฉันเป็นพ่อค้าผู้ฉลาด ย่อมไม่ยังประโยชน์ให้เสื่อมเสียไปโดยไร้ประโยชน์ ถ้าพระนางพึงจำเริญด้วยพระชนมายุหรือพระฉวีวรรณไซร้ หม่อมฉันก็พึงนพบรรณาการมาเพิ่มแด่พระนาง แต่พระนางจะเสื่อมไปถ่ายเดียว เหตุนั้นหม่อมฉันจำต้องลดจำนวนทรัพย์ลง อายุและวรรณะในหมู่มนุษย์โลกย่อมเสื่อมลง วันนี้พระนางชราลงกว่าวันวาน เมื่อหม่อมฉันกำลังเพ่งมองอยู่อย่างนี้
ท้าวสักกะนำเหรียญมาสกทองคำมาหาพระนางอุทัยภัทราในห้องบรรทมของพระนางพระฉวีวรรณของพระนางย่อมเสื่อมไป เพราะวันคืนล่วงๆ ไป เพราะเหตุนั้น พระนางพึงประพฤติพรหมจรรย์เสียวันนี้ทีเดียวจะได้มีพระฉวีวรรณงดงามยิ่งขึ้นอีก” “หากเป็นเช่นนั้น
แล้วเทวดาทั้งหลายไม่แก่เหมือนมนุษย์หรือ เส้นเอ็นในร่างกายของเทวดาเหล่านั้นไม่มีหรือ ดูกรเทพบุตร เราขอถามท่านผู้มีอานุภาพมาก ร่างกายของเทวดาเป็นอย่างไร”
“เทวดาทั้งหลายไม่แก่เหมือนมนุษย์เส้นเอ็นในร่างกายของเทวดาเหล่านั้น ไม่มีฉวีวรรณอันเป็นทิพย์ของเทวดาเหล่านั้น ผุดผ่องยิ่งขึ้นทุกวัน และโภคสมบัติก็ไพบูลย์ขึ้น”พระนางอุทัยภัทราไม่สนใจในคำขอร้องและวิงวอนของท้าวสักกะ“หมู่ชนเป็นอันมากในโลกนี้ กลัวอะไรเล่าจึงไม่ไปเทวโลกกัน ก็หนทางไปเทวโลก บัญฑิตทั้งหลายกล่าวไว้หลายด้าน ดูกรเทพบุตรผู้มีอานุภาพมาก เราขอถามท่านว่า บุคคล
ตั้งอยู่ในหนทางไหนจึงจะไม่กลัวปรโลก” “บุคคลผู้ตั้งวาจาและใจไว้โดยชอบ ไม่กระทำบาปด้วยกาย อยู่ครองเรือนอันมีข้าวและน้ำมาก เป็นผู้มีศรัทธา อ่อนโยน จำแนกแจกทาน
รู้ความประสงค์ ชอบสงเคราะห์ มีถ้อยคำกลมกล่อมอ่อนหวาน ผู้ตั้งอยู่ในคุณธรรมดังกล่าวมานี้ ไม่พึงกลัวปรโลก” “ข้าแต่เทพบุตร ท่านพร่ำสอนเรา เหมือนมารดาบิดา แล้วท่าน
เป็นใครกันล่ะ” “เราเป็นพระเจ้าอุทัย มาในที่นี้ เพื่อต้องการจะเปลื้องข้อผูกพัน เราบอกพระนางแล้ว จะขอลาไป เราพ้นจากข้อผูกพันของพระนางแล้ว”พระนางอุทัยภัทราได้ทรงสอบถามปัญหาต่อท้าวสักกะ“ทูลกระหม่อม พระองค์คือพระเจ้าอุทัยภัทร ดังนี้หม่อมฉันไม่สามารถจะอยู่ห่างพระองค์ได้ โปรดทรงพร่ำสอนหม่อมฉัน ด้วยวิธีที่เราทั้งสองจะได้พบกันอีกไหมเถิดเพค่ะ” “วัยล่วงไปเร็วยิ่งนัก
ความตั้งอยู่อย่างยั่งยืนก็ไม่มี สัตว์ทั้งหลายย่อมจุติไปแน่แท้ สรีระไม่ยั่งยืน ย่อมเสื่อมถอย พระนางอุทัย เธออย่าประมาท จงประพฤติธรรม พื้นแผ่นดินทั้งสิ้นเต็มไปด้วยทรัพย์ ถ้าพึงเป็นของ
ของพระราชาพระองค์เดียว ไม่มีผู้อื่นครอบครอง ถึงกระนั้นผู้ที่ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ก็ต้องทิ้งสมบัตินั้น จงประพฤติธรรม มารดาบิดา พี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว ภรรยาและสามีพระนางอุทัยภัทราทรงสละราชสมบัติและทรงผนวชเป็นฤาษินีพร้อมทั้งทรัพย์แม้เขาเหล่านั้น ต่างก็จะละทิ้งกันไป ร่างกายเป็นอาหารของสัตว์อื่นๆ พึงทราบว่า สุคติและทุคติในสงสารเป็นที่พักชั่วคราว เธออย่าประมาท จงประพฤติธรรม” “เทพบุตร
พูดดีจริงชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย น้อยใหญ่มีทั้งลำเค็ญ ประกอบไปด้วยทุกข์ หม่อมฉันจะสละสุรุนธนนคร แคว้นกาสีแล้วก็ออกบวชอยู่ลำพังผู้เดียวเพค่ะ” พระโพธิสัตว์เจ้าประธานพระโอวาท
แด่พระนางแล้ว เสด็จไปสู่ที่อยู่ของพระองค์ตามเดิม ฝ่ายพระนางอุทัยภัทรา พอรุ่งขึ้นก็ทรงมอบราชสมบัติให้พวกอำมาตย์รับไว้ ตนผนวชเป็นฤาษินีในราชอุทยานอันน่ารื่นรมณ์ภายใน
พระนครนั้นเอง ทรงประพฤติธรรม ในที่สุดประชนมายุก็บังเกิดบาทบริจาริกาของพระโพธิสัตว์เจ้าในดาวดึงส์พิภพ
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้เบื่อหน่ายได้ดำรงอยู่ในโสดาปัติติผล ทรงประชุมชาดกว่าพระราชธิดาในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระมารดาของ พระราหุลท้าวสักกะเทวราช ทรงเสวยพระชาติเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
[[videodmc==50898]]
[[videodmc==50898]]
[[videodmc==50898]]