ทุททุภายชาดก ชาดกว่าด้วยกระต่ายตื่นตูม

เจ้ากระต่ายตัวหนึ่งมีความคิดที่ว่าหากแผ่นดินเกิดถล่มขึ้นมาตนควรจะทำอย่างไรดี จู่ ๆ ผลมะตูมลูกหนึ่งก็หล่นจากต้นตกใส่บนหลังคาใบตาลอันเป็นรังของเจ้ากระต่ายเข้าเต็มเปา เสียงดังจากการตกกระทบบวกกับความคิดจดจ่อของมันสร้างความตื่นตระหนกตกใจให้กับเจ้ากระต่ายเป็นยิ่งนัก มันเลยวิ่งหนีสุดชีวิต ทำให้บรรดาสัตว์ป่าทั้งหลายแตกตื่นพากันวิ่งตามๆ กันไปจนเกือบจะตกจากหน้าผาที่สูงชัน https://dmc.tv/a28365

บทความธรรมะ Dhamma Articles > นิทานชาดก 500 ชาติ
[ 11 ก.ค. 2565 ] - [ ผู้อ่าน : 18275 ]

ชาดก 500 ชาติ

ทุททุภายชาดก-ชาดกว่าด้วยกระต่ายตื่นตูม

ณ ชมพูทวีปในช่วงที่มีการเผยแผ่<a href=http://www.dmc.tv/search/พระพุทธศาสนา title='พระพุทธศาสนา' target=_blank><font color=#333333>พระพุทธศาสนา</font></a>ไปทั่วแว่นแคว้น

ณ ชมพูทวีปในช่วงที่มีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วแว่นแคว้น
  
       ในพุทธกาลสมัย ครั้นเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์พระบรมศาสดาแห่งพระพุทธศาสนาเผยแพร่พระธรรมคำสอนขจรขจายไกล ทั่วแว่นแคว้น
ในชมพูทวีปนั้น เหล่าสาวกต่างอยู่ร่วมกันอย่างสงบร่มเย็นภายใต้คำสอนขององค์พระบรมศาสดา

เหล่าสาวกต่างอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา
 
เหล่าสาวกต่างอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา
      
       แต่ในกาลนั้นได้มีกลุ่มเดียรถีย์กลุ่มหนึ่งประพฤติตนนอกรีดนอกรอย พำนักอยู่ใกล้ๆ กับพระตำหนักเชตวันมหาวิหาร เดียรถีย์กลุ่มนี้บ้างก็นอนบนหนาม
บ้างก็ทนความร้อนอยู่ในกองไฟ ทุกรกิริยาของเดียรถีย์เหล่านี้ได้อยู่ในสายตาของพระภิกษุที่ออกบิณฑบาตไปมาทั้งสิ้น
 

เดียรถีย์กลุ่มหนึ่งได้พากันบำเพ็ญมิจฉาตบะอยู่ใกล้ๆ กับพระเชตวัน
 
เดียรถีย์กลุ่มหนึ่งได้พากันบำเพ็ญมิจฉาตบะอยู่ใกล้ๆ กับพระเชตวัน
 
       “ หึหึ นอนบนหนามอย่างนี้แหละตบะแก่กล้าใครทำได้คนนั้นสิยอดคน ” “ เฮ้ย ต้องลุยกองไฟอย่างข้าต่างหากถึงจะเจ๋ง ท่านทำได้อย่างข้าหรือเปล่า ”
“ โหย พวกเดียรถีย์ทั้งหลายนั้น ประพฤติมิจฉาตบะเยี่ยงนั้นเพื่อกระไรกันแน่ ” “ มันต้องมีอะไรพิเศษแน่ ๆ พวกเดียรถีย์เหล่านี้ถึงได้ประพฤติ
เยี่ยงนั้นอยู่เป็นนิจ ”

เดียรถีย์บางคนก็ลุยไฟเพื่อฝึกให้ทนกับความร้อน
 
เดียรถีย์บางคนก็ลุยไฟเพื่อฝึกให้ทนกับความร้อน
 
       ความสงสัยนั้นทำให้เหล่าภิกษุที่ผ่านไปพบเห็นการกระทำของเดียรถีย์ต่างพากันหยิบยกมาคุยโจทย์จันไปทั่วมหาวิหาร ครั้นองค์พระศาสดา
ทรงทราบถึงเรื่องราวก็ทรงตรัสถามถึง “ ดูก่อนภิกษุผู้เป็นสาวกแห่งเรา เธอทั้งหลายได้พานพบกับสิ่งใดกันมาหรือ ”

เหล่าภิกษุต่างพากันพูดถึงการกระทำมิจฉาตบะของกลุ่มเดียรถีย์
 
เหล่าภิกษุต่างพากันพูดถึงการกระทำมิจฉาตบะของกลุ่มเดียรถีย์
        
        “ เรื่องก็เป็นอย่างนี้แหละพระเจ้าค่ะ พวกข้าพระองค์เห็นเดียรถีย์กลุ่มหนึ่งมาประพฤติมิจฉาตบะทั้งนอนบนหนามทั้งทนความร้อน อยู่ใกล้ๆ กับ
พระเชตวันมหาวิหารแห่งนี้ พวกเราก็เลยสงสัยกันว่าสาระแก่นสารในการสมาทานวัตรของเดียรถีย์เหล่านั้นมีอยู่ด้วยหรือพระเจ้าค่ะ ”
 
 
เหล่าภิกษุได้พากันกราบทูลเรื่องของเดียรถีย์เกี่ยวกับการประพฤติมิจฉาตบะ
 
เหล่าภิกษุได้พากันกราบทูลเรื่องของเดียรถีย์เกี่ยวกับการประพฤติมิจฉาตบะ
 
       “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายแก่นสารสาระหรือความวิเศษในการสมาทานของเหล่าเดียรถีย์เหล่านั้นย่อมไม่มีเลย เปรียบแล้วก็เสมือนกระต่ายตื่นตูม
ที่กลัวเสียงกึกก้องนั้นเอง ” “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ทั้งหลายใคร่สงสัยว่าการที่เหมือนกับกระต่ายตื่นตูมนั้นเป็นเช่นไร
ขอพระองค์ทรงสาทกแก่พวกข้าพระองค์เป็นบุญด้วยเถิดพระเจ้าข้า ”
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอธิบายการกระทำของกลุ่มเดียรถีย์ว่าเปรียบดังกระต่ายตื่นตูม
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอธิบายการกระทำของกลุ่มเดียรถีย์ว่าเปรียบดังกระต่ายตื่นตูม
 
        ดังนั้นพระบรมศาสดาจึงทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณนำทุททุภายชาดกมาสาทกแก่เหล่าภิกษุทั้งหลายดังนี้ ในอดีตกาล
ณ เมืองพาราณสี นครแห่งพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้เปี่ยมด้วยทศพิศราชธรรมปกครองดินแดนอย่างผาสุก
เป็นอย่างดีและในป่าใกล้ ๆ พระนคร มีราชสีห์ตัวหนึ่งพำนักครองตนเป็นเจ้าป่าแห่งนั้น

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเล่า ทุททุภายชาดก แก่เหล่าภิกษุทั้งหลาย
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเล่า ทุททุภายชาดก แก่เหล่าภิกษุทั้งหลาย
     
        ใกล้ป่านั้นเองมีดงตาลปะปนอยู่กับดงมะตูมและในดงตาลนั้นก็มีกระต่ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่ภายใต้กอตาลกอหนึ่งใกล้ ๆ กับโคนต้นมะตูม
“ อากาศสดชื่นดีจริง ๆ กระต่ายอย่างเราจะมีอะไรทำนอกจากนอนให้เปรมปรีดิ์ ” กิจวัตรประจำวันของกระต่ายนั้นก็คือการออกหาอาหาร
แล้วก็กลับมานอนพักที่ใต้ต้นตาลของมัน
 
เมืองพาราณสีภายใต้การปกครองของพระเจ้าพรหมทัต
 
เมืองพาราณสีภายใต้การปกครองของพระเจ้าพรหมทัต
 
           วันหนึ่งหลังจากที่มันกินอาหารอย่างอิ่มหนำสำราญแล้วก็บังเกิดความคิดแปลกๆ ขึ้นมา “ เอ้ ถ้าวันหนึ่งป่าที่เราอยู่อย่างสงบเงียบแห่งนี้
เกิดอาเพศแผ่นดินถล่มฟ้าทะลายขึ้นมาเราจะทำยังไงดีละเนี่ย เอ้ พูดแล้วมันก็น่าคิดนะเนี่ย น่ากลัวอยู่เหมือนกันแฮะ ” ยังไม่ทันที่ความคิด
จะจางหายไปจู่ ๆ ผลมะตูมลูกหนึ่งก็หล่นจากต้นตกใส่บนหลังคาใบตาลอันเป็นรังของเจ้ากระต่ายเข้าเต็มเปา
 
ราชสีห์ตัวหนึ่งได้อาศัยอยู่ในป่าใกล้ๆ เมืองพาราณสี
 
ราชสีห์ตัวหนึ่งได้อาศัยอยู่ในป่าใกล้ๆ เมืองพาราณสี
 
          เสียงดังจากการตกกระทบบวกกับความคิดจดจ่อของมันสร้างความตื่นตระหนกตกใจให้กับเจ้ากระต่ายเป็นยิ่งนัก “ แผ่นดินถล่มจริง ๆ หรือนี่
แย่แล้ว ๆ เผ่นดีกว่าเรา ” เสียงเจ้ากระต่ายตื่นตูมร้องระงมไปทั่วสร้างความฉงนแก่เหล่ากระต่ายตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในละแวงเดียวกัน

มีกระต่ายตัวหนึ่งอาศัยภายดงตาลซึ่งมีต้นมะตูมปะปนอยู่ด้วย
 
มีกระต่ายตัวหนึ่งอาศัยภายดงตาลซึ่งมีต้นมะตูมปะปนอยู่ด้วย
  
          “ อ้าว นั่นมันจะวิ่งไปไหนละนั่น เกิดคึกอะไรขึ้นมานี่ วิ่งตามไปบ้างดีกว่า ต้องถามให้รู้ว่ามันวิ่งหน้าตาตื่นไปทำไม ตามไปก่อนค่อยถามทีหลังแล้วกัน
” เมื่อวิ่งตามกระต่ายตัวแรกทันกระต่ายตัวนั้นจึงเอ่ยปากถามด้วยความสงสัยถึงสาเหตุที่กระต่ายขี้ตกใจตัวนั้นต้องวิ่งหนีสุดชีวิต “ นี่ นี่ นี่ ตกลงเจ้าจะบอกข้า
ได้หรือยังว่าวิ่งหนีอะไรมานี่ หน้าตาแตกตื่นจริงๆ ”

มะตูมผลหนึ่งได้ตกลงใกล้ๆ กับรังของกระต่าย    

มะตูมผลหนึ่งได้ตกลงใกล้ๆ กับรังของกระต่าย
 
          “ นี่เจ้าไม่ได้ยินเสียงแผ่นดินไหวเหรอ แผ่นดินจะถล่มอยู่รอมร่ออยู่แล้วอย่ามัวแต่ถามเลย วิ่งให้สุดชีวิตกันเถอะ ไม่งั้นจะพาตายกันหมดนะเจ้า ”
“ เฮ้ย จริงดิ งั้นรอช้าอยู่ทำไม ข้าไปก่อนละนะ ” “ เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย รอข้าด้วย ” 
เหตุการณ์โกลาหลไปกันใหญ่ไม่เพียงแค่กระต่ายสองตัวเท่านั้น
ที่ต่างวิ่งหนีกันไม่คิดชีวิต แม้แต่กระต่ายตัวอื่น ๆ
 
เสียงตกของผลมะตูมทำให้เจ้ากระต่ายตกใจรีบวิ่งหนีจากรังของมันทันที
 
เสียงตกของผลมะตูมทำให้เจ้ากระต่ายตกใจรีบวิ่งหนีจากรังของมันทันที
 
      อีกนับร้อยนับพันตัวทั่วป่าก็ต่างพากันวิ่งหนีเตลิดตามกันมาเป็นพรวนเพียงเพราะเห็นกระต่ายที่ตกใจกลัวตัวนั้นวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ทุกตัวก็วิ่งตาม ๆ
กันมาโดยไม่ถามถึงสาเหตุ ด้านสัตว์อื่น ๆ ในป่าเมื่อเห็นฝูงกระต่ายนับพันวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตก็ต่างพากันออกวิ่งตามฝูงกระต่ายไปโดยไม่ยอมถามไถ่
ใด ๆ ทั้งสิ้น “ เฮ้ย นั้นฝูงกระต่ายมันหนีอะไรของมัน
 
ฝูงกระต่ายทั้งหลายต่างพากันตกใจกับการวิ่งหนีสุดชีวิตของเพื่อนกระต่าย
 
ฝูงกระต่ายทั้งหลายต่างพากันตกใจกับการวิ่งหนีสุดชีวิตของเพื่อนกระต่าย
       
        ไม่ได้การแล้วอย่างนี้มันต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลแน่ ๆ ไปมั่งดีกว่า เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย พวกกวางทั้งหลายตามเจ้ากระต่ายไปเร็ว ๆ เข้า ” “ อ้าวตัวอื่น
วิ่งกันไปหมดแล้ว หมูอย่างเราจะอยู่ทำไมละเนี่ย ไปกันมั่งดีกว่า เฮ้ย เจ้ากวางเอ้ย รอข้าด้วย ” “ อ้าว ไม่บอกกันบ้างเลยพวกเจ้านี่ รอข้าด้วย รอข้าด้วย
ข้าขอไปด้วยคน รอด้วย ” “ วิ่งกันป่าราบขนาดนี้อย่ามัวแต่เลมหญ้าสิพวกเรา ไปกับเขาบ้างดีกว่า เร็ว เร็วเข้า ไปกันเถอะ

 

กระต่ายทุกตัวก็ต่างพากันวิ่งตามเจ้ากระต่ายตื่นตูมไปทันทีโดยไม่ได้ถามถึงสาเหตุ
 
กระต่ายทุกตัวก็ต่างพากันวิ่งตามเจ้ากระต่ายตื่นตูมไปทันทีโดยไม่ได้ถามถึงสาเหตุ
 
        ฝูงวัวทั้งหลายรีบหนีกันเร็วเข้า ” “ ฝูงสัตว์ วิ่งกันหน้าตาตื่นอย่างนี้ต้องมีเหตุร้ายแน่ ๆ เลย ไปมั่งดีกว่า เอ้า เฮ้ย หลบหน่อย หลบหน่อย ใครไม่เกี่ยวถอยไป
แรดจะวิ่งแล้วนะ ” “ เล่นหนีหมดป่าอย่างนี้เราจะอยู่ทำไม อยู่ไปก็ไม่มีตัวอะไรให้กิน ชะรอยต้องตาม ๆ กันไปแล้วสิเรา ” “ โอ้ย รอข้าด้วย ข้าตัวใหญ่วิ่งตาม
ไม่ทันหรอก รอข้าด้วยข้ากลัว เอ้ ว่าแต่กลัวอะไร ไม่รู้ล่ะวิ่งไว้ก่อนดีกว่า รอข้าด้วย รอข้าด้วยข้ากลัว ”
 
 
บรรดาสัตว์นานาชนิดต่างตื่นตกใจและสงสัยกับการวิ่งอย่างสุดชีวิตของฝูงกระต่าย
 
           เมื่อบรรดาสัตว์ทั้งหลายวิ่งตามมากันทันจึงทราบว่าที่ต้องออกวิ่งหนีกันสุดชีวิตนั้นเหตุเพราะกำลังจะเกิดแผ่นดินถล่มทุกชีวิตในป่าจึงต้องรีบหนี
เพื่อรักษาตัวรอดยิ่งสร้างความตื่นตระหนกตกใจ พากันแตกตื่นกันยกใหญ่ “ เฮ้อ เฮ้อ เจ้ากระต่ายพวกเจ้าพากันวิ่งทำไมเนี่ย พวกข้าก็พลอยวิ่งตาม
เหนื่อยเป็นหมาหอบแดกเชียว เฮ้ย ไม่ใช่สิกลายเป็นกวางหอบแดกถึงจะถูก ”
 
บรรดาสัตว์ทั้งหลายต่างแตกตื่นและพากันวิ่งตามเจ้ากระต่ายไปในทิศทางเดียวกัน
 
บรรดาสัตว์ทั้งหลายต่างแตกตื่นและพากันวิ่งตามเจ้ากระต่ายไปในทิศทางเดียวกัน

         “ ที่ข้าวิ่งไม่คิดชีวิตเนี่ยก็เพราะแผ่นดินกำลังจะถล่มนะสิ ” “ หะ อะไรนะ แผ่นดินกำลังจะถล่มเหรอ ” ป่าทั้งป่าสะเทือนด้วยฝีเท้าของบรรดาสัตว์น้อยใหญ่
ฝ่ายราชสีห์นั้นเล่าด้วยความที่มีจิตใจสงบเยือกเย็นจึงไม่แตกตื่นตามฝูงสัตว์เหล่านั้น จึงออกปากถามฝูงสัตว์ที่วิ่งแตกตื่น “ ช้าก่อนพวกท่านทั้งหลาย
นี่พวกท่านวิ่งหนีสิ่งใดกันมารึ ” “ ปัดโธ่ ท่านราชสีห์ท่านมัวไปอยู่ที่ไหนมา นี่แผ่นดินกำลังจะถล่มอยู่แล้ว

ราชสีห์เกิดความสงสัยที่บรรดาสัตว์ทั้งหลายพากันวิ่งหนีอย่างแตกตื่น
 
ราชสีห์เกิดความสงสัยที่บรรดาสัตว์ทั้งหลายพากันวิ่งหนีอย่างแตกตื่น

        ท่านไม่รู้เรื่องบ้างเลยหรือไง รีบ ๆ หนีเถอะไปไม่มีเวลามาคุยแล้วเดี๋ยวจะไม่ทันกาล ” ราชสีห์เมื่อได้ยินดังนั้นแทนที่จะออกวิ่งตามฝูงสัตว์เหล่านั้นไป
แต่กลับยืนสงบครุ่นคิดพิจารณาถึงเหตุผลความน่าจะเป็นด้วยเหตุและผล “ อืม ตามธรรมดาแล้วนี่เหตุการณ์แผ่นดินถล่มนี้ไม่เคยปรากฎมาก่อนนี่น่า
มันจะเป็นไปได้ยังไงเราเองก็ยังไม่รู้สึกอะไรซะหน่อย เอ้ ดูท่าพวกสัตว์เหล่านี้จะต้องไปเจออะไรที่ทำให้เข้าใจผิดเลยพากันแตกตื่นกันไปยกใหญ่เป็นแน่

สัตว์ทั้งหลายได้ตอบราชสีห์ไปว่าแผ่นดินกำลังจะถล่มพวกตนจึงพากันวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุด

สัตว์ทั้งหลายได้ตอบราชสีห์ไปว่าแผ่นดินกำลังจะถล่มพวกตนจึงพากันวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุด
 
        ขืนเราไม่ช่วยเรียกสติพวกนี้คืนมา ไม่เช่นนั้นหากวิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือคงจะพลัดตกหน้าผาตายกันทั้งฝูงเป็นแน่แท้ เห็นที่เราต้องทำอะไรสักอย่าง
เรียกสติพวกนั้นหน่อยแล้ว ” เมื่อคิดได้ดังนั้นราชสีห์จึงออกวิ่งสุดฝีเท้า หากแต่ไม่ได้วิ่งตามฝูงสัตว์เหล่านั้นแต่ราชสีห์กลับวิ่งอ้อมไปดักที่หน้าผา
ซึ่งเป็นทางที่เหล่าฝูงสัตว์กำลังวิ่งมุ่งหน้าไป “ เราต้องรีบวิ่งไปไปดักฝูงสัตว์พวกนั้นไว้ ขืนปล่อยไว้อย่างนี้พวกนั้นได้แต่วิ่งจนตกหน้าผาตาย
กันหมดแน่ ๆ ”


ราชสีห์คิดว่าเหตุการณ์แผ่นดินถล่มไม่น่าจะเกิดอย่างที่ฝูงสัตว์นั้นได้บอกเล่าตน
 
ราชสีห์คิดว่าเหตุการณ์แผ่นดินถล่มไม่น่าจะเกิดอย่างที่ฝูงสัตว์นั้นได้บอกเล่าตน
 
      ราชสีห์ออกวิ่งด้วยพละกำลังทั้งหมดที่ตัวเองมีหมายจะไปให้ถึงที่หน้าผาก่อนฝูงสัตว์ให้จงได้ ในที่สุดราชสีห์ก็มาถึงหน้าผาก่อนฝูงสัตว์ สร้างความ
งุนงงให้กับฝูงสัตว์ที่เห็นราชสีห์มาขวางทางหนีของพวกตนเอาไว้ “ ท่านราชสีห์จะมาขวางพวกเราทำไมเนี่ยแผ่นดินจะถล่มอยู่แล้วรีบหลบไปเร็ว ”
“ ใช่ ใช่ ใช่ รีบหลบไปเร็วซิท่านเดี๋ยวก็ตายกันหมดป่าหรอก ยิ่งรีบ ๆ อยู่ ยืนอยู่ได้ เกะกะ ” ราชสีห์ไม่ตอบใด ๆ แต่กลับยื่นอกกู่ก้องคำราม
 
ราชสีห์วิ่งสุดกำลังไปยังหน้าผาเพราะเกรงว่าฝูงสัตว์ที่วิ่งมาจะพากันพลัดตกลงไป
 
ราชสีห์วิ่งสุดกำลังไปยังหน้าผาเพราะเกรงว่าฝูงสัตว์ที่วิ่งมาจะพากันพลัดตกลงไป
 
        ด้วยความองอาจติดต่อกันถึงสามครั้ง เสียงคำรามอันทรงพลังดังกึกก้องไปทั่วทั้งป่าเปรียบได้ดังมนต์สะกดให้เหล่าฝูงสัตว์หยุดนิ่งไม่มีตัวใดกล้าไหวติง
ความโกลาหลจึงสงบลง “ อะไรเนี่ยพ่อราชสีห์เล่นซะตกอกตกใจหมดเลย คำรามทำไมล่ะพ่อราชสีห์ ” “ นั่นสิ เล่นเอาพวกเราสะดุ้งไปเลย มันเกิดอะไรขึ้น
กันแน่นี่ ” “ เราสิที่ต้องเป็นฝ่ายถามพวกท่าน ว่าพวกท่านวิ่งแตกตื่นหนีสิ่งใดกันมารึ มีใครจะตอบเราได้ไหม ”
 
ฝูงสัตว์พากันสงสัยว่าราชสีห์จะวิ่งมาขวางทางพวกตนทำไม
 
ฝูงสัตว์พากันสงสัยว่าราชสีห์จะวิ่งมาขวางทางพวกตนทำไม
 
       “ ก็แผ่นจะถล่มนะสิท่านพวกเราก็เลยวิ่งหนีเอาตัวรอดไงขืนอยู่ก็ตายนะสิ ” “ อะไรนะ แผ่นดินถล่มรึไหนใครผู้ใดที่เห็นแผ่นดินถล่ม ช่วยบอกเราหน่อยสิ ”
“ ช้างไง พวกช้างนะรู้ ” “ จริงรึท่านช้าง ” “ เฮ้ย เปล่านา ข้าไม่รู้ ข้าเห็นเจ้าเสือวิ่งก็เลยวิ่งตาม ท่านต้องไปถามตาเสือโน่น ” “ ว่าไงละท่านเสือ ” “ เฮ้ย ข้าก็ไม่รู้
ข้าก็วิ่งตามแรดมา โน่นไปถามแรดโน่นเลยท่านราชสีห์ ” “ เล่นโยนกันอย่างนี้แล้วข้าจะตอบยังไงล่ะ ตาข้าก็ไม่ดีจะไปเห็นได้ไง ข้าก็วิ่งตามเจ้าวัวป่ามา
เหมือนกันเนี่ย ท่านราชสีห์ถามพวกวัวดีกว่านะ พวกนั้นน่าจะรู้ดี ” “ เอ้า ว่ายังไงแม่วัว ”
 
เสือตอบราชสีห์ไปว่าตนนั้นวิ่งตามแม่วัวมาโดยที่ยังไม่รู้ว่าแผ่นดินถล่มที่ตรงไหน
 
เสือตอบราชสีห์ไปว่าตนนั้นวิ่งตามแม่วัวมาโดยที่ยังไม่รู้ว่าแผ่นดินถล่มที่ตรงไหน
 
       “ ข้าก็ไม่เห็นหรอกท่านราชสีห์ ข้าเห็นเจ้าควายวิ่งก็วิ่งตาม ๆ กันมา ท่านถามเจ้าควายเลยว่าตกลงมันวิ่งทำไม ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน ” “ เออ คือว่าข้าก็
วิ่งตามเจ้าหมูป่ามาอีกทีนะท่านราชสีห์ อ้าวมัวนิ่งอยู่ทำไมล่ะเจ้าหมูบอกท่านราชสีไปซิ ว่าเจ้าวิ่งมาทำไม ” “ งานเข้าซิเรา ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าวิ่งทำไมเห็น
เจ้ากระต่ายมันวิ่งกันหน้าตื่นเป็นร้อยเป็นพันตัว วิ่งซะป่าราบเชียว ข้าตกใจเลยก็เลยวิ่งตามมันเท่านั้นเอง ข้าจะรู้ได้ไงว่าเจ้าควายมันวิ่งตาม ทางที่ดีถาม
กระต่ายก็ได้นะ เพราะมันวิ่งก่อนเพื่อนเลยเนี่ยท่านราชสีห์  ”
 
ฝูงกระต่ายทั้งหลายก็ตอบราชสีห์ไม่ได้ว่าแผ่นดินถล่มตรงที่ใด
 
ฝูงกระต่ายทั้งหลายก็ตอบราชสีห์ไม่ได้ว่าแผ่นดินถล่มตรงที่ใด
 
      เมื่อถูกถามถึงสาเหตุที่ต้องออกวิ่งกันหมดทั้งฝูงเหล่ากระต่ายทั้งพันกว่าตัวได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่กไม่มีใครสามารถให้คำตอบแก่ราชสีห์ได้ เหล่าฝูงกระต่าย
จึงให้กระต่ายตื่นตูมตัวแรกที่ออกวิ่งเป็นผู้บรรยายให้ฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้น “ ข้าแต่ท่านราชสีห์ พวกข้าทั้งหลายเห็นเจ้ากระต่ายตัวนั้นวิ่งตะโกนปาว ๆ ว่าแผ่นดินถล่ม
ก็เลยวิ่งตาม ” เมื่อหาตัวต้นเหตุเจอราชสีห์จึงเอ่ยปากถามกระต่ายตื่นตูมตัวนั้นถึงสาเหตุในการวิ่งหนีครั้งใหญ่นี้ “ เป็นท่านเองรึกระต่ายน้อยที่เห็นแผ่นดินถล่มน่ะ ”
“ ใช่แล้วจ๊ะท่านราชสีห์ ข้านี่แหละเห็นว่าแผ่นดินไหว ได้ยินกับหูได้เห็นกับสองตาข้าเลย เต็ม ๆ ” “ แล้วท่านไปอยู่ที่ใดรึถึงได้เห็นแผ่นดินถล่มหนะ ”

ราชสีห์ได้สอบถามเจ้ากระต่ายตัวแรกว่าแผ่นดินถล่มเกิดขึ้น ณ ที่ใด
 
ราชสีห์ได้สอบถามเจ้ากระต่ายตัวแรกว่าแผ่นดินถล่มเกิดขึ้น ณ ที่ใด
 
       “ ข้าอยู่ในดงตาลที่มีต้นมะตูมอยู่ด้วยนะซิท่าน ตรงด้านทิศตะวันตกใกล้ทะเลโน่นแหละ เหตุมันเกิดในขณะที่ข้ากำลังนอนเพลิน ๆ อยู่ใต้ใบตาลใกล้โคนต้นมะตูม
รังของข้า ตอนนั้นข้ากำลังคิดอยู่เลยว่า ถ้าเกิดเหตุแผ่นดินถล่มขึ้นมาแล้วข้าจะหนีไปทางไหนดี ยังไม่ทันคิดเสร็จก็มีเสียงดังปานแผ่นดินถล่มขึ้น ข้าก็เลยตัดสินใจ
วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตเลยท่านราชสีห์ ” เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดราชสีห์ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าทั้งหมดคงจะเกิดจากกระต่ายตื่นตูมตัวนั้น ทั้งหมดเข้าใจผิดคิดไปเอง
เป็นแน่แท้ (.....อืม ดูท่าคงเป็นเพราะผลมะตูมสุกหล่นใส่บนใบตาลนั่นเป็นแน่ที่ตกลงมาแล้วทำให้เกิดเสียงดังปานฟ้าถล่มดังที่เจ้ากระต่ายว่า
 
ราชสีห์ได้พาเจ้ากระต่ายกลับไปยังรังที่พักอาศัยของมัน
 
ราชสีห์ได้พาเจ้ากระต่ายกลับไปยังรังที่พักอาศัยของมัน
 
     กระต่ายตัวนี้คงตกใจเสียงดังกล่าว ก็เลยวิ่งหนีเพราะคิดว่าเป็นแผ่นดินถล่ม เป็นไปได้แฮะ ดูท่าเราต้องพิสูจน์ความจริงซะหน่อยล่ะ ) เมื่อคิดได้ดังนั้นราชสีห์
ก็เลยตัดสินใจจะให้กระต่ายพาตนไปดูจุดที่ได้ยินเสียงเพื่อพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าเกิดจากสิ่งใด “ กระต่ายน้อยเอ๋ย ท่านจงพาเราไปที่รังของท่านเถิด เราจะขอไป
พิสูจน์ซะหน่อยสิว่าแผ่นดินถล่มที่ท่านได้ยินนั้นแท้จริงแล้วมันคืออะไร ระหว่างนี้พวกเจ้าทั้งหมดก็อย่าเพิ่งแตกตื่นนะ รอให้เราพิสูจน์ความจริงแล้วรีบกลับ
มาบอกพวกเจ้าทั้งหมด ”
หลังจากปลอบโยนฝูงสัตว์ให้คลายความวิตกแตกตื่นไปได้แล้ว

ราชสีห์ได้พบกับผลมะตูมตรงบริเวณจุดเกิดเหตุในบริเวณรังของกระต่าย
 
ราชสีห์ได้พบกับผลมะตูมตรงบริเวณจุดเกิดเหตุในบริเวณรังของกระต่าย
 
       ราชสีห์ก็นำกระต่ายตื่นตูมตัวต้นเหตุขึ้นหลังแล้วออกวิ่งสุดกำลังไปที่รังของกระต่ายเพื่อพิสูจน์ความจริงทั้งหมด ไม่นานนักเจ้ากระต่ายก็พาราชสีห์มาถึงดงตาล
อันเป็นรังที่พำนักของตน “ ตรงไหนรึเจ้ากระต่ายที่เจ้าได้ยินเสียงแผ่นดินถล่มน่ะ ” “ ข้าพเจ้าไม่กล้านะท่านราชสีห์ ข้าไม่กล้าเดินไปชี้ให้ดูหรอกข้ากลัว ” “ ท่านอย่า
ได้กลัวไปเลยอยู่ตรงไหนรึ จุดที่ท่านได้ยินเสียงน่ะช่วยชี้ให้เราดูหน่อยสิว่าเสียงนั่นคืออะไรแล้วมาจากตรงไหน ” “ แฮะ ๆ เอ่อท่านราชสีห์บอกตามตรงนะท่าน
 
ราชสีห์ได้กลับมาแจ้งว่าแผ่นดินไม่ได้ถล่มเหตุเกิดเพียงเพราะผลมะตูมตกลงมาใส่ใบตาลเท่านั้นเอง
 
ราชสีห์ได้กลับมาแจ้งว่าแผ่นดินไม่ได้ถล่มเหตุเกิดเพียงเพราะผลมะตูมตกลงมาใส่ใบตาลเท่านั้นเอง
 
       ข้าเองก็ไม่รู้หรอกว่าเสียงที่ได้ยินมันเป็นเสียงของอะไร และจุดที่เกิดเสียงอยู่ตรงไหนข้าก็ไม่รู้อีกนั่นแหละ ตอนนั้นข้ากลัวก็เลยหลับหูหลับตาวิ่งออกมาก่อน
ไม่ได้ดูอะไรทั้งนั้นแหละจ๊ะท่านราชสีห์ ” ราชสีห์เมื่อได้ฟังดังนั้นแล้วจึงเดินเข้าไปที่โคนต้นมะตูมยังที่ที่กระต่ายตัวนั้นนอนอยู่ และ ณ ภายใต้ใบตาลนั่นเองก็พบ
ผลมะตูมสุกที่หล่นลงอยู่เหนือใบตาลดังที่ตนคิดไว้ตั้งแต่แรก “ อือ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง เป็นดังที่เราคาดเอาไว้จริง ๆ ด้วย ” เมื่อทราบความจริงแล้วราชสีห์
ก็พากระต่ายขึ้นหลังแล้วออกวิ่งสุดกำลังเพื่อไปแจ้งให้ฝูงสัตว์ทั้งหลายที่คอยฟังคำตอบอยู่ เมื่อมาถึงฝูงสัตว์ทั้งหลายก็เอ่ยปากถามด้วยใจกระวนกระวาย
 
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ชนเหล่าใดเอาแต่เชื่อตามเสียงคนอื่นถือว่าเป็นคนพาลมีความประมาทเป็นอย่างยิ่ง
 
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ชนเหล่าใดเอาแต่เชื่อตามเสียงคนอื่นถือว่าเป็นคนพาลมีความประมาทเป็นอย่างยิ่ง
 
       “ ว่าเยี่ยงไรล่ะท่านราชสีห์ตกลงแล้วแผ่นดินมันถล่มเนี่ยมันเกิดขึ้นที่ไหนหรือท่าน ” “ แผ่นดินถล่มอะไรกันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ” “หะ อ้าว อะไรไม่มีแผ่นดิน
ถล่มเหรอ ” “แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงผลมะตูมสุขร่วงลงใส่หลังคาใบตาลรังของเจ้ากระต่ายก็เท่านั้นพวกเจ้าอย่าได้วิตกไปเลย กลับไปที่รังของพวกเจ้าแล้วดำรงชีวิต
ตามปกติเหมือนอย่างเดิมเถิดไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว ” “ โหย เซ็งเลย เป็นเพราะเจ้ากระต่ายตื่นตูมแท้ ๆ เชียวที่ทำให้เราวิ่งหนีมาตั้งไกลเมื่อยข้าไปหมดแล้วเนี่ย
นี่ตาช้างขอขี่หลังกลับไปหน่อยได้รึเปล่า เคยได้ยินไหมทางเดียวกันไปด้วยกัน ”
       
       “ อย่ามาตลกให้มากนักนะ เดี๋ยวก็ฟาดด้วยงวงซะหรอก ข้าก็เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย ” ตั้งแต่นั้นมาราชสีห์ก็ปกครองบรรดาสรรพสัตว์ในป่าด้วยความผาสุกสืบมา
ไม่มีเรื่องวิตกกังวลใจรบกวนฝูงสัตว์ทั้งหลายอีกต่อไป “ ด้วยเหตุดังที่เรากล่าวมานี้แล้วไซร้ เหตุเพราะกระต่ายได้ยินเสียงมะตูมสุกหล่นใส่หลังคาก็รีบวิ่งหนีไป หมู่สัตว์
ทั้งหลายเมื่อเห็นก็เอาแต่วิ่งตาม เปรียบดังชนเหล่าใด เอาแต่เชื่อตามเสียงคนอื่น ชนเหล่านั้นถือว่าเป็นคนพาล มีความประมาทเป็นอย่างยิ่งที่เอาแต่ตามผู้อื่น ส่วน
ชนเหล่าใดสมบูรณ์ด้วยศีลด้วยปัญญายินดีในความสงบ ชนเหล่านั้นนับว่าเป็นบัณฑิตงดเว้นความชั่วย่อมไม่เชื่อตามคนอื่นง่าย ๆ ” 
 
ในพุทธกาลต่อมา ราชสีห์ในครั้งนั้น เสวยพระชาติเป็นพระพุทธเจ้า

 
 




พิมพ์บทความนี้



บทความอื่นๆ ในหมวด

      ธัมมัทธชชาดก ชาดกว่าด้วยพูดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่ง
      เกฬิสีลชาดก ชาดกว่าด้วยปัญญาสำคัญกว่าร่างกาย
      ปานียชาดก ชาดกว่าด้วยการทำบาปแล้วรังเกียจบาปที่ทำ
      ชนสันธชาดก ชาดกว่าด้วยเหตุที่ทำจิตให้เดือดร้อน
      ฆตาสนชาดก ชาดกว่าด้วยภัยที่เกิดจากที่พึ่ง
      มหาสุวราชชาดก ชาดกว่าด้วยความพอเพียง
      ฌานโสธนชาดก ชาดกว่าด้วยสุขเกิดจากสมาบัติ
      สุนักขชาดก ชาดกว่าด้วยผู้ฉลาดย่อมช่วยตัวเองได้
      สังวรมหาราชชาดก ชาดกว่าด้วยพระราชาผู้มีศีลาจารวัตรที่ดีงาม
      อสัมปทานชาดก ชาดกว่าด้วยการไม่รับของทำให้เกิดการแตกร้าว
      สัจจังกิรชาดก ชาดกว่าด้วยไม้ลอยน้ำดีกว่าคนอกตัญญู
      สัมโมทมานชาดก ชาดกว่าด้วยพินาศเพราะทะเลาะกัน
      อภิณหชาดก ชาดกว่าด้วยการเห็นกันบ่อยๆ