ชาดก 500 ชาติ
ทุททุภายชาดก-ชาดกว่าด้วยกระต่ายตื่นตูม
ณ ชมพูทวีปในช่วงที่มีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วแว่นแคว้นในพุทธกาลสมัย ครั้นเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์พระบรมศาสดาแห่งพระพุทธศาสนาเผยแพร่พระธรรมคำสอนขจรขจายไกล ทั่วแว่นแคว้น
ในชมพูทวีปนั้น เหล่าสาวกต่างอยู่ร่วมกันอย่างสงบร่มเย็นภายใต้คำสอนขององค์พระบรมศาสดา
เหล่าสาวกต่างอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนาแต่ในกาลนั้นได้มีกลุ่มเดียรถีย์กลุ่มหนึ่งประพฤติตนนอกรีดนอกรอย พำนักอยู่ใกล้ๆ กับพระตำหนักเชตวันมหาวิหาร เดียรถีย์กลุ่มนี้บ้างก็นอนบนหนาม
บ้างก็ทนความร้อนอยู่ในกองไฟ ทุกรกิริยาของเดียรถีย์เหล่านี้ได้อยู่ในสายตาของพระภิกษุที่ออกบิณฑบาตไปมาทั้งสิ้น
เดียรถีย์กลุ่มหนึ่งได้พากันบำเพ็ญมิจฉาตบะอยู่ใกล้ๆ กับพระเชตวัน“ หึหึ นอนบนหนามอย่างนี้แหละตบะแก่กล้าใครทำได้คนนั้นสิยอดคน ” “ เฮ้ย ต้องลุยกองไฟอย่างข้าต่างหากถึงจะเจ๋ง ท่านทำได้อย่างข้าหรือเปล่า ”
“ โหย พวกเดียรถีย์ทั้งหลายนั้น ประพฤติมิจฉาตบะเยี่ยงนั้นเพื่อกระไรกันแน่ ” “ มันต้องมีอะไรพิเศษแน่ ๆ พวกเดียรถีย์เหล่านี้ถึงได้ประพฤติ
เยี่ยงนั้นอยู่เป็นนิจ ”
เดียรถีย์บางคนก็ลุยไฟเพื่อฝึกให้ทนกับความร้อนความสงสัยนั้นทำให้เหล่าภิกษุที่ผ่านไปพบเห็นการกระทำของเดียรถีย์ต่างพากันหยิบยกมาคุยโจทย์จันไปทั่วมหาวิหาร ครั้นองค์พระศาสดา
ทรงทราบถึงเรื่องราวก็ทรงตรัสถามถึง “ ดูก่อนภิกษุผู้เป็นสาวกแห่งเรา เธอทั้งหลายได้พานพบกับสิ่งใดกันมาหรือ ”
เหล่าภิกษุต่างพากันพูดถึงการกระทำมิจฉาตบะของกลุ่มเดียรถีย์“ เรื่องก็เป็นอย่างนี้แหละพระเจ้าค่ะ พวกข้าพระองค์เห็นเดียรถีย์กลุ่มหนึ่งมาประพฤติมิจฉาตบะทั้งนอนบนหนามทั้งทนความร้อน อยู่ใกล้ๆ กับ
พระเชตวันมหาวิหารแห่งนี้ พวกเราก็เลยสงสัยกันว่าสาระแก่นสารในการสมาทานวัตรของเดียรถีย์เหล่านั้นมีอยู่ด้วยหรือพระเจ้าค่ะ ”เหล่าภิกษุได้พากันกราบทูลเรื่องของเดียรถีย์เกี่ยวกับการประพฤติมิจฉาตบะ“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายแก่นสารสาระหรือความวิเศษในการสมาทานของเหล่าเดียรถีย์เหล่านั้นย่อมไม่มีเลย เปรียบแล้วก็เสมือนกระต่ายตื่นตูม
ที่กลัวเสียงกึกก้องนั้นเอง ” “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ทั้งหลายใคร่สงสัยว่าการที่เหมือนกับกระต่ายตื่นตูมนั้นเป็นเช่นไร
ขอพระองค์ทรงสาทกแก่พวกข้าพระองค์เป็นบุญด้วยเถิดพระเจ้าข้า ”พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอธิบายการกระทำของกลุ่มเดียรถีย์ว่าเปรียบดังกระต่ายตื่นตูมดังนั้นพระบรมศาสดาจึงทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณนำทุททุภายชาดกมาสาทกแก่เหล่าภิกษุทั้งหลายดังนี้ ในอดีตกาล
ณ เมืองพาราณสี นครแห่งพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้เปี่ยมด้วยทศพิศราชธรรมปกครองดินแดนอย่างผาสุก
เป็นอย่างดีและในป่าใกล้ ๆ พระนคร มีราชสีห์ตัวหนึ่งพำนักครองตนเป็นเจ้าป่าแห่งนั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเล่า ทุททุภายชาดก แก่เหล่าภิกษุทั้งหลายใกล้ป่านั้นเองมีดงตาลปะปนอยู่กับดงมะตูมและในดงตาลนั้นก็มีกระต่ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่ภายใต้กอตาลกอหนึ่งใกล้ ๆ กับโคนต้นมะตูม
“ อากาศสดชื่นดีจริง ๆ กระต่ายอย่างเราจะมีอะไรทำนอกจากนอนให้เปรมปรีดิ์ ” กิจวัตรประจำวันของกระต่ายนั้นก็คือการออกหาอาหารแล้วก็กลับมานอนพักที่ใต้ต้นตาลของมัน
เมืองพาราณสีภายใต้การปกครองของพระเจ้าพรหมทัตวันหนึ่งหลังจากที่มันกินอาหารอย่างอิ่มหนำสำราญแล้วก็บังเกิดความคิดแปลกๆ ขึ้นมา “ เอ้ ถ้าวันหนึ่งป่าที่เราอยู่อย่างสงบเงียบแห่งนี้
เกิดอาเพศแผ่นดินถล่มฟ้าทะลายขึ้นมาเราจะทำยังไงดีละเนี่ย เอ้ พูดแล้วมันก็น่าคิดนะเนี่ย น่ากลัวอยู่เหมือนกันแฮะ ” ยังไม่ทันที่ความคิด
จะจางหายไปจู่ ๆ ผลมะตูมลูกหนึ่งก็หล่นจากต้นตกใส่บนหลังคาใบตาลอันเป็นรังของเจ้ากระต่ายเข้าเต็มเปา
ราชสีห์ตัวหนึ่งได้อาศัยอยู่ในป่าใกล้ๆ เมืองพาราณสีเสียงดังจากการตกกระทบบวกกับความคิดจดจ่อของมันสร้างความตื่นตระหนกตกใจให้กับเจ้ากระต่ายเป็นยิ่งนัก “ แผ่นดินถล่มจริง ๆ หรือนี่
แย่แล้ว ๆ เผ่นดีกว่าเรา ” เสียงเจ้ากระต่ายตื่นตูมร้องระงมไปทั่วสร้างความฉงนแก่เหล่ากระต่ายตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในละแวงเดียวกัน
มีกระต่ายตัวหนึ่งอาศัยภายดงตาลซึ่งมีต้นมะตูมปะปนอยู่ด้วย“ อ้าว นั่นมันจะวิ่งไปไหนละนั่น เกิดคึกอะไรขึ้นมานี่ วิ่งตามไปบ้างดีกว่า ต้องถามให้รู้ว่ามันวิ่งหน้าตาตื่นไปทำไม ตามไปก่อนค่อยถามทีหลังแล้วกัน
” เมื่อวิ่งตามกระต่ายตัวแรกทันกระต่ายตัวนั้นจึงเอ่ยปากถามด้วยความสงสัยถึงสาเหตุที่กระต่ายขี้ตกใจตัวนั้นต้องวิ่งหนีสุดชีวิต “ นี่ นี่ นี่ ตกลงเจ้าจะบอกข้า
ได้หรือยังว่าวิ่งหนีอะไรมานี่ หน้าตาแตกตื่นจริงๆ ”
มะตูมผลหนึ่งได้ตกลงใกล้ๆ กับรังของกระต่าย“ นี่เจ้าไม่ได้ยินเสียงแผ่นดินไหวเหรอ แผ่นดินจะถล่มอยู่รอมร่ออยู่แล้วอย่ามัวแต่ถามเลย วิ่งให้สุดชีวิตกันเถอะ ไม่งั้นจะพาตายกันหมดนะเจ้า ”
“ เฮ้ย จริงดิ งั้นรอช้าอยู่ทำไม ข้าไปก่อนละนะ ” “ เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย รอข้าด้วย ” เหตุการณ์โกลาหลไปกันใหญ่ไม่เพียงแค่กระต่ายสองตัวเท่านั้น
ที่ต่างวิ่งหนีกันไม่คิดชีวิต แม้แต่กระต่ายตัวอื่น ๆ
เสียงตกของผลมะตูมทำให้เจ้ากระต่ายตกใจรีบวิ่งหนีจากรังของมันทันทีอีกนับร้อยนับพันตัวทั่วป่าก็ต่างพากันวิ่งหนีเตลิดตามกันมาเป็นพรวนเพียงเพราะเห็นกระต่ายที่ตกใจกลัวตัวนั้นวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ทุกตัวก็วิ่งตาม ๆ
กันมาโดยไม่ถามถึงสาเหตุ ด้านสัตว์อื่น ๆ ในป่าเมื่อเห็นฝูงกระต่ายนับพันวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตก็ต่างพากันออกวิ่งตามฝูงกระต่ายไปโดยไม่ยอมถามไถ่
ใด ๆ ทั้งสิ้น “ เฮ้ย นั้นฝูงกระต่ายมันหนีอะไรของมัน
ฝูงกระต่ายทั้งหลายต่างพากันตกใจกับการวิ่งหนีสุดชีวิตของเพื่อนกระต่ายไม่ได้การแล้วอย่างนี้มันต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลแน่ ๆ ไปมั่งดีกว่า เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย พวกกวางทั้งหลายตามเจ้ากระต่ายไปเร็ว ๆ เข้า ” “ อ้าวตัวอื่น
วิ่งกันไปหมดแล้ว หมูอย่างเราจะอยู่ทำไมละเนี่ย ไปกันมั่งดีกว่า เฮ้ย เจ้ากวางเอ้ย รอข้าด้วย ” “ อ้าว ไม่บอกกันบ้างเลยพวกเจ้านี่ รอข้าด้วย รอข้าด้วย
ข้าขอไปด้วยคน รอด้วย ” “ วิ่งกันป่าราบขนาดนี้อย่ามัวแต่เลมหญ้าสิพวกเรา ไปกับเขาบ้างดีกว่า เร็ว เร็วเข้า ไปกันเถอะ
กระต่ายทุกตัวก็ต่างพากันวิ่งตามเจ้ากระต่ายตื่นตูมไปทันทีโดยไม่ได้ถามถึงสาเหตุฝูงวัวทั้งหลายรีบหนีกันเร็วเข้า ” “ ฝูงสัตว์ วิ่งกันหน้าตาตื่นอย่างนี้ต้องมีเหตุร้ายแน่ ๆ เลย ไปมั่งดีกว่า เอ้า เฮ้ย หลบหน่อย หลบหน่อย ใครไม่เกี่ยวถอยไป
แรดจะวิ่งแล้วนะ ” “ เล่นหนีหมดป่าอย่างนี้เราจะอยู่ทำไม อยู่ไปก็ไม่มีตัวอะไรให้กิน ชะรอยต้องตาม ๆ กันไปแล้วสิเรา ” “ โอ้ย รอข้าด้วย ข้าตัวใหญ่วิ่งตามไม่ทันหรอก รอข้าด้วยข้ากลัว เอ้ ว่าแต่กลัวอะไร ไม่รู้ล่ะวิ่งไว้ก่อนดีกว่า รอข้าด้วย รอข้าด้วยข้ากลัว ”
บรรดาสัตว์นานาชนิดต่างตื่นตกใจและสงสัยกับการวิ่งอย่างสุดชีวิตของฝูงกระต่ายเมื่อบรรดาสัตว์ทั้งหลายวิ่งตามมากันทันจึงทราบว่าที่ต้องออกวิ่งหนีกันสุดชีวิตนั้นเหตุเพราะกำลังจะเกิดแผ่นดินถล่มทุกชีวิตในป่าจึงต้องรีบหนี
เพื่อรักษาตัวรอดยิ่งสร้างความตื่นตระหนกตกใจ พากันแตกตื่นกันยกใหญ่ “ เฮ้อ เฮ้อ เจ้ากระต่ายพวกเจ้าพากันวิ่งทำไมเนี่ย พวกข้าก็พลอยวิ่งตาม
เหนื่อยเป็นหมาหอบแดกเชียว เฮ้ย ไม่ใช่สิกลายเป็นกวางหอบแดกถึงจะถูก ”บรรดาสัตว์ทั้งหลายต่างแตกตื่นและพากันวิ่งตามเจ้ากระต่ายไปในทิศทางเดียวกัน“ ที่ข้าวิ่งไม่คิดชีวิตเนี่ยก็เพราะแผ่นดินกำลังจะถล่มนะสิ ” “ หะ อะไรนะ แผ่นดินกำลังจะถล่มเหรอ ” ป่าทั้งป่าสะเทือนด้วยฝีเท้าของบรรดาสัตว์น้อยใหญ่
ฝ่ายราชสีห์นั้นเล่าด้วยความที่มีจิตใจสงบเยือกเย็นจึงไม่แตกตื่นตามฝูงสัตว์เหล่านั้น จึงออกปากถามฝูงสัตว์ที่วิ่งแตกตื่น “ ช้าก่อนพวกท่านทั้งหลาย
นี่พวกท่านวิ่งหนีสิ่งใดกันมารึ ” “ ปัดโธ่ ท่านราชสีห์ท่านมัวไปอยู่ที่ไหนมา นี่แผ่นดินกำลังจะถล่มอยู่แล้วราชสีห์เกิดความสงสัยที่บรรดาสัตว์ทั้งหลายพากันวิ่งหนีอย่างแตกตื่นท่านไม่รู้เรื่องบ้างเลยหรือไง รีบ ๆ หนีเถอะไปไม่มีเวลามาคุยแล้วเดี๋ยวจะไม่ทันกาล ” ราชสีห์เมื่อได้ยินดังนั้นแทนที่จะออกวิ่งตามฝูงสัตว์เหล่านั้นไป
แต่กลับยืนสงบครุ่นคิดพิจารณาถึงเหตุผลความน่าจะเป็นด้วยเหตุและผล “ อืม ตามธรรมดาแล้วนี่เหตุการณ์แผ่นดินถล่มนี้ไม่เคยปรากฎมาก่อนนี่น่า
มันจะเป็นไปได้ยังไงเราเองก็ยังไม่รู้สึกอะไรซะหน่อย เอ้ ดูท่าพวกสัตว์เหล่านี้จะต้องไปเจออะไรที่ทำให้เข้าใจผิดเลยพากันแตกตื่นกันไปยกใหญ่เป็นแน่
สัตว์ทั้งหลายได้ตอบราชสีห์ไปว่าแผ่นดินกำลังจะถล่มพวกตนจึงพากันวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุดขืนเราไม่ช่วยเรียกสติพวกนี้คืนมา ไม่เช่นนั้นหากวิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือคงจะพลัดตกหน้าผาตายกันทั้งฝูงเป็นแน่แท้ เห็นที่เราต้องทำอะไรสักอย่าง
เรียกสติพวกนั้นหน่อยแล้ว ” เมื่อคิดได้ดังนั้นราชสีห์จึงออกวิ่งสุดฝีเท้า หากแต่ไม่ได้วิ่งตามฝูงสัตว์เหล่านั้นแต่ราชสีห์กลับวิ่งอ้อมไปดักที่หน้าผา
ซึ่งเป็นทางที่เหล่าฝูงสัตว์กำลังวิ่งมุ่งหน้าไป “ เราต้องรีบวิ่งไปไปดักฝูงสัตว์พวกนั้นไว้ ขืนปล่อยไว้อย่างนี้พวกนั้นได้แต่วิ่งจนตกหน้าผาตาย
กันหมดแน่ ๆ ”
ราชสีห์คิดว่าเหตุการณ์แผ่นดินถล่มไม่น่าจะเกิดอย่างที่ฝูงสัตว์นั้นได้บอกเล่าตนราชสีห์ออกวิ่งด้วยพละกำลังทั้งหมดที่ตัวเองมีหมายจะไปให้ถึงที่หน้าผาก่อนฝูงสัตว์ให้จงได้ ในที่สุดราชสีห์ก็มาถึงหน้าผาก่อนฝูงสัตว์ สร้างความ
งุนงงให้กับฝูงสัตว์ที่เห็นราชสีห์มาขวางทางหนีของพวกตนเอาไว้ “ ท่านราชสีห์จะมาขวางพวกเราทำไมเนี่ยแผ่นดินจะถล่มอยู่แล้วรีบหลบไปเร็ว ”
“ ใช่ ใช่ ใช่ รีบหลบไปเร็วซิท่านเดี๋ยวก็ตายกันหมดป่าหรอก ยิ่งรีบ ๆ อยู่ ยืนอยู่ได้ เกะกะ ” ราชสีห์ไม่ตอบใด ๆ แต่กลับยื่นอกกู่ก้องคำราม
ราชสีห์วิ่งสุดกำลังไปยังหน้าผาเพราะเกรงว่าฝูงสัตว์ที่วิ่งมาจะพากันพลัดตกลงไปด้วยความองอาจติดต่อกันถึงสามครั้ง เสียงคำรามอันทรงพลังดังกึกก้องไปทั่วทั้งป่าเปรียบได้ดังมนต์สะกดให้เหล่าฝูงสัตว์หยุดนิ่งไม่มีตัวใดกล้าไหวติง
ความโกลาหลจึงสงบลง “ อะไรเนี่ยพ่อราชสีห์เล่นซะตกอกตกใจหมดเลย คำรามทำไมล่ะพ่อราชสีห์ ” “ นั่นสิ เล่นเอาพวกเราสะดุ้งไปเลย มันเกิดอะไรขึ้น
กันแน่นี่ ” “ เราสิที่ต้องเป็นฝ่ายถามพวกท่าน ว่าพวกท่านวิ่งแตกตื่นหนีสิ่งใดกันมารึ มีใครจะตอบเราได้ไหม ”
ฝูงสัตว์พากันสงสัยว่าราชสีห์จะวิ่งมาขวางทางพวกตนทำไม“ ก็แผ่นจะถล่มนะสิท่านพวกเราก็เลยวิ่งหนีเอาตัวรอดไงขืนอยู่ก็ตายนะสิ ” “ อะไรนะ แผ่นดินถล่มรึไหนใครผู้ใดที่เห็นแผ่นดินถล่ม ช่วยบอกเราหน่อยสิ ”
“ ช้างไง พวกช้างนะรู้ ” “ จริงรึท่านช้าง ” “ เฮ้ย เปล่านา ข้าไม่รู้ ข้าเห็นเจ้าเสือวิ่งก็เลยวิ่งตาม ท่านต้องไปถามตาเสือโน่น ” “ ว่าไงละท่านเสือ ” “ เฮ้ย ข้าก็ไม่รู้
ข้าก็วิ่งตามแรดมา โน่นไปถามแรดโน่นเลยท่านราชสีห์ ” “ เล่นโยนกันอย่างนี้แล้วข้าจะตอบยังไงล่ะ ตาข้าก็ไม่ดีจะไปเห็นได้ไง ข้าก็วิ่งตามเจ้าวัวป่ามา
เหมือนกันเนี่ย ท่านราชสีห์ถามพวกวัวดีกว่านะ พวกนั้นน่าจะรู้ดี ” “ เอ้า ว่ายังไงแม่วัว ”
เสือตอบราชสีห์ไปว่าตนนั้นวิ่งตามแม่วัวมาโดยที่ยังไม่รู้ว่าแผ่นดินถล่มที่ตรงไหน“ ข้าก็ไม่เห็นหรอกท่านราชสีห์ ข้าเห็นเจ้าควายวิ่งก็วิ่งตาม ๆ กันมา ท่านถามเจ้าควายเลยว่าตกลงมันวิ่งทำไม ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน ” “ เออ คือว่าข้าก็
วิ่งตามเจ้าหมูป่ามาอีกทีนะท่านราชสีห์ อ้าวมัวนิ่งอยู่ทำไมล่ะเจ้าหมูบอกท่านราชสีไปซิ ว่าเจ้าวิ่งมาทำไม ” “ งานเข้าซิเรา ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าวิ่งทำไมเห็น
เจ้ากระต่ายมันวิ่งกันหน้าตื่นเป็นร้อยเป็นพันตัว วิ่งซะป่าราบเชียว ข้าตกใจเลยก็เลยวิ่งตามมันเท่านั้นเอง ข้าจะรู้ได้ไงว่าเจ้าควายมันวิ่งตาม ทางที่ดีถาม
กระต่ายก็ได้นะ เพราะมันวิ่งก่อนเพื่อนเลยเนี่ยท่านราชสีห์ ”
ฝูงกระต่ายทั้งหลายก็ตอบราชสีห์ไม่ได้ว่าแผ่นดินถล่มตรงที่ใดเมื่อถูกถามถึงสาเหตุที่ต้องออกวิ่งกันหมดทั้งฝูงเหล่ากระต่ายทั้งพันกว่าตัวได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่กไม่มีใครสามารถให้คำตอบแก่ราชสีห์ได้ เหล่าฝูงกระต่าย
จึงให้กระต่ายตื่นตูมตัวแรกที่ออกวิ่งเป็นผู้บรรยายให้ฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้น “ ข้าแต่ท่านราชสีห์ พวกข้าทั้งหลายเห็นเจ้ากระต่ายตัวนั้นวิ่งตะโกนปาว ๆ ว่าแผ่นดินถล่ม
ก็เลยวิ่งตาม ” เมื่อหาตัวต้นเหตุเจอราชสีห์จึงเอ่ยปากถามกระต่ายตื่นตูมตัวนั้นถึงสาเหตุในการวิ่งหนีครั้งใหญ่นี้ “ เป็นท่านเองรึกระต่ายน้อยที่เห็นแผ่นดินถล่มน่ะ ”
“ ใช่แล้วจ๊ะท่านราชสีห์ ข้านี่แหละเห็นว่าแผ่นดินไหว ได้ยินกับหูได้เห็นกับสองตาข้าเลย เต็ม ๆ ” “ แล้วท่านไปอยู่ที่ใดรึถึงได้เห็นแผ่นดินถล่มหนะ ”
ราชสีห์ได้สอบถามเจ้ากระต่ายตัวแรกว่าแผ่นดินถล่มเกิดขึ้น ณ ที่ใด“ ข้าอยู่ในดงตาลที่มีต้นมะตูมอยู่ด้วยนะซิท่าน ตรงด้านทิศตะวันตกใกล้ทะเลโน่นแหละ เหตุมันเกิดในขณะที่ข้ากำลังนอนเพลิน ๆ อยู่ใต้ใบตาลใกล้โคนต้นมะตูม
รังของข้า ตอนนั้นข้ากำลังคิดอยู่เลยว่า ถ้าเกิดเหตุแผ่นดินถล่มขึ้นมาแล้วข้าจะหนีไปทางไหนดี ยังไม่ทันคิดเสร็จก็มีเสียงดังปานแผ่นดินถล่มขึ้น ข้าก็เลยตัดสินใจ
วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตเลยท่านราชสีห์ ” เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดราชสีห์ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าทั้งหมดคงจะเกิดจากกระต่ายตื่นตูมตัวนั้น ทั้งหมดเข้าใจผิดคิดไปเอง
เป็นแน่แท้ (.....อืม ดูท่าคงเป็นเพราะผลมะตูมสุกหล่นใส่บนใบตาลนั่นเป็นแน่ที่ตกลงมาแล้วทำให้เกิดเสียงดังปานฟ้าถล่มดังที่เจ้ากระต่ายว่า
ราชสีห์ได้พาเจ้ากระต่ายกลับไปยังรังที่พักอาศัยของมันกระต่ายตัวนี้คงตกใจเสียงดังกล่าว ก็เลยวิ่งหนีเพราะคิดว่าเป็นแผ่นดินถล่ม เป็นไปได้แฮะ ดูท่าเราต้องพิสูจน์ความจริงซะหน่อยล่ะ ) เมื่อคิดได้ดังนั้นราชสีห์
ก็เลยตัดสินใจจะให้กระต่ายพาตนไปดูจุดที่ได้ยินเสียงเพื่อพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าเกิดจากสิ่งใด “ กระต่ายน้อยเอ๋ย ท่านจงพาเราไปที่รังของท่านเถิด เราจะขอไป
พิสูจน์ซะหน่อยสิว่าแผ่นดินถล่มที่ท่านได้ยินนั้นแท้จริงแล้วมันคืออะไร ระหว่างนี้พวกเจ้าทั้งหมดก็อย่าเพิ่งแตกตื่นนะ รอให้เราพิสูจน์ความจริงแล้วรีบกลับ
มาบอกพวกเจ้าทั้งหมด ”หลังจากปลอบโยนฝูงสัตว์ให้คลายความวิตกแตกตื่นไปได้แล้ว
ราชสีห์ได้พบกับผลมะตูมตรงบริเวณจุดเกิดเหตุในบริเวณรังของกระต่ายราชสีห์ก็นำกระต่ายตื่นตูมตัวต้นเหตุขึ้นหลังแล้วออกวิ่งสุดกำลังไปที่รังของกระต่ายเพื่อพิสูจน์ความจริงทั้งหมด ไม่นานนักเจ้ากระต่ายก็พาราชสีห์มาถึงดงตาล
อันเป็นรังที่พำนักของตน “ ตรงไหนรึเจ้ากระต่ายที่เจ้าได้ยินเสียงแผ่นดินถล่มน่ะ ” “ ข้าพเจ้าไม่กล้านะท่านราชสีห์ ข้าไม่กล้าเดินไปชี้ให้ดูหรอกข้ากลัว ” “ ท่านอย่า
ได้กลัวไปเลยอยู่ตรงไหนรึ จุดที่ท่านได้ยินเสียงน่ะช่วยชี้ให้เราดูหน่อยสิว่าเสียงนั่นคืออะไรแล้วมาจากตรงไหน ” “ แฮะ ๆ เอ่อท่านราชสีห์บอกตามตรงนะท่าน
ราชสีห์ได้กลับมาแจ้งว่าแผ่นดินไม่ได้ถล่มเหตุเกิดเพียงเพราะผลมะตูมตกลงมาใส่ใบตาลเท่านั้นเองข้าเองก็ไม่รู้หรอกว่าเสียงที่ได้ยินมันเป็นเสียงของอะไร และจุดที่เกิดเสียงอยู่ตรงไหนข้าก็ไม่รู้อีกนั่นแหละ ตอนนั้นข้ากลัวก็เลยหลับหูหลับตาวิ่งออกมาก่อน
ไม่ได้ดูอะไรทั้งนั้นแหละจ๊ะท่านราชสีห์ ” ราชสีห์เมื่อได้ฟังดังนั้นแล้วจึงเดินเข้าไปที่โคนต้นมะตูมยังที่ที่กระต่ายตัวนั้นนอนอยู่ และ ณ ภายใต้ใบตาลนั่นเองก็พบ
ผลมะตูมสุกที่หล่นลงอยู่เหนือใบตาลดังที่ตนคิดไว้ตั้งแต่แรก “ อือ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง เป็นดังที่เราคาดเอาไว้จริง ๆ ด้วย ” เมื่อทราบความจริงแล้วราชสีห์
ก็พากระต่ายขึ้นหลังแล้วออกวิ่งสุดกำลังเพื่อไปแจ้งให้ฝูงสัตว์ทั้งหลายที่คอยฟังคำตอบอยู่ เมื่อมาถึงฝูงสัตว์ทั้งหลายก็เอ่ยปากถามด้วยใจกระวนกระวาย
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ชนเหล่าใดเอาแต่เชื่อตามเสียงคนอื่นถือว่าเป็นคนพาลมีความประมาทเป็นอย่างยิ่ง“ ว่าเยี่ยงไรล่ะท่านราชสีห์ตกลงแล้วแผ่นดินมันถล่มเนี่ยมันเกิดขึ้นที่ไหนหรือท่าน ” “ แผ่นดินถล่มอะไรกันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ” “หะ อ้าว อะไรไม่มีแผ่นดิน
ถล่มเหรอ ” “แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงผลมะตูมสุขร่วงลงใส่หลังคาใบตาลรังของเจ้ากระต่ายก็เท่านั้นพวกเจ้าอย่าได้วิตกไปเลย กลับไปที่รังของพวกเจ้าแล้วดำรงชีวิต
ตามปกติเหมือนอย่างเดิมเถิดไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว ” “ โหย เซ็งเลย เป็นเพราะเจ้ากระต่ายตื่นตูมแท้ ๆ เชียวที่ทำให้เราวิ่งหนีมาตั้งไกลเมื่อยข้าไปหมดแล้วเนี่ย
นี่ตาช้างขอขี่หลังกลับไปหน่อยได้รึเปล่า เคยได้ยินไหมทางเดียวกันไปด้วยกัน ”
“ อย่ามาตลกให้มากนักนะ เดี๋ยวก็ฟาดด้วยงวงซะหรอก ข้าก็เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย ” ตั้งแต่นั้นมาราชสีห์ก็ปกครองบรรดาสรรพสัตว์ในป่าด้วยความผาสุกสืบมา
ไม่มีเรื่องวิตกกังวลใจรบกวนฝูงสัตว์ทั้งหลายอีกต่อไป “ ด้วยเหตุดังที่เรากล่าวมานี้แล้วไซร้ เหตุเพราะกระต่ายได้ยินเสียงมะตูมสุกหล่นใส่หลังคาก็รีบวิ่งหนีไป หมู่สัตว์
ทั้งหลายเมื่อเห็นก็เอาแต่วิ่งตาม เปรียบดังชนเหล่าใด เอาแต่เชื่อตามเสียงคนอื่น ชนเหล่านั้นถือว่าเป็นคนพาล มีความประมาทเป็นอย่างยิ่งที่เอาแต่ตามผู้อื่น ส่วน
ชนเหล่าใดสมบูรณ์ด้วยศีลด้วยปัญญายินดีในความสงบ ชนเหล่านั้นนับว่าเป็นบัณฑิตงดเว้นความชั่วย่อมไม่เชื่อตามคนอื่นง่าย ๆ ”ในพุทธกาลต่อมา ราชสีห์ในครั้งนั้น เสวยพระชาติเป็นพระพุทธเจ้า
ทุททุภายชาดก ชาดกว่าด้วยกระต่ายตื่นตูม
เจ้ากระต่ายตัวหนึ่งมีความคิดที่ว่าหากแผ่นดินเกิดถล่มขึ้นมาตนควรจะทำอย่างไรดี จู่ ๆ ผลมะตูมลูกหนึ่งก็หล่นจากต้นตกใส่บนหลังคาใบตาลอันเป็นรังของเจ้ากระต่ายเข้าเต็มเปา เสียงดังจากการตกกระทบบวกกับความคิดจดจ่อของมันสร้างความตื่นตระหนกตกใจให้กับเจ้ากระต่ายเป็นยิ่งนัก มันเลยวิ่งหนีสุดชีวิต ทำให้บรรดาสัตว์ป่าทั้งหลายแตกตื่นพากันวิ่งตามๆ กันไปจนเกือบจะตกจากหน้าผาที่สูงชัน https://dmc.tv/a28365
บทความธรรมะ Dhamma Articles > นิทานชาดก 500 ชาติ[ 11 ก.ค. 2565 ] - [ ผู้อ่าน : 18275 ]
บทความอื่นๆ ในหมวด
ธัมมัทธชชาดก ชาดกว่าด้วยพูดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่งเกฬิสีลชาดก ชาดกว่าด้วยปัญญาสำคัญกว่าร่างกาย
ปานียชาดก ชาดกว่าด้วยการทำบาปแล้วรังเกียจบาปที่ทำ
ชนสันธชาดก ชาดกว่าด้วยเหตุที่ทำจิตให้เดือดร้อน
ฆตาสนชาดก ชาดกว่าด้วยภัยที่เกิดจากที่พึ่ง
มหาสุวราชชาดก ชาดกว่าด้วยความพอเพียง
ฌานโสธนชาดก ชาดกว่าด้วยสุขเกิดจากสมาบัติ
สุนักขชาดก ชาดกว่าด้วยผู้ฉลาดย่อมช่วยตัวเองได้
สังวรมหาราชชาดก ชาดกว่าด้วยพระราชาผู้มีศีลาจารวัตรที่ดีงาม
อสัมปทานชาดก ชาดกว่าด้วยการไม่รับของทำให้เกิดการแตกร้าว
สัจจังกิรชาดก ชาดกว่าด้วยไม้ลอยน้ำดีกว่าคนอกตัญญู
สัมโมทมานชาดก ชาดกว่าด้วยพินาศเพราะทะเลาะกัน
อภิณหชาดก ชาดกว่าด้วยการเห็นกันบ่อยๆ