อนุสาสิกชาดก ชาดกว่าด้วยเรื่องดีแต่พูด

ในนครสาวัตถี ยังมีภิกษุณีผู้ชอบพร่ำสอนอยู่รูปหนึ่ง มีนิสัยชอบสั่งสอนและมักห้ามภิกษุณีรูปอื่น ๆ มิให้เข้าไปในที่หวงห้าม แต่ตนเองก็มิได้กระทำตนเป็นแบบอย่างที่ดี กลับละเมิดเข้าไปในที่หวงห้ามเสียเอง https://dmc.tv/a27025

บทความธรรมะ Dhamma Articles > นิทานชาดก 500 ชาติ
[ 6 พ.ค. 2564 ] - [ ผู้อ่าน : 18269 ]

ชาดก 500 ชาติ

อนุสาสิกชาดก-ชาดกว่าด้วยเรื่องดีแต่พูด

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
  
       พุทธกาลสมัยหนึ่ง องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารในนครสาวัตถี ยังมีภิกษุณีผู้ชอบพร่ำสอนอยู่รูปหนึ่ง มีนิสัย
ชอบสั่งสอนและมักห้ามภิกษุณีรูปอื่น ๆ มิให้เข้าไปในที่หวงห้าม แต่ตนเองก็มิได้กระทำตนเป็นแบบอย่างที่ดี
 
ภิกษุณีนางหนึ่งผู้ที่บวชแล้วแต่ไม่ได้สนใจในสมณะธรรม
 
ภิกษุณีนางหนึ่งผู้ที่บวชแล้วแต่ไม่ได้สนใจในสมณะธรรม
 
        กลับละเมิดเข้าไปในที่หวงห้ามเสียเอง ภิกษุณีรูปนี้เป็นกุลธิดานางหนึ่งของชาวพระนครสาวัตถี ตั้งแต่การที่นางได้บวชแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจในสมณะธรรม
ในจิตติดใจในอามิสเที่ยวออกไปบิณฑบาตเป็นเอกเทศในพระนคร ที่ที่ภิกษุณีรูปอื่น ๆ ไม่พากันไป

ภิกษุณีผู้ติดในอามิสชอบออกเที่ยวบิณฑบาตเป็นเอกเทศในพระนคร
 
ภิกษุณีผู้ติดในอามิสชอบออกเที่ยวบิณฑบาตเป็นเอกเทศในพระนคร
 
        “ ออกมาบิณฑบาตคนเดียวดีกว่าจะได้ไม่ใครแย่งเรา ” วันหนึ่งขณะที่ภิกษุณีผู้นี้ได้ออกไปบิณฑบาตอยู่นั้น ได้มีชาวบ้านต่างออกกันมา
ถวายบิณฑบาตอันประณีตแก่เธอ “ นิมนต์ทางนี้เจ้าค่ะ ” “…..อื้อหือ วันนี้มีคนมาใส่บาตรกันเยอะแยะเลย มีแต่ของดี ๆ ทั้งนั้น

ภิกษุณีผู้ติดในอามิสออกบิณฑบาตตามลำพังเป็นปกติ
 
ภิกษุณีผู้ติดในอามิสออกบิณฑบาตตามลำพังเป็นปกติ
 
        มาคนเดียวก็ดีอย่างนี้แหละ ไม่ต้องแบ่งใคร รับคนเดียวเต็ม ๆ ” นางถูกความอยากในรสสัมผัสผูกพันธ์ไว้ จนเกิดจิตคิดอกุศลเหตุเพราะกลัวนางภิกษุณี
รูปอื่น ๆ ล่วงรู้ก็จักพากันออกมาบิณฑบาตบริเวณนี้ ลาภของตนก็จักเสื่อมถอย
 
มีผู้คนมารอใส่บาตรภิกษุณีด้วยอาหารประณีต
 
มีผู้คนมารอใส่บาตรภิกษุณีด้วยอาหารประณีต
 
       “ ไม่ได้การแล้ว เราต้องไม้ให้ภิกษุณีรูปอื่น ๆ รู้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นพวกนางก็จะมาแย่งเราออกมาบิณฑบาต ” ดังนี้แล้วนางภิกษุณีจึงไปสู่สำนัก
ภิกษุณีทั้งหลาย พร้อมทั้งพร่ำสั่งสอนนางภิกษุณีทั้งหลายมิให้ออกไปบิณฑบาตยังบริเวณดังกล่าวว่า
 
ในทุก ๆ วันนางภิกษุณีได้รับ<a href=http://www.dmc.tv/search/ภัตตาหาร title='ภัตตาหาร' target=_blank><font color=#333333>ภัตตาหาร</font></a>มากมายจากการออกบิณฑบาต
 
ในทุก ๆ วันนางภิกษุณีได้รับภัตตาหารมากมายจากการออกบิณฑบาต
 
        “ ดูกร แม่เจ้าทั้งหลาย ในที่ตรงโน้นมีช้างดุ มีม้าดุ มีสุนัขดุ นับว่าเป็นสถานที่ที่มีอันตรายรอบด้าน ” “ จริงเหรอท่าน ” “ แม่คุณทั้งหลาย
อย่าได้เที่ยวไปบิณฑบาตในที่นั้นเลย ” นางภิกษุณีทั้งหลายเมื่อฟังคำของนางก็หลงเชื่ออย่างสนิทใจ
 
นางภิกษุณีเริ่มติดใจในลาภสักการะที่ตนพึงได้รับในแต่ละวัน
 
นางภิกษุณีเริ่มติดใจในลาภสักการะที่ตนพึงได้รับในแต่ละวัน
 
       แม้ภิกษุณีรูปหนึ่งก็ไม่คิดเยื้องกายออกไปบิณฑบาตยังบริเวณนั้นเลย “ ดีนะ ที่ท่านมาเตือนพวกเราสะก่อน มิเช่นนั้น พวกเราออกบิณฑบาต
ในที่นั้นจะเกิดอันตรายกับพวกเราเป็นแน่ ” “ ไม่เป็นไรหรอก เรามาเตือนท่านด้วยความหวังดี เห็นว่าเราเป็นภิกษุณีด้วยกัน ”
 
ภิกษุณีผู้ติดในลาภวางแผนหลอกภิกษุณีรูปอื่นไม่ให้ออกไปบิณฑบาตทางเดียวกับตน
 
ภิกษุณีผู้ติดในลาภวางแผนหลอกภิกษุณีรูปอื่นไม่ให้ออกไปบิณฑบาตทางเดียวกับตน
     
        “ ขอบใจท่านมากนะ ท่านช่างมีน้ำใจงามจริง ๆ เลย ” “…หึ หึ สำเร็จตามแผน ” ครั้งหนึ่งขณะที่นางภิกษุณีออกเที่ยวบิณฑบาตอยู่นั้น
นางได้เข้าไปสู่เรือนหลังหนึ่งโดยเร็วและแล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็พลันเกิดขึ้น
 
ภิกษุณีผู้ติดในลาภสักการะออกบิณฑบาตเพียงลำพังตามปกติเหมือนเช่นในทุก ๆ วัน
 
ภิกษุณีผู้ติดในลาภสักการะออกบิณฑบาตเพียงลำพังตามปกติเหมือนเช่นในทุก ๆ วัน
 
        แพะดุตัวหนึ่งพุ่งกระโจนเข้ามาชนที่หน้าแข้งของเธออย่างจัง “ โอ้ย ขา ขาข้า ” กระดูกขาของนางหักสองท่อนในทันที นางภิกษุณีนอนทุรนทุราย
ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ชาวบ้านในละแวกนั้นรีบเข้าไปดูอาการของนางด้วยความห่วงใย
 
แพะดุตัวหนึ่งได้กระโจนชนที่หน้าแข้งของภิกษุณี
 
แพะดุตัวหนึ่งได้กระโจนชนที่หน้าแข้งของภิกษุณี
 
       “ ขา ขาข้า ” “ ห๊ะ ท่านภิกษุณีโดนแพะชนขาหัก ”  “ โอ้ย ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย ” “ พวกเรามาช่วยกันดามขาหน่อยเร็ว อดทนหน่อยนะท่าน
เดี๋ยวพวกเราจะช่วยท่านเอง ” ชาวบ้านช่วยกันดามกระดูกขาที่หักเป็นสองท่อนของนางประสานให้ติดกัน
 
นางภิกษุณีได้รับความเจ็บปวดอย่างสาหัสเพราะกระดูกของนางหักเป็นสองท่อน
 
นางภิกษุณีได้รับความเจ็บปวดอย่างสาหัสเพราะกระดูกของนางหักเป็นสองท่อน
  
        จากนั้นก็หามนางขึ้นบนเตียงแล้วนำกลับไปส่งยังสำนักภิกษุณีที่นางพำนักอยู่ “ โอ้ย โอ้ย โอ้ย ” “ อ้าวพวกเรา มาช่วยกันนำนางไปส่ง
ที่สำนักภิกษุณีหน่อยเร็ว ” “ ระวังนะท่าน เอ้า หนึ่ง สอง สาม ฮึบ ”

ชาวบ้านได้ช่วยกันนำนางภิกษุณีกลับไปส่งยังที่พัก    

ชาวบ้านได้ช่วยกันนำนางภิกษุณีกลับไปส่งยังที่พัก
 
        ทันทีที่ชาวบ้านส่งนางมาถึงสำนักภิกษุณี ความดังกล่าวก็ล่วงรู้ไปยังภิกษุณีรูปอื่น ๆ ก็พากันหัวเราะเยาะนางว่า “ นางภิกษุณีรูปนี้ ชอบพร่ำสอนภิกษุณี
รูปอื่น ๆ ไปทั่ว ห้ามไม่ให้พวกเราไปบิณฑบาตที่อื่น แต่ตนเองกลับไปเสียเอง ” “ ใช่ ใช่ ใช่ ห้ามคนอื่นดีนักเป็นไงล่ะ ขาหักกลับมา สมน้ำหน้า ”

ภิกษุณีทั้งหลายต่างพากันสมน้ำหน้านางภิกษุณีที่โดนแพะชนหน้าแข้ง
 
ภิกษุณีทั้งหลายต่างพากันสมน้ำหน้านางภิกษุณีที่โดนแพะชนหน้าแข้ง
  
       “ อย่างนี้ละนะที่เขาว่า ดีแต่สอนคนอื่น ใช่ไหมพวกเรา ” “ ใช่ สมน้ำหน้า ” เหตุแห่งนางภิกษุณีถูกแพะชนจนขาหักสองท่อน เป็นที่กล่าวโทษภิกษุณีรูปอื่น ๆ
ในธรรมสภาว่า “ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย นี้ไงภิกษุณีผู้ชอบพร่ำสอนภิกษุณีอื่น ๆ ห้ามมิให้บิณฑบาตในที่นั้น

เหล่าภิกษุได้พากันกราบทูลพระศาสดาถึงเรื่องของนางภิกษุณีที่ถูกแพะชนหน้าแข้ง
 
เหล่าภิกษุได้พากันกราบทูลพระศาสดาถึงเรื่องของนางภิกษุณีที่ถูกแพะชนหน้าแข้ง
 
        แต่ตนเองกลับไปเสียเองจนถูกแพะดุชนเอากระดูกหักหน่ะ ” ความนั้นรู้ถึงพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเสด็จมาตรัสถามว่า “ ดูกร
ภิกษุทั้งหลายบัดนี้พวกเธอมานั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรกัน ” “ ข้าแต่องค์พระศาสดา พวกเรากำลังสนทนาถึงเรื่องที่ภิกษุณีที่ถูกแพะดุชนจนขาหัก
 
พระโพธิสัตย์ได้กำเนิดเป็นนกและได้อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์
 
พระโพธิสัตย์ได้กำเนิดเป็นนกและได้อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์
 
       เหตุเพราะห้ามไม่ให้ภิกษุณีรูปอื่น ๆ ไปบิณฑบาตในที่อื่น แต่ตนกลับไปเสียเองเจ้าค่ะ ” เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้วองค์พระศาสดาก็ตรัสว่า
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนภิกษุณีผู้นี้ก็เอาแต่สั่งสอนผู้อื่น แต่ตนเองก็มิได้ประพฤติตาม

พวกนกทั้งหลายต่างพากันออกหากินในบริเวณที่นกจ่าฝูงบอกพวกตนไว้
 
พวกนกทั้งหลายต่างพากันออกหากินในบริเวณที่นกจ่าฝูงบอกพวกตนไว้
 
        ต้องเสวยทุกข์ตลอดกาลเป็นนิจเลยที่เดียว ” แล้วพระองค์ก็ทรงนำเอาชาดกว่าด้วยเรื่อง ดีแต่สอนผู้อื่นมาตรัสเล่าแก่ภิกษุทั้งหลายดังนี้ ในอดีตกาล
ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี มีพระโพธิสัตย์บังเกิดกำเนิดเป็นนกป่า อาศัยในป่าหิมพานต์อันอุดมสมบูรณ์
 
นางนกจัณฑาลตัวหนึ่งได้บินออกมาหากินในที่ซึ่งนกจ่าฝูงได้ห้ามไว้
 
นางนกจัณฑาลตัวหนึ่งได้บินออกมาหากินในที่ซึ่งนกจ่าฝูงได้ห้ามไว้
 
        ครั้นเมื่อเจริญวัยแล้วก็กลายเป็นนกอันสง่างาม ได้เป็นจ่าฝูงนก มีนกหลายร้อยเป็นบริวาร ฝูงนกต่างเชื่อฟังนกจ่าฝูงและออกโผบินออกหากินในป่าหิมพานต์
อย่างมีความสุขเป็นอันดี  “ พวกเจ้าจงออกไปหากินในบริเวณป่านี้ อย่าได้บินเข้าไปในป่าดงดิบลึกนะ เพราะในนั้นเต็มไปด้วยอันตรายมากมายเลยล่ะ พวกเจ้า
อาจจะมีภัยมาถึงตัวก็ได้ ”
 
นางนกจัณฑาลคิดจะปกปิดเรื่องข้าวเปลือกที่ตนได้บินมาเจอในสถานที่ต้องห้าม
 
นางนกจัณฑาลคิดจะปกปิดเรื่องข้าวเปลือกที่ตนได้บินมาเจอในสถานที่ต้องห้าม
 
       “ พวกหเราจะหากินอยู่บริเวณนี้ตามที่ท่านบอกแล้วกันนะ ” แต่ต่อมาไม่นานก็มีนางนกจัณฑาลตัวหนึ่งกลับไม่เชื่อคำแนะนำของนกจ่าฝูงออกบิน
เข้าไปสู่หนทางในดงดิบป่าลึกเพียงลำพัง นางนกจัณฑาลก็ได้พบกับเมล็ดข้าวเปลือกและถั่วที่ตกหล่อนบนทางกระจัดกระจายออกจากเกวียน
 
นางนกจัณฑาลได้บอกเล่าถึงสถานที่อันตรายและห้ามไม่ให้เพื่อนนกของตนไปที่นั่น
 
นางนกจัณฑาลได้บอกเล่าถึงสถานที่อันตรายและห้ามไม่ให้เพื่อนนกของตนไปที่นั่น

        ซึ่งชาวบ้านในที่นั้นใช้เป็นเส้นทางขนออกมาจากป่า “ โอ้โห ข้าวเปลือกเต็มไปหมดเลย แหมโชคดีนะเนี่ยที่มาตัวเดียว มิเสียแรงที่บินมาตั้งไกล จะกินให้
อิ่มแปล่ไปเลย ” ด้วยความโลภนางนกจัณฑาลจึงคิดที่จะปกปิดเหล่านกตัวอื่นมิให้ล่วงรู้ถึงแหล่งอาหารที่ตนบินมาพบ ครั้นเมื่อบินกลับไปยังฝูงนางนกจัณฑาล
จึงใช้โอวาทบอกนกทั้งฝูงว่า

นางนกจัณฑาลมีความสุขที่ตนสามารถหลอกเพื่อนนกไม่ให้ไปยังที่ตนได้ไปพบข้าวเปลือกได้
 
นางนกจัณฑาลมีความสุขที่ตนสามารถหลอกเพื่อนนกไม่ให้ไปยังที่ตนได้ไปพบข้าวเปลือกได้

       “ นี่ พวกเจ้าทั้งหลายขึ้นชื่อว่าทางใหญ่ในดงดึกเป็นทางที่มีภัยอันตราย มีช้าง ม้า และก็ยวดยานที่เทียมด้วยโคดุ ๆ ผ่านไปมามากมาย เจ้าอย่าได้เผลอบิน
เข้าไปเชียวนา ” “ เออ ท่านหัวหน้าข้าก็เตือนมาเหมือนกันขืนเข้าไปมีหวังโดนเหยียบแบนแต๊ดแต๊แน่ ๆ เลย ” “ นั่นนะสิ ” “ ถ้าพวกเจ้าไม่สามารถจะโผบินขึ้น
ได้อย่างรวดเร็ว ก็ไม่ควรไปในที่นั่นเด็ดขาดนะ จำเอาไว้ เดี๋ยวจะหาว่าข้าไม่เตือน ”

นางนกอนุสาสิกาได้บินมากินข้าวเปลือกยังทางเกวียนในป่าดงดิบ
 
นางนกอนุสาสิกาได้บินมากินข้าวเปลือกยังทางเกวียนในป่าดงดิบ
 
       “ ขอบใจเจ้ามากนะ รู้อย่างนี้พวกเราไม่มีใครกล้าไปหรอก ” บรรดานกในฝูงต่างก็หลงเชื่อคำลวงของนางนกจัณฑาล และพากันเรียกขานนกจัณฑาลนี้ว่า
แม่อนุสาสิกา ตั้งแต่นั้นมา “ ฮะฮะ ฮ่าฮ่า สำเร็จตามแผนเป็นไปอย่างที่คิดไว้ทุกประการ เรานี้ช่างหัวใสฉลาดดีแท้ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ”
 
พ่อค้าขับเกวียนแล่นผ่านมาอย่างรวดเร็ว
 
พ่อค้าขับเกวียนแล่นผ่านมาอย่างรวดเร็ว
 
     อยู่มาวันหนึ่งขณะที่นางนกอนุสาสิกากำลังจิกกินเมล็ดข้าวเปลือกบนทางใหญ่ในป่าดงดิบนั้น พลันก็ได้ยินเสียงเกวียนแล่นมาด้วยความเร็ว นางเหลียวมอง
แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะหลงคิดว่ายังอยู่ไกลออกไป จึงเกิดความชะล่าใจยังคงก้มหน้าก้มตาจิกกินเมล็ดข้าวเปลือกต่อไปอย่างเอร็ดอร่อย โดยไม่ได้ฉุกคิดสักนิด
ว่าอันตรายกำลังจะมาถึงตัว
 
นางนกอนุสาสิกากินข้าวเปลือกเพลินจนไม่ได้สนใจว่าเกวียนกำลังแล่นเข้ามาหาตนด้วยความเร็ว
 
นางนกอนุสาสิกากินข้าวเปลือกเพลินจนไม่ได้สนใจว่าเกวียนกำลังแล่นเข้ามาหาตนด้วยความเร็ว
 
       “ โอ๊ะ นึกว่าเสียงอะไร ที่แท้ก็เสียงเกวียนนี่เอง ยังอยู่อีกตั้งไกลกว่าจะมาถึง กินต่อดีกว่า อร่อย อื้อ อร่อยจริง ๆ มีความสุข ” ทันใดนั้นเองเกวียนที่แล่นมา
ด้วยความเร็วก็ถึงตัวนาง ด้วยความเร็วปานลมพัดนางไม่อาจโผ่บินขึ้นได้ทัน “ ห๊า ไม่ทันแล้ว โอ้ย ”
 
นางนกอนุสาสิกาถูกล้อเกวียนทับร่างขาดสองท่อนตายอย่างทรมาน
 
นางนกอนุสาสิกาถูกล้อเกวียนทับร่างขาดสองท่อนตายอย่างทรมาน
 
       อนิจจาล้อเกวียนก็ทับร่างของนางขาดเป็น สองท่อนตายอย่างน่าอนาจใจยิ่งนัก ผ่านไปหลายวันนกผู้เป็นจ่าฝูงก็เรียกประชุมฝูงนก แต่กลับไม่เห็นนางนกจัณฑาล
อนุสาสิกา ก็เกิดความกังวลใจ ก็ไต่ถามบรรดานกบริวารว่า “ พวกเจ้าตัวใดเห็นนางอนุสาสิกาบ้างไหม ” “ ข้าไม่เห็นนางมาสองสามวันแล้วนะท่านหัวหน้า ”
 
จ่าฝูงได้เรียกประชุมนกทั้งหมด
 
จ่าฝูงได้เรียกประชุมนกทั้งหมด
 
      “ ข้าก็ไม่เห็นเหมือนกัน” “ ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าจงช่วยกันค้นหานาง ใครเจอนางก็มาแจ้งเราที่นี่ ” “ ได้ครับท่านหัวหน้า ไปพวกเราออกตามหานางนกอนุสาสิกา
กันเถิด ” ฝูงนกบินเข้าไปในป่าลึกที่นางนกอนุสาสิกาบินเข้าไป ไม่ช้านานก็พบซากของนางแยกเป็นสองท่อน
 
บรรดานกทั้งหลายต่างพากันออกตามหานางนกอนุสาสิกา
 
บรรดานกทั้งหลายต่างพากันออกตามหานางนกอนุสาสิกา
 
       นอนตายอยู่ที่ทางใหญ่ แล้วก็พากันบินกลับมาแจ้งแก่นกจ่าฝูง “ พบแล้วท่านหัวหน้า พบนางนกอนุสาสิกาแล้ว นางนอนตายอยู่ที่ทางใหญ่ในป่าดงดึก
ร่างนี่ ขาดเป็นสองท่อนเลยท่านหัวหน้า ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นนกจ่าฝูงจึงกล่าวแก่นกทั้งฝูงว่า “ อนิจจานางนกสาลิกาตัวใดสั่งสอนนกตัวอื่นอยู่เนือง ๆ
 
ฝูงนกได้มาเจอซากของนางนกอนุสาสิกานอนตายอยู่บนทางเกวียน
 
ฝูงนกได้มาเจอซากของนางนกอนุสาสิกานอนตายอยู่บนทางเกวียน
 
       ตัวเองมีปกติเที่ยวไปด้วยความละโมบ นางนกสาลิกาตัวนั้นถูกล้อบดแล้ว มีปีกหักนอนอยู่ดังนี้ ” เมื่อองค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
แสดงพระธรรมเทศนาอสุสาสิกาชาดกแก่เหล่าภิกษุทั้งหลายในธรรมสภาแล้ว ก็ทรงประชุมชาดกว่า
 
บรรดานกทั้งหลายได้กลับไปแจ้ง<a href=http://www.dmc.tv/articles/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2.html title='ข่าว' target=_blank><font color=#333333>ข่าว</font></a>การตายของนางนกอนุสาสิกาแก่จ่าฝูงของพวกตน
 
บรรดานกทั้งหลายได้กลับไปแจ้งข่าวการตายของนางนกอนุสาสิกาแก่จ่าฝูงของพวกตน

      

 นางนกจัณฑาลอนุสาสิกาในครั้งนั้น ได้เกิดเป็นภิกษุณีผู้พร่ำสอน
ส่วนนกจ่าฝูง เสวยพระชาติเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล

ยายญฺญมนุสาสติ สยํ โลลุปฺปจารินี
สายัง วิปักขิกา เสติ หะตา จักเกนะ สาลิกา

นกสาลิกาตัวใด สั่งสอนนกตัวอื่นอยู่เนือง ๆ
ตัวเองมีปกติเที่ยวไปด้วยความละโมบ
นางนกสาลิกาตัวนั้นถูกล้อบดแล้ว มีปีกหักนอนอยู่

 
 
 
 




พิมพ์บทความนี้



บทความอื่นๆ ในหมวด

      ธัมมัทธชชาดก ชาดกว่าด้วยพูดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่ง
      เกฬิสีลชาดก ชาดกว่าด้วยปัญญาสำคัญกว่าร่างกาย
      ปานียชาดก ชาดกว่าด้วยการทำบาปแล้วรังเกียจบาปที่ทำ
      ชนสันธชาดก ชาดกว่าด้วยเหตุที่ทำจิตให้เดือดร้อน
      ฆตาสนชาดก ชาดกว่าด้วยภัยที่เกิดจากที่พึ่ง
      มหาสุวราชชาดก ชาดกว่าด้วยความพอเพียง
      ฌานโสธนชาดก ชาดกว่าด้วยสุขเกิดจากสมาบัติ
      สุนักขชาดก ชาดกว่าด้วยผู้ฉลาดย่อมช่วยตัวเองได้
      สังวรมหาราชชาดก ชาดกว่าด้วยพระราชาผู้มีศีลาจารวัตรที่ดีงาม
      อสัมปทานชาดก ชาดกว่าด้วยการไม่รับของทำให้เกิดการแตกร้าว
      สัจจังกิรชาดก ชาดกว่าด้วยไม้ลอยน้ำดีกว่าคนอกตัญญู
      สัมโมทมานชาดก ชาดกว่าด้วยพินาศเพราะทะเลาะกัน
      อภิณหชาดก ชาดกว่าด้วยการเห็นกันบ่อยๆ