จากตอนที่แล้ว มโหสถกุมารได้เห็นพวกช่างขึงเชือกไม่ถูกแบบที่ตนต้องการ จึงบอกให้นายช่างขึงใหม่ เมื่อเห็นว่าพวกช่างไม่สามารถขึงเชือกตามแบบที่ตนต้องการได้จริงๆ จึงรับเอาเชือกมาขึงเสียเอง แล้วก็บอกนายช่างว่า ให้ขึงแบบนี้
นับแต่นั้นมา มโหสถกุมารจึงเป็นผู้วางแผนงาน และคอยควบคุมการก่อสร้างด้วยตนเอง โดยจัดสรรไว้เป็นส่วนๆ แบ่งเป็นห้องสำหรับคนยากไร้ ห้องสำหรับนักบวชที่เดินทางไกล ห้องพักคนเดินทาง ห้องเก็บสินค้าของพวกพ่อค้า รวมถึงห้องทำคลอด

เมื่อถึงกาลอันเหมาะสม มโหสถบัณฑิตยังได้ทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แจงข้ออรรถข้อธรรม ชักนำมหาชนที่มาพักค้างให้ตั้งอยู่ในกองการกุศล แนะนำในสิ่งที่ควรทำ และไม่ควรทำ หมู่ชนที่ได้สดับรสอรรถรสธรรม ต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ ให้ความเคารพ นบนอบ บูชา
ส่วนพระเจ้าวิเทหราช นับแต่วันที่ได้สดับคำทำนายพระสุบินนิมิต พระองค์ก็ได้ปรารภถึงบัณฑิตน้อยผู้นั้นกับท่านเสนกะอยู่บ่อยครั้ง แม้เวลาจะล่วงเลยมาถึง ๗ ปีแล้ว ก็ยังทรงคิดคำนึงถึง และเฝ้ารอคอยการมาสู่ราชสำนักของมหาบัณฑิตในฝันอยู่ตลอดเวลา แล้ววันหนึ่งพระองค์ก็ทรงมีพระดำรัสกับท่านเสนกะว่า “ท่านอาจารย์ นับจากวันที่ท่านได้ทำนายสุบินนิมิตให้แก่เรา จนถึงบัดนี้ก็ ๗ ปีแล้ว ถ้าถือเอาวันนั้นเป็นวันเกิดของบัณฑิตน้อย ป่านฉะนี้เขาก็คงเจริญวัยได้ ๗ ปีแล้ว ก็น่าจะปรากฏแววแห่งความเฉลียวฉลาดมาบ้างเป็นแน่ เห็นทีเราจักต้องให้อำมาตย์ออกไปเที่ยวสืบเสาะดูให้รู้แน่ชัด ท่านจะเห็นเป็นประการใด”
อาจารย์เสนกะเห็นชัดว่าพระราชาทรงใฝ่พระหฤทัยในเรื่องบัณฑิตน้อยมาก จึงปรารถนาจะให้ถูกพระอัธยาศัยของพระองค์ จึงรีบกราบทูลคล้อยตามพระดำรัสว่า “ข้าแต่มหาราช นั่นเป็นพระดำริอันชอบยิ่งแล้วพระเจ้าข้า”
“ดีละ ท่านเสนกะ ถ้าเช่นนั้นเราจักสั่งให้อำมาตย์ไปสืบดูให้ทั่วนคร” รับสั่งพลางเรียกอำมาตย์ ๔ คนมาเฝ้า แล้วตรัสสั่งให้แยกย้ายกันออกไปสืบหาให้ทั่วทั้ง ๔ ทิศ

เขาจึงเริ่มไต่ถามมหาชน จนได้ความว่า มโหสถกุมาร บุตรสิริวัฒกเศรษฐี บัณฑิตน้อยแห่งบ้านปาจีนยวมัชฌคาม เป็นผู้อำนวยการก่อสร้าง
ยิ่งได้ฟังเสียงร่ำลือถึงกุมารผู้ปรีชาสามารถแล้ว กอปรกับวัยของกุมารก็มาพ้องตรงกันกับพระสุบินนิมิต ก็ยิ่งทำให้เกิดความมั่นใจว่า “มโหสถกุมารผู้นี้ เห็นทีว่าจะต้องเป็นบัณฑิตที่พระราชาทรงมีพระราชดำรัสให้สืบหาเป็นแน่”

ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราช ครั้นทรงสดับคำกราบทูลของทูตแล้ว ก็ทรงปราโมทย์ยิ่งนัก พระพักตร์สดชื่นราวกับได้ทรงเสวยทิพยสุธาโภชน์อันเอมโอษฐ์
จึงตรัสเรียกท่านเสนกะมาเฝ้า รับสั่งว่า “เป็นอย่างไรเล่าท่านอาจารย์ ก็อำมาตย์เขามารายงานเช่นนี้ ท่านอาจารย์เห็นว่าเราควรจะนำบัณฑิตน้อยนั้นมาได้หรือยัง”
ท่านเสนกะเพิ่งจะได้ทราบข่าวนั้น ก็ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่า “โอ นี่หรือ ที่ควรจะเรียกว่าเป็นข่าวดี ก็แน่ละอาจเป็นข่าวดีสำหรับพระองค์ แต่สำหรับเราแล้ว สมควรจะเรียกว่าเป็นข่าวร้ายมากกว่า”
พระราชาทรงเห็นท่านเสนกะนิ่งเงียบไป ก็เข้าพระทัยว่าท่านอำมาตย์คงตรวจดูด้วยพยากรณ์ศาสตร์ จึงทรงยับยั้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตรัสถามซ้ำเป็นครั้งที่สอง

อาจารย์เสนกะไม่ปรารถนาให้พระราชาตรัสถามเป็นครั้งที่ ๓ จึงรีบกราบทูลในขณะนั้นว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้สมมุติเทพ เพียงแค่กุมารนี้สามารถสร้างศาลาได้ใหญ่โต ยังหาอัศจรรย์ไม่ บุคคลจะเป็นบัณฑิตเพียงเพราะการสร้างศาลา ข้อนี้ช่างเล็กน้อย ดูไม่สมแก่เหตุเลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำของท่านเสนกะแล้ว ก็เห็นพ้องว่า หากพระองค์จะอาศัยเหตุเพียงเล็กน้อยเช่นนี้ แล้วนำกุมารน้อยเข้ามาสู่ราชสำนัก ในฐานะราชบัณฑิตก็ดูกระไรอยู่ ยังมีข้อที่ไม่เหมาะสมอยู่บ้าง อีกประการหนึ่ง ท่านอาจารย์เสนกะผู้พยากรณ์เรื่องนี้มาแต่ต้นก็ยังมากล่าวคัดค้านเช่นนี้ สมควรที่พระองค์จะทรงรับฟังคำของท่านเสนกะไว้ก่อน แต่เพราะเหตุที่ทรงใฝ่หายอดบัณฑิตนี้มานานถึง ๗ ปี จึงยากยิ่งที่จะทรงตัดพระหฤทัยได้ในทันที จึงทรงนิ่งครุ่นคิดอยู่

พระราชาทรงสดับคำของท่านอาจารย์เสนกะแล้ว ก็ทรงพอพระหฤทัย จึงมีพระดำรัสให้ทูตที่มากราบทูลไปแจ้งแก่อำมาตย์ผู้นั้นว่า “ขอให้ท่านอำมาตย์จงรออยู่ที่บ้านปาจีนยวมัชฌคามนั้นต่อไป และหากมีเหตุการณ์ใดที่เนื่องกับบัณฑิตผู้นั้น ก็จงนำความมากราบทูลเราทันที จนกว่าเราจะมั่นใจว่า มโหสถกุมารคือบัณฑิตที่เราตามหา เมื่อนั้นท่านจึงค่อยเดินทางกลับ”
ทูตนั้นเมื่อรับพระบรมราชโองการแล้ว ก็รีบนำพระราชสาสน์ไปแจ้งแก่อำมาตย์ผู้นั้นในทันที ดังนั้น มโหสถกุมารจึงอยู่ในการสอดแนมของพระราชาตลอดเวลา แต่เหตุการณ์เบื้องหน้าจะเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)