ชาดก 500 ชาติ
พันธนโมกขชาดก-ชาดกว่าด้วยการหลุดพ้นจากเครื่องผูกมัด

		เหล่าภิกษุในพุทธกาลสมัย
	
		        ในพุทธกาลสมัยนั้น ยังมีสตรีที่มีคุณยิ่งต่อการกำเนิดเป็นพุทธะ อันแปลว่ารู้ สิริมหามายา ปชาบดี ยโสธรา พิมพา หรือวิสาขา ล้วนเป็นที่บูชานับเนื่องมากว่า 2,500 ปี
	
		แต่ยังมีอีกสตรีหนึ่งที่ชาวพุทธเราเชื่อกันว่าแม้วันนี้นางยังตกนรกหมกไหม้อยู่ หญิงนางนี้ก่อบาปมหันต์ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
	
		พระแม่ธรณีได้สูบร่างของนางจิญจมาณวิกาลงสู่โลกันต์
	
		       จิญจมาณวิกานางนี้ เคยบังอาจกล่าวอ้างยกความสัมพันธ์เป็นเท็จ ใส่ร้ายพระพุทธองค์ต่อหน้าพุทธบริษัท แล้ว ณ เวลานั้น จิญจมาณวิกาก็ลงโลกันต์ ตกนรก
	
		ด้วยพระแม่ธรณีสูบหายไปจากโลกมนุษย์ เหลือไว้แต่มหันตบาปที่ก่อไว้ เป็นข้อปรารภเตือนสติสืบมาแต่นั้น
	
		นางจิญจมาณวิกาถูกทรมานอย่างแสนสาหัสในโลกันต์นรก
	
		       “ โอ้ย โอ้ยร้อน ร้อน ร้อนเหลือเกิน โอ้ย ร้อย ร้อนมากเลย ” ดังในพระธรรมเทศนาครั้งหนึ่ง ณ พระเชตวันมหาวิหาร กลางสังฆมณฑลคราวนั้น
	
		สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภนางบาปผู้นี้เป็นข้อธรรมขึ้นด้วย พันธนโมกขชาดก ดังนี้ 
	
		พระเชตวันมหาวิหาร
	
		       อดีตกาลอันไกลออกไป ยังมีอัครเหสีผู้สมบูรณ์พร้อมในอิตถีลักษณ์ ชวนหลงไหล บำรุงบำเรอสุขแก่พระเจ้ากาสี อยู่ในพาราณสีนครหลวง “ หญิงสวยอย่างเรา
	
		แม้แต่พระเจ้ากาสีก็ยังหลงไหล ฮึ แล้วมีรึ ชายหนุ่มอื่นใดจะไม่ต้องการ ”
	
		พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภนางบาปขึ้นด้วยหัวข้อธรรมด้วย พันธนโมกขชาดก
	
		       เมื่อถึงคราวสวามีผู้เฒ่าจะต้องออกทัพไปปราบกบฏยังปัจจันตคามห่างไกล ก็ถูกนางนั้นบังคับมิให้ข้องแวะสตรีอื่น “ แหม พี่จะมีใจให้กับหญิงอื่นได้อย่างไรกัน
	
		ในเมื่อพี่มีอัครมเหสีที่สวยงามอย่างเจ้าอยู่แล้ว รอพี่อยู่ที่วังเถอะน้องหญิง อย่าวุ่นวายใจไปเลย พี่นี้รักเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ”
	
		อัครมเหสีแห่งพระเจ้ากาสีผู้มีสิริโฉมงดงาม
	
		      อัครมเหสีขอให้พระเจ้ากาสีพระสวามี บอกกล่าวรายงานทุกข์สุขมาเป็นระยะ มิให้ขาด “ เสด็จพี่ต้องส่งทหารนำสารส่งข่าวมาทุกระยะ 1 โยชน์นะเพค่ะ หม่อมฉัน
	
		จึงจะคลายคิดถึงพระองค์ได้บ้าง ” “ จ๊ะ จ๊ะ จ๊ะ พี่จะส่งม้าเร็วกลับมาทั้งขาไปและขากลับทุก ๆ โยชน์ ตามที่น้องต้องการเลยล่ะจ๊ะ ” 
	
		พระเจ้ากาสีผู้ปกครองเมืองพาราณสี
	
			       ครั้นได้เวลาเมื่อโยธาทัพรอพร้อมอยู่นอกกำแพงพระนคร และทรงฝากราชกิจต่าง ๆ ให้ปุโรหิตหนุ่มดูแลต่างพระเนตรพระกรรณ์แล้ว พระเจ้ากรุงพาราณสีก็อำลามเหสี
		
			ไปศึกด้วยความอาลัย “ รักษาพระวรกายด้วยนะเพค่ะ น้องจะรอเสด็จพี่กลับมา….ฮึ ๆ ไปให้นาน ๆ เลยนะ คราวนี้ก็จะถึงเวลาที่เราจะมีความสุขอย่างเต็มที่สะที ”
		
				พระเจ้ากาสีได้ร่ำลาอัครมเหสีไปปราบกบฏยังปัจจันตคามด้วยความอาลัย
		
		       ปุโรหิตหนุ่มผู้สำเร็จราชการเป็นบัณฑิตรักษาทาน ศีลภาวนาอยู่เนืองนิตย์ รู้จิตสตรีเช่นมเหสี ด้วยญาณสัมผัสก็ปลีกตัวออกห่าง มิข้องแวะข้องราชการด้วย
	
		“ ใจหญิงนี่ ยากแท้จะหยั่งถึง ทางที่ดีเราควรอยู่ห่างจากอัครมเหสีไว้เป็นดี ” 
	
		อัครมเหสีทรงกำชับพระเจ้ากาสีให้ส่งม้าเร็วกลับมาแจ้งข่าวในทุกๆ 1 โยชน์
	
		       2 ราตรีผ่านไปพระราชาเดินทัพได้ครบทางไกล 1 โยชน์ ก็ส่งม้าเร็วนำข่าวมาส่งแก่อัครมเหสีตามนัดหมาย “ อิจฉาพระเจ้ากาสีจริง ๆ ที่อัครมเหสี
	
		ที่ทั้งสวยและสาวอย่างนั้น ดีใจจริง ๆ ที่ครั้งนี้เราจะได้มีโอกาสทอดพระเนตรพระนางใกล้ ๆ อย่างนี้ ”
	
		กองทัพในเมืองพาราณสีเตรีอมพร้อมในการออกเดินทางไปยังปัจจันตคาม
	
		       เมื่อถึงวังทหารผู้นำสารก็รีบเข้าเฝ้าอัครมเหสี “ ทุกข์สุขของมหาราชตรัสให้กระหม่อมถวายให้ถึงพระหัตถ์มเหสี ขอถวายสารนี้พะยะค่ะ ” “ ดีแล้วละ ถ้าอย่างนั้น
	
		เจ้าก็ตามเราแล้วกัน เราไม่สะดวกจะรับสารที่นี่ มาสิจ๊ะ เข้ามาข้างในห้องโน่นเถอะ ”
	
		อัครมเหสีและปุโรหิตได้เดินทางมาส่งกองทัพที่กำลังเดินทางไปยังปัจจันตคาม
	
		       “ โอ๊ะ นี่เราจะมีวาสนาถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่ ไม่ไปก็โง่แล้ว ” ความจริงก็คือ การให้ทหารกลับมาส่งข่าวเป็นเพียงแผนการความต้องการล่วงละเมิดข้อกาเม
	
		ของอัครมเหสีนั่นเอง “ คลังกรมกองของเจ้าไปได้แล้วล่ะ เจ้าหมดหน้าที่แล้ว และหากไม่อยากตายก็จงหุบปากให้เงียบไว้ ” 
	 
    
		ปุโรหิตหนุ่มผู้ได้รับหน้าที่ให้ดูแลราชการบ้านเมืองจากพระเจ้ากาสี
	
		       “ ผู้หญิงอะไร ได้แล้วก็ไล่กลับ ช่างน่ากลัวจริง ๆ ” ในทุก ๆ โยชน์ที่ทัพกษัตริย์เดินทางไป ก็จะมีผู้ชายล่ำสันมาเป็นเหยื่อแก่พระมเหสี 1 คน “ กลับไปได้แล้วละ
	
		แล้วอย่าปากโป้งล่ะ ไม่งั้นหัวเจ้าไม่ได้วางอยู่บนบ่าเหมือนเดิมแน่ ๆ ”
	
		ม้าเร็วได้นำข่าวสารจากพระเจ้ากาสีมาส่งยังเมืองพาราณสีในทุก ๆ 1 โยชน์
	
		       “…มีความสุขจังเลย ผ่านมาตั้ง 32 คนแล้วสินะ นี่ถ้าพระเจ้ากาสีไปนาน ๆ แบบนี้ก็ดีสินะ ช่วยไม่ได้ผู้หญิงสาวสวยอย่างเราให้มีความสุขอยู่แค่ผู้ชายแก่ ๆ ได้ยังไงกัน ”
	
		พระเจ้ากรุงพาราณสีเมื่อทรงปราบกบฏได้ชัยชนะแล้วก็เสด็จกลับพระนคร
	
		ม้าเร็วได้นำข่าวสารจากพระเจ้ากาสีมาส่งยังอัครมเหสี
	
		       และในระหว่างทางกลับทัพนั้นพระองค์ก็ทรงส่งทหารไปส่งสารให้อัครมเหสีดังเดิมเหมือนตอนขาไป “ ทหารสื่อสาร เจ้าจงนำความรักของเราในขากลับ 1 โยชน์แรก
	
		ไปส่งแก่ยอดดวงใจของเราด้วย อย่าช้าละ เดี๋ยวนางจะคิดถึงเราจนขาดใจสะก่อน ”
	
		อัครมเหสีบังคับให้ม้าเร็วทุกคนที่มาส่งข่าวปรนเปรอความสุขแก่แก่ตนก่อนที่จะถูกส่งกลับไป
	
		       เมื่อราชสารแสดงความรักมาถึง พระมเหสีผู้มักมากกามคุณก็เริ่มนับระยะทางกลับเช่นเดียวกับที่กระทำไปแล้ว “ รีบเข้ามาเร็วเข้า หากขัดขืนข้าจะทูลเท็จว่า
	
		เจ้าปลุกปล้ำทำร้ายร่างกายเรา ” “ โอ้ ถึงตายเชียวนะ พะยะค่ะ ” อีก 32 คนอันเป็นระยะทางโยชน์สุดท้ายผ่านไป
	
		ม้าเร็วทุกคนถูกสั่งให้ปิดบังความลับในเรื่องการผิลศีลธรรมของอัครมเหสี
	
			       ข่าวการกลับมาของพระราชาก็แพร่ออกไป “ หมดกัน ผู้ชายคนที่ 64 เป็นคนสุดท้ายของเราแล้วหรือนี่ โห้ แย่จริง ๆ เนี่ยจะหมดเวลาแห่งความสุขของเราแล้วเหรอ
		
			เมื่อไหร่กันนะที่พระเจ้ากาสีจะออกไปทำศึกสงครามอีก ” ในวันที่ต้องตกแต่งปราสาทเป็นพระราชนิเวศน์รอรับเสด็จนั้น
		
		พระเจ้ากาสีเตรียมสารส่งให้ม้าเร็วในระยะทาง 1 โยชน์สุดท้ายในขากลับ
	
			       ปุโรหิตหนุ่มต้องเข้าไปตรวจตราความเรียบร้อย “ ปุโรหิต เข้ามารับใช้เราสักเรื่องหนึ่งเถอะ มาสิ เข้ามาข้างในนี้หน่อย อือหือ ทหารทั้ง 64 นาย จะหารูปงามล่ำสัน
		
			สู้ท่านสักคนไม่ได้ รีบเข้ามาเถอะ ก่อนที่พระสวามีของเราจะมาถึง ” “ หยุดก่อนพระเทวี หม่อมฉันไม่อาจทำตามพระประสงค์ของพระเทวีได้หรอก
	
		ม้าเร็วคนที่ 64 คนสุดท้ายที่อักครมเหสีบังคับให้ปรนเปรอความสุขแก่ตน
	
			       ทหารทั้ง 64 นายนั้น อาจจะกลัวพระนาง แต่พวกเขาช่างไม่กลัวอกุศลกรรมเลย ” “ เจ้าพูดอย่างนี้แสดงว่าเจ้าไม่กลัวเราอย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นก็ลองดู หากเจ้า
		
			ไม่ทำตามความประสงค์ของเรา เราก็จะให้พระเจ้ากาสีตัดหัวเจ้าเสีย ” “ กระหม่อมไม่ยอมทำผิด แม้ว่าจะถูกตัดหัวก็เพียงชาติเดียว
	
		ปุโรหิตหนุ่มได้เข้ามาตรวจตราความเรียบร้อยภายในพระราชวัง
	
			       ดีกว่าก่อกรรมแล้วถูกตัดหัวชดใช้ไปพันชาติ ” “ เจ้าปุโรหิตโง่ บังอาจมาปฏิเสธหญิงงามอย่างเรา ดีละ แล้วเจ้าจะรู้พิษสงของเราบ้าง ”อัครมเหสีโกรธมาก
		
			เมื่อถูกขัดใจ พระนางกรีดร้องแล้วโผเข้าฝากรอยเล็บไว้บนร่างกายของปุโรหิตคนดี ก่อนปล่อยให้กลับไป
	
		อัครมเหสีได้ยั่วยวนปุโรหิตให้ปรนเปรอความสุขให้แก่นาง
	
			       และเมื่อพระเจ้ากาสีกลับมายังพระที่บรรทม ความเท็จเพ็จทูลก็พรั่งพรูออกมา พร้อมน้ำตาของนางผู้งดงาม “ เสด็จพี่ กลับมาก็ดีแล้วเพค่ะ เจ้าปุโรหิตนั่น มันทำร้ายน้อง
		
			มันย่ำยีน้อง ฮือ ๆ ๆ ” “ บังอาจมากเจ้าปุโรหิตตัวดี ข้าอุตส่าห์ไว้ใจ มันบังอาจมาทำลายดวงใจของข้าเพียงนี้เชียวรึ
		
		อัครมเหสีได้ทูลความเท็จต่อพระเจ้ากาสีว่าปุโรหิตปลุกปล้ำทำร้ายนาง
	
			       ทหารนำตัวมันมาเดี๋ยวนี้ ข้าจะตัดหัวมันเอง ” ดังกล่าวไว้ ปุโรหิตหนุ่มนั้นเป็นบัณฑิตตระกูลพราหมณ์โสตถิยอันซื่อสัตย์คู่พระราชวงศ์ เมื่อยกข้อนี้ขึ้นถวาย
			
		
			พระสติความคับขันชีวิตก็บรรเทาลง “ ในเมื่อเจ้าเป็นผู้อยู่ในศีลธรรม หากเจ้าไม่ได้เป็นผู้ผิด 
	
		ปุโรหิตถูจับตัวมาสอบสวนโดยพระเจ้ากาสี
	
			       ฉะนั้นเจ้าจงกล่าวมาว่าอัครมเหสีของเราผิดอย่างไร ” “ ข้าพระองค์ เราไม่อาจตามพระทัยนางผู้ประพฤติกามเป็นนิจได้ จึงต้องมัวหมองดังนี้ ขอสมมุติเทพ
			
		
			โปรดสอบถามความจริงต่อทหารสื่อสารทั้ง 64 คน ที่ส่งมาหาพระมเหสีเถิด ”
		
		อัครมเหสีต้องโทษประหารแต่ปุโรหิตก็ไม่เอาโทษแก่นาง
	
			       แล้วการไต่สวนดำเนินขึ้น เมื่อจบสิ้นปากคำของชายฉกรรจ์ทั้ง 64 คน ที่ยอมสารภาพตรงกัน พระมเหสีผู้ร้อนแรงก็มิอาจปฏิเสธได้ โทษนางนั้นถึงขั้นประหารชีวิต
“ ขอทรงโปรดอภัยโทษให้แก่พระนาง เป็นกุศลแก่ข้าพระองค์เถิดพระเจ้าค่ะ เพราะสตรีมีสภาธรรมให้กำเนิดบุตรย่อมไม่เมถุนเป็นธรรมดา ”
	“ ขอทรงโปรดอภัยโทษให้แก่พระนาง เป็นกุศลแก่ข้าพระองค์เถิดพระเจ้าค่ะ เพราะสตรีมีสภาธรรมให้กำเนิดบุตรย่อมไม่เมถุนเป็นธรรมดา ”

		อัครมเหสีถูกลงโทษโดยการปลดพระยศเป็นสามัญชน
	
			      “ ปุโรหิตบัณฑิตแห่งเราไม่เอาโทษประหารแก่นางผู้นี้ก็จริง แต่จะงดโทษทั้งหมดเหมือนอภัยโทษแก่เจ้าทั้ง 64 คนนั้นคงมิได้ ” พระมเหสีในรัชกาลนั้นถูกปลดพระยศเป็นสามัญ
			
		
			ส่วนทหารทั้งปวงได้คืนกรมกองกินเบี้ยหวัดต่อไป สำหรับปุโรหิตบัณฑิตหนุ่มนั้น เบื่อหน่ายต่อชีวิตฆารวาส จึงออกบวชถือเพศบรรพชิตอำลาราชสำนักพาราณสีมุ่งสู่ป่าหิมวันต์
	
							ปุโรหิตได้ออกบวชถือเพศบรรพชิดและมุ่งหน้าไปยังป่าหิมวันต์
						
							       “ ขอจงสำเร็จในญาณสู่พรหมโลกเถิดท่านบัณฑิต ” ในพระชาตินั้นบัณฑิตโพธิสัตว์บำเพ็ญเพียรสั่งสมพระบารมีเพื่อการตรัสรู้ในอนาคตกาล อยู่ในสับปายะสถานอันสงบ
							
						
							จนถึงในญาณสมาบัติ
					
						ปุโรหิตได้บำเพ็ญเพียรจนได้ญาณสมาบัติถึงกาลก็กลับสู่ปรโลกดังที่ปวารณาไว้
					
							       ถึงกาละแล้วก็สู่ปรโลกดังปวารณา ถึงพระพุทธกาลสมัยทรงประชุมชาดกว่า
						
																										พระมเหสี กำเนิดเป็น นางจิญจมาณวิกา
																									
																										พระเจ้าพาราณสี กำเนิดเป็น พระอานนท์
																									
																										ปุโรหิต เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า
																									











