ชาดก 500 ชาติ
สัมโมทมานชาดก-ชาดกว่าด้วยพินาศเพราะทะเลาะกัน

ระหว่างกบิลพัสดุ์อันเป็นนครของพระราชบิดากับเทวทหะนครของพระราชมารดา อาณาเขตของนครเทวทหะและนครกบิลพัสดุ์
นี้ช่วงหนึ่งถูกแบ่งกั้นไว้ด้วยลำธารเล็ก ๆ ที่แยกมาจากแม่น้ำโรหิณีเท่านั้น

“ ก็เผือกมันเช่นเคยละเพื่อนเอ้ย แล้วเจ้าล่ะ ” “ วันนี้โชคดี หาปลาได้เยอะเลยหล่ะ ” จนกระทั่งมีอาเพศเหตุร้ายเกิดขึ้น

เริ่มล้มป่วยด้วยการขาดน้ำ ชาวเมืองสองฝั่งลำธารก็พากันมารอตักน้ำที่เหลือน้อยนิดนั้นไปดื่มกินอย่างกระเบียดกระเสียร

เดี๋ยวพี่ตักอีกโอ่งหนึ่งเต็มแล้วจะไปช่วยยกนะ ” เป็นธรรมดาของโลกเมื่อสิ่งใดมีน้อยแต่เป็นที่ต้องการของคนจำนวนมาก การแก่งแย่งย่อมเกิดขึ้น

ไปใช้ฝ่ายเดียวอย่านี้พวกเราก็แย่ ” “ อย่างนี้ยอมไม่ได้นะพวกเรา เอ้า รื้อไอ้ฝายกั้นน้ำออกเดี๋ยวนี้ ” “ แน่จริงก็ข้ามมารื้อสิ พ่อจะล่อให้น่วมเลย ”

เหตุการณ์ทำท่าจะลุกลามเป็นเรื่องใหญ่ ผู้นำชาวบ้านทั้งฝ่ายเทวทหะและฝ่ายกบิลพัสดุ์จึงเปิดเจรจากันแต่ก็ดูจะไม่มีอะไรดีขึ้น

“ ทำไมข้าจะไม่กล้าราชาของแกมีอะไรดีงั้นรึ ” “ อย่าลบหลู่กษัตริย์ข้านะโว้ย กษัตริย์กบิลพัสดุ์ของเจ้าก็ไม่ดีสักเท่าไหร่เหมือนกัน ”

“ เจ้าก็โง่เหมือนกันนั่นแหละ ” “ เจ้านั่นแหละโง่ ” ชาวนครทั้งสองถึงกับข้ามแม่น้ำมาลงไม้ลงมือต่อสู้กันอยู่หลายวันกัน

เมื่ออำมาตย์ทั้งสองเมืองได้มาเจรจากัน แต่ไม่ลดราความถือดีในตนเองลงจึงไม่สามารถตกลงกันได้โดยสันติเหมือนเดิม

มากกว่า เราก็ต้องได้ใช้น้ำก่อน เมื่อพวกเราได้น้ำจนพอใจแล้ว จึงจะยอมรื้อฝายกั้นน้ำออกให้เองแหละ ” “ ท่านจะพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก

ให้เสียเวลาเหมือนกัน ” คนระดับบริหารทั้งสองปรองดองกันไม่ได้ เมื่อไม่สมความตั้งใจพวกเขาเกือบชักอาวุธประหารกันในตอนนั้น

น่าจะสมศักดิ์ศรีกว่านี้นะ ” “ ได้ รบกันไปเลยจะได้รู้ดำรู้แดงกันสะที ” ในที่สุดเรื่องแบ่งน้ำกันใช้ก็กลายเป็นศึกใหญ่ที่มีศักดิ์ศรีเป็นเดิมพัน

เคลื่อนทัพเราจะให้ชาวกบิลพัสดุ์สำนึกผิดขอขมาเราให้ได้ ” และแล้วเรื่องไม่น่าจะเกิดก็บังเกิด ณ บัดนั้นชายแดนกบิลพัสดุ์ก็เต็มไปด้วยพยุหพลไกร

อันเป็นพรมแดนคือทัพกระบิลพัสดุ์พระประยูรญาติฝ่ายพระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาของพระพุทธองค์เช่นกัน “ เราให้โอกาสสุดท้ายแก่ท่าน
ก่อนตะวันตรงหัวให้พากันกลับไปให้หมดเพราะหลังจากเวลานั้นท่านจะโดนทัพกบิลพัสดุ์ขยี้ไม่เหลือซากแน่ ”

และกันว่าแย่งน้ำในลำธารไปใช้ พระพุทธองค์จึงตรัสถามให้สติ “ ดูก่อนมหาบพิธระหว่างน้ำกับเลือดสิ่งไหนมีค่ามากกว่ากัน ” “ เลือดมีค่ามากกว่าน้ำ
พระพุทธเจ้าค่ะ ” “ เป็นดังนั้นมหาบพิธ โดยเฉพาะเป็นเลือดพระประยูรญาติกันเองด้วยแล้ว ไฉนต้องมาหลั่งรินแลกกับน้ำด้วยเล่า

แก่ศัตรูได้ แต่ครั้นทะเลาะเบาะแว้งกันความพินาศวอดวายก็มาถึง ” สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสนุสติญาณ
ตรัสเล่าสัมโมทมานชาดก ดังนี้

ท่องเที่ยวหากินอยู่ในป่านี้อย่างผาสุขตลอดมา “ ผู้นำเรานี่เท่จริง ๆ เลย สง่างามเป็นที่สุด ” “ ใช่ ใช่ ใช่ ท่านเก่งแล้วก็ฉลาดมากด้วย เชื่อท่าน
ก็จะปลอดภัยนะเธอ ” “ พวกเจ้าจงหากินอย่างระมัดระวังตัวไว้ด้วย

กับนกกระจาบฝูงนี้เข้า “ ฮะฮ่า แจ่มไปเลย จับไปขายเป็นเดือน ๆ ก็ไม่หมด สบายข้าล่ะ ” นายพรานจัดเตรียมหาลานกว้างเหมาะ ๆ

ขึงตาข่ายแล้วโปรยเมล็ดพืชล่อไว้บนพื้นแล้วซ่อนตัวหลังต้นไม้ จากนั้นก็เป่าปากเลียนเสียงนกกระจาบลวงให้หมู่นกเชื่อสนิทใจ พรานนก
ผู้มีความอดทนสูงรอคอยเวลาได้ครั้งละนาน ๆ กว่าที่นกบนต้นไม้จะหลงกลคิดว่ามีนกพวกเดียวกันร้องเรียกให้ลงมากินอาหาร “ อุ๊ย ลงมาจ้า
บินลงมากินกันเยอะๆ เออ ๆ อย่างนั้น ๆ เลย ”

แล้วเหล่าฝูงนกกระจาบก็หลงกลพรานป่าต่างแห่กันลงมาจากต้นไม้จิกกินเมล็ดพืชอย่างมีความสุข ทันทีที่นกกระจาบพากันลงมารวมกัน
ที่พื้นตามต้องการพรานก็ปล่อยตาข่ายลงมาอย่างรวดเร็ว “ โอ๊ะ อะไรนี่ ” “ เราโดนตาข่าย ” หลังจากวันนั้นนายพรานก็มาดักจับนกไปได้ทุกวัน
เมื่อรู้ข่าวนี้ก็พยายามหาทางช่วยบริวารของตนอย่างเร่งรีบ วันหนึ่งก็คิดหาวิธีออกจึงเรียกประชุมใหญ่ฝูงนกกระจาบทั้งป่า “ จำไว้ให้ดีนะ

พร้อม ๆ กัน เอาตาข่ายไปทิ้งบนยอดไม้สูง เมื่อทำตามแผนนี้แล้ว พวกเธอก็จะปลดตัวเองลงมาอย่างเป็นอิสระโดยง่าย ” วันต่อ ๆ มาเมื่อพรานนก

หนึ่ง สอง สาม ” “ เฮ้ย เย้ ๆ ๆ มันเริ่มขึ้นแล้ว ดีใจจัง ” “ รอดแน่ ๆ พวกเรา ช่วยกันเร็ว เฮ ” ระยะหลัง ๆ นายพรานเลยจับนกไม่ได้แม้สักตัวเดียว

ยังคงนำตาข่ายมาวางกับดักล่อไว้เหมือนเคย “ สักวันหนึ่งพวกแกก็ต้องทะเลาะกัน เมื่อนั้นแหละนกเอ๋ย แกต้องแตกสามัคคีไม่มีปัญญา

ไม่มีสัมมาคารวะไม่รู้จักอาวุโสบินมาเหยียบหัวพี่ได้ไง แถมยังไม่ขอโทษอีก ” “ แค่นี้ต้องขอโทษด้วยเหรอ ก็ตาข้าไม่ได้อยู่ตรงเท้า

ก็เริ่มแบ่งฝ่ายตั้งป้อมจับผิดกันและกัน ความหายนะเริ่มก่อรูปร่างขึ้นแล้วบนความไม่สบายใจของพญานกซึ่งพยายามไกล่เกลี่ยให้รอมชอม

ในป่านี้เหมือนกันก็ย่อมมีสิทธิ์อยู่ต้นไม้ต้นไหนก็ได้ ” “ เถียงคำไม่ตกฟากเชียวนะ ” “ ท่านนั้นแหละ ปากว่าตาขยิบ ” “ ปากว่าตาขยิบ มันเกี่ยวได้ไง

ก็ให้อภัยกันเถอะ ” “ ไม่ได้หรอกพญานกของอย่างนี้มันเกี่ยวกับศักดิ์ศรียอมไม่ได้ ” “ เราก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน ”

ความปลอดภัย ต่อไปความพินาศจะเกิดแก่นกทั้งหลายเป็นแน่ “ วันหน้ายังไงก็ชั่งเถอะ แต่วันนี้ข้าต้องเอาเลือดหัวเจ้านกซ่านี่ออกให้ได้ ”

ที่เชื่อฟังแยกฝูงจากไปที่อื่น “ ไปกับพญานกดีกว่าอยู่นี่ไม่ปลอดภัยแน่ ๆ ” หลังจากนั้นไม่นานนกกระจาบที่เหลือก็ถูกทอดตาข่ายจับได้ไม่เว้น
แต่ละวันเพราะแม้ติดตาข่ายอยู่ก็มักทะเลาะกันไม่เลิก

ข้าไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีหรอก ” “ อย่าเถียงกันเลย ประเดี๋ยวเมียข้าก็จับถอนขนเหมือนกันหมดแหละ ฮะ ฮ่า ฮ้า ” “ ก็มัวแต่พูดอยู่นั้นแหละ ช่วยกันยกหน่อยสิ ”


แล้วทรงให้โอวาทแก่ประยูรญาติทั้งสองฝ่ายว่า “ การทะเลาะวิวาทกันในระหว่างญาตินั้นไม่สมควรเลย เพราะการทะเลาะวิวาทเป็นมูลเหตุแห่งความพินาศสถานเดียว ”
ต่อมาในพุทธกาลสมัย
นกกระจาบพาลหาเรื่อง กำเนิดเป็น พระเทวทัต
พญานกกระจาบ เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า
สมฺโมทมานา คจฺฉนฺติ ชาลมาทาย ปกฺขิโน
ยทา เต วิวทิสฺสนฺติ ตทา เอหินฺติ เม วสํ
นกทั้งหลายมีความพร้อมใจกัน
จึงหอบเอาตาข่ายไปได้
เมื่อใดมันทะเลาะกัน
เมื่อนั้นมันจักตกอยู่ในอำนาจของเรา