จากตอนที่แล้ว มโหสถกุมารได้อาสาที่จะตัดสินคดีกล่าวตู่อ้างสิทธิ์เป็นมารดาเด็กคนเดียวกัน ของหญิงทั้งสองคน เมื่อได้ดูจากรูปการณ์แล้วก็รู้ว่า หญิงใดเป็นมารดาของเด็ก หญิงใดเป็นผู้กล่าวตู่ จึงถามหญิงทั้งสองว่า หากเราจะตัดสินให้ พวกเจ้าจะยอมรับฟังคำวินิจฉัยของเราหรือไม่

เมื่อได้รับสัญญาณบอกว่าเริ่มได้ หญิงทั้งสองต่างออกแรงดึงเด็กน้อย ครั้นเด็กน้อยถูกชักเย่อไปมาเด็กก็ส่งเสียงร้องจ้า มารดาของเด็ก เมื่อได้ยินเสียงร้องระงมของลูกน้อย ก็ไม่อาจจะทนฟังเสียงร้องนั้นได้ จำใจต้องยอมปล่อยให้ยักษิณีดึงลูกของตนไปฝ่ายเดียว แล้วก็ยืนร้องไห้ฟูมฟาย
มโหสถถามฝูงชนที่มามุงดูกันอย่างเนืองแน่นว่า “ท่านทั้งหลาย ธรรมดาจิตใจของหญิงผู้เป็นมารดา กับหญิงผู้มิใช่มารดา ใครกันเล่าจะมีจิตอ่อนโยนโอนไหวไปตามอาการของลูก”
“ใจของมารดาสิ พ่อมโหสถ ถึงอย่างไร มารดาก็ย่อมจะอ่อนไหวไปตามอาการของลูก” เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน ทุกๆคนในที่นั้น ต่างก็รับพร้อมกันว่าใช่ มโหสถจึงชี้มือไปที่นางยักษ์จำแลง แล้วเอ่ยถามนางยักษ์ตรงๆว่า “เจ้าเป็นใคร”
ฝูงชนที่พากันมารับฟังคำวินิจฉัยของมโหสถในที่นั้น ต่างพากันแตกตื่นเป็นการใหญ่ ค่อยๆ ถอยห่างออกจากหญิงนั้น แล้วซักถามกันดังเซ็งแซ่ “มโหสถ พ่อรู้ได้อย่างไรละ”
“ก็หญิงนี้มีลักษณะอาการบางอย่างผิดแปลกจากคนทั่วไป” มโหสถตอบ
“แตกต่างกันอย่างไรเล่า พ่อ” ฝูงชนซักถามด้วยใจจดจ่อ

นางยักษิณีรู้ว่าเขาเริ่มรู้ทันตนแล้ว ก็ตกใจเป็นนักหนา แต่ก็แสร้งทำเป็นนิ่งเฉย รอดูท่าทีว่ามโหสถจะกล่าวอย่างไรต่อไป
“ก็เจ้าจะเอาเด็กนี้ไปทำไม”
“ฉันจะเอาไปกินให้หายอยาก” นางยักษ์ก้มหน้าตอบ

นางยักษิณีเริ่มสงบนิ่ง กิริยาอาการเริ่มอ่อนลง กำลังตั้งใจฟังว่ามโหสถจะกล่าวสิ่งใดต่อไป มโหสถเห็นนางนิ่งเงียบ ก็พูดเบาๆด้วยน้ำเสียงเมตตาว่า “เจ้าก็รู้มิใช่หรือว่า ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่รักชีวิตของตัว หวงแหนทรัพย์สมบัติของตัว นี้เป็นธรรมดา เจ้าพรากลูกจากอ้อมอกของนาง ก็เท่ากับพรากชีวิตนางไป เจ้าทำเช่นนี้ สมควรแล้วหรือ หากเจ้ายังคิดจะทำกรรมอันชั่วช้าต่อไปอีก เมื่อไรเล่า เจ้าจึงจะพ้นจากกำเนิดยักษิณีนี้ได้ เจ้าไม่รักตนเองบ้างเลยหรือ”
สิ้นเสียงของมโหสถ นางยักษิณีก็ตัดสินใจสละเด็กน้อย ยื่นให้กับหญิงผู้เป็นมารดา แล้วยืนนิ่งเงียบอยู่ในที่นั้น นางปล่อยใจใคร่ครวญตามคำของมโหสถ ก็เห็นจริงตามนั้นทุกสิ่ง ครั้นยิ่งคิดก็ยิ่งละอายแก่ใจ เกิดความรันทดอดสูใจในการกระทำของตัวยิ่งนัก

นางยักษิณีใคร่ครวญว่า “ชาติกำเนิดยักษิณีที่เป็นอยู่นี้ ก็ต่ำทรามมากพอแล้ว ไม่ควรเลยที่จะมาซ้ำเติมตนเองให้ตกต่ำในชาติต่อไปอีก” เมื่อคิดดังนี้แล้ว ในที่สุด จึงตัดสินใจรับปากมโหสถว่า“ทำไมฉันจะทำไม่ได้ล่ะพ่อ”
“ดีแล้ว ศีลนี้แหละจักพาให้เจ้าประสบแต่ความสุข จงรักษาไว้ให้มั่นคงเถิด” ครั้นมโหสถได้ให้โอวาททิ้งท้ายแล้ว จึงได้ปล่อยตัวนางไป

กล่าวถึงพระเจ้าวิเทหราช เมื่อทูตนำสารกราบทูลเรื่องจบลง พระองค์ถึงกับทรงเปล่งพระอุทานขึ้นว่า “พ่อบัณฑิตน้อยของฉัน ช่างหลักแหลมเสียจริง ไยจึงสามารถขบคิดข้อวินิจฉัยที่ลึกซึ้งและแยบยลได้ถึงเพียงนี้ ควรแล้วที่เราจะรับตัวเจ้ามาเสียที”
ตรัสพระอุทานวาจาดังนี้แล้ว ก็ผินพระพักตร์มาทางท่านเสนกะ ท่านเสนกะทราบทันทีว่าพระองค์จะตรัสสิ่งใดต่อไป จึงคิดว่า “...หากตนจะกราบทูลทัดทานอย่างเลื่อนลอย ก็จักเป็นเหตุให้ทรงขุ่นเคืองพระทัยได้ จึงคิดหาช่องทางที่แยบคายกว่านั้น เพื่อจะกราบทูลประวิงพระองค์ไว้ให้ได้”
“อย่างไรท่านอาจารย์ มโหสถบัณฑิตนี่ฉลาดหนักหนา ถึงเวลาที่เราจะรับตัวเข้ามาหรือยัง” พระองค์รับสั่งถามเช่นเดิม
“ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงรอก่อนเถิด พระพุทธเจ้าข้า” ท่านเสนกะรีบทัดทานไว้เพราะความตระหนี่ในลาภยศมาปิดบังใจ

พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับเหตุผลของอาจารย์เสนกะแล้ว ก็ทรงเข้าพระทัยตามที่เขาประสงค์ พระองค์รู้ว่า ถึงอย่างไร ท่านเสนกะก็จะต้องทูลให้ทรงรอดูก่อน จึงตรัสกับทูตนำสารว่า “เจ้าจงกลับไปบอกอำมาตย์ผู้นั้นให้เฝ้าดูเหตุการณ์ต่อไปเถิด”ส่วนในครั้งหน้า เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร โปรดติดตามต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)