สมาธิเปลี่ยนชีวิต: เรื่องราวของคุณเรไร ศิริวานิช สมาธิเปลี่ยนชีวิต หน้า 8
หน้าที่ 8 / 25

สรุปเนื้อหา

ในประเทศลิกเตนสไตน์ อันเป็นแหล่งที่ตั้งของคุณเรไร ศิริวานิช หญิงไทยที่ไม่ยอมแพ้กับโชคชะตาของชีวิต เธอสร้างความสำเร็จในธุรกิจร้านอาหารพร้อมทั้งประสบการณ์การต่อสู้ความยากลำบาก ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยและการปฏิบัติธรรม ที่ทำให้เธอสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตที่เคยมืดมนให้กลับมาสดใสได้อีกครั้ง เวลาเธอมองกลับไปยังอดีต เธอรู้สึกว่าชีวิตมีรสชาติและมีความหมายมากขึ้น การเปิดร้านอาหารให้บริการทั้งคนไทยและชาวลิกเตนสไตน์ ที่ทำให้เธอได้รับการยอมรับและความรักจากลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นชั้นไหนก็ตาม นอกจากนี้ เธอยังมีเรื่องราวที่เผยให้เห็นถึงการเอาชนะอุปสรรคหลายอย่าง ที่ทำให้รู้ว่าความสุขไม่ได้มาจากสิ่งที่มี แต่เกิดจากการต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อ

หัวข้อประเด็น

-คุณเรไร ศิริวานิช
-การปฏิบัติธรรม
-การเป็นนักสู้
-เรื่องราวชีวิตในลิกเตนสไตน์
-การเปิดร้านอาหาร

ข้อความต้นฉบับในหน้า

สมาธิเปลี่ยนชีวิต ๑๔ ณ ประเทศลิกเตนสไตน์ ดินแดนแห่งความมั่งคั่งและ สงบสุข รายล้อมไปด้วยภูเขาและทัศนียภาพอันน่าชม เป็นอีก หนึ่งประเทศอันงดงามในภาคพื้นยุโรป ซึ่งปกครองด้วยระบอบ ประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ตั้งอยู่ระหว่าง ประเทศออสเตรียและสวิสเซอร์แลนด์ มีเนื้อที่เพียง ๑๖๐ ตาราง กิโลเมตร หรือ ๑ ใน ๓ ของจังหวัดภูเก็ตเท่านั้น และดินแดน แห่งนี้สัญญาณการถ่ายทอดธรรมะผ่าน DMC เดินทางไปถึง ที่นี่เราได้พบหญิงไทยหัวใจเด็ด แห่งประเทศลิกเตนสไตน์ คุณเรไร ศิริวานิช ยอดนักสู้ ผู้ไม่ยอมแพ้กับโชคชะตา และ คว้าความสุข ความสำเร็จของชีวิตไว้ได้ ด้วยความเชื่อมั่นใน พระรัตนตรัยและการปฏิบัติธรรม คุณเรไร ศิริวานิช เจ้าของร้านอาหารไทยเลื่องชื่อในประเทศ ลิกเตนสไตน์ ซึ่งมีลูกค้ามากมายหลายระดับ ตั้งแต่ระดับกลาง จนถึงเชื้อพระวงศ์ เล่าว่า “อาหารทุกจานปรุงด้วยหัวใจ ด้วย ความปรารถนาที่อยากให้คนทานทั้งอิ่มและอร่อย” จึงไม่แปลก เลย ที่ร้านของเธอจะได้รับการอุดหนุนมากมายขนาดนั้น เธอ ทำงานอย่างร่าเริง กระฉับกระเฉง จนบางครั้งผู้คนอาจลืมสังเกต ไปเลยว่า อวัยวะบางส่วนในร่างกายเธอไม่ครบ และนอกเหนือ จากนี้ใครเล่าจะรู้ว่า หญิงไทยใจเด็ดผู้นี้ เธอถูกวิบากกรรมทำร้าย จนแทบจะโดดตึกฆ่าตัวตาย... มาฟังเรื่องราวของชีวิตเธอไป พร้อมๆ กัน ๑๕ สมาธิเปลี่ยนชีวิต “ฉันเป็นคนอุทัยธานี มาอยู่ที่ลิกเตนสไตน์ได้ ๒๓ ปีแล้ว รู้สึกว่าชีวิตผ่านโชคชะตาที่เลวร้ายมามากมายเหลือเกิน เมื่อ อายุ ๑๙ ปี ตอนที่อยู่เมืองไทย ถูกรถชนจนทำให้ต้องถูกตัดแขน ตอนแขนขาดใหม่ๆ ท้อมาก ท้อแบบอยากตาย เลยคิดที่จะ กระโดดตึกฆ่าตัวตาย แต่พอมาชั่งใจดู ก็คิดว่า “เฮ้อ...อย่าดีกว่า เรามีลูกที่ต้องดูแลอีกตั้งสองคนถือว่านี่เป็นเวรเป็นกรรมก็แล้วกัน จึงคิดที่จะมีชีวิตอยู่ เลือกที่จะสู้ แม้นับจากนี้ คำว่า “หนึ่งสมอง สองมือ” จะใช้กับเราไม่ได้อีกแล้ว แต่ “หนึ่งสมอง หนึ่งมือ” นี้ จะสู้จนสุดชีวิต ต่อมาได้แต่งงานกับสามีชาวลิกเตนสไตน์ และย้ายมาอยู่ที่นี่ แต่ชีวิตรักก็ไม่ได้ราบเรียบ สามีมักคิดว่าเรา มีแขนเดียวทำอะไรก็ไม่ค่อยได้ ต้องให้เขาช่วยตลอด ในที่สุด จึงได้แยกกันและหาเลี้ยงตัวเอง โดยทำงานกับบริษัทผลิตชิ้นงาน เหล็ก เป็นงานนั่งทำอยู่ที่บ้าน หลังจากนั้นก็ตัดสินใจเปิดร้าน อาหาร โดยเริ่มต้นทำคนเดียว ระหว่างนั้นเรารู้สึกเสมอว่า ชีวิต เราทำไมมันไม่เคยสมบูรณ์เลย บางทีก็ถูกโกงบ้าง นั่งถอนหายใจ ทุกวัน จนเมื่อกลางปี ๒๕๕๘ กำลังปรับช่องทีวีที่บ้าน ปรับไปปรับ มา ก็เจอหลวงพ่อใน DMC เห็นแล้วสะดุดตาสะดุดใจ รู้สึก ว่าหลวงพ่อท่านผิวสวยเหมือนสีของจีวร เสียงก็ไพเราะ ชอบเวลาท่านยิ้มและหัวเราะแบบผู้ดี ตอนแรกก็นึกสงสัยว่า นี่ พระต่างชาติหรือเปล่า แต่พอได้ยินเสียงจึงรู้ว่าเป็นพระไทย www.kalyanamitra.org
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หน้าหนังสือทั้งหมด

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More