ข้อความต้นฉบับในหน้า
5 คำถามที่คน ชอบทำบุญ" และ "ไม่ชอบทำบุญ” ต้องรู้ !!
คำถามที่คน ชอบทำบุญ” และ “ไม่ชอบทำบุญ” ต้องรู้ !!
3.
ดูอย่างไรว่า เราทำบุญไปมากพอหรือยัง?
ตอบ ถ้าบุญเรามากจนเต็มเปี่ยมแล้ว เราก็ไม่มานั่งอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ตรงนี้
หรอก เราคงบรรลุมรรคผลนิพพานไปแล้ว และที่สำคัญ ถ้าบุญเรามากพอ...ป่านนี้เรา
ต้องสมหวังในทุกสิ่งไปแล้ว ดังนั้น ให้เราย้อนกลับไปทบทวนดูว่า ชีวิตเราตั้งแต่เกิดมา
จนถึงปัจจุบันมีความพร่องหรือได้รับความทุกข์ในเรื่องใดมาบ้าง ก็ให้ทำบุญแล้ว
อธิษฐานเพื่อเติมเต็มแก้ไขในสิ่งนั้น ๆ
4. องทําบุญขนาดไหน?
ตอบ ต้องทำถึงขนาดที่ใจเราปลื้มสุด ๆ หากทำแล้วยังไม่ปลื้ม ก็ต้องทำอีกจน
กระทั่งรู้สึกปลื้มให้ได้ เพราะบุญที่ทำแล้วเกิดความปลื้มสุด ๆ จะส่งผลได้เร็วกว่า แรงกว่า
บุญที่ทำแล้วรู้สึกเฉย ๆ หรือทำไปเพราะความเกรงใจ
และที่สำคัญ หากเราทำบุญแล้วปลื้ม อีกทั้งยังสามารถระลึกนึกถึงบุญที่
เคยทำไปได้บ่อยครั้งมากเท่าไร ก็จะมีผลต่อจำนวนชาติที่บุญจะส่งผลมากขึ้นเท่านั้น
และมากไปกว่านั้น หากตามระลึกนึกถึงบุญที่ทำไปแล้วบ่อย ๆ ด้วยความปลื้มปีติ
บุญที่เราตามระลึกถึงนี้ ก็จะไปดูดบุญเก่า ๆ ที่เคยทำผ่าน ๆ มาตั้งแต่อดีตชาติ ดึงดูด
บุญเล็กบุญน้อย บุญที่อ่อนกำลังไปแล้ว ให้ตามมาส่งผล ให้ตามมาหล่อเลี้ยงชีวิตเราให้
บ
?
5. ต้องทำอย่างไรถึงจะปลื้มปีติ
ตอบ ปกติโดยทั่วไป ความปลื้มปีติเกิดจากเหตุหลายอย่าง เช่น ความปิติที่เกิด
จากอำนาจสมาธิ การย้อนนึกถึงความดีที่ทำได้ยาก การทำบุญอย่างสุดกำลัง หรือการ
ตัดใจจากความตระหนี่ที่ตัดได้ยากแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน อย่างเช่น นายติณบาล ที่
ทำบุญด้วยทรัพย์ชิ้นสุดท้าย หรือเมณฑกเศรษฐี ที่ทำบุญด้วยอาหารมื้อสุดท้าย ทำจน
หมดตัว แต่กลับปลื้มโดยไม่นึกเสียดายเลย อีกทั้งยังมีความปลื้มครบทั้ง 3 ระยะ คือ
ก่อนทำ ขณะทำ หลังทำ เพราะความปลื้มจะทำให้เราประทับใจจดจำสิ่งนั้นไปได้นาน
แสนนาน อีกทั้งยังสามารถนึกถึงได้เป็นสิ่งแรก โดยไม่เคยลืมไปจากความทรงจำเลย
และนึกถึงทีไรก็น้ำหูน้ำตาไหล ขนลุกซูซัน เพราะความปลื้มปีติ
www.kalyanamitra.org.
59