ข้อความต้นฉบับในหน้า
ยังอยู่กับของสวยๆ งามๆ ไม่ชอบสิ่งที่เป็นเปลือกพระองคจึงทรงนมัสการดอกบัวทอง แล้วทรงทำให้เป็นเหมือนหลังหยาดน้ำจากใบและก้าน ทรงรับช่อว่า "เธอฉื่อเอาดอกบัวนี้ ไว้ลงไว้ที่กองทรายหลังวัด แล้วนังขัดสมาธิองค์นั้นและ พร้อมกับปฏิมาวนา ว่า โลหิติค โโลหิติก ซึ่งแปลว่า สีแดง สีแดง"
ภิษุหนุ่มรับเอาดอกบัวจากพระหัตถ์ของพระบรมศาสดาด้วยจิตที่เลื่อมใส ท่านเดินไปท้ายวัด พุทธรายขึ้นเป็นกอง แล้วเสียน้ำดอกบัวทุ่มที่กองทราย จากนั้นนั่งขัดสมาธิผู้ลังก็ลงตรงนั้น เริ่มปฏิมาวนาเป็นดอกบัวทอง พร้อมกับภาวนาว่า "โลหิติติโลหิตก" ในใจท่านมีดอกบัวงามเป็นอารมณ์ ทำให้ใจเริ่มสงบ หยุดนิ่งเป็นเอกัคคตา ดิเรกนิธรรคี่ๆ หายไป
พระศาสดาทรงทวนว่ากิฏิหนุ่มนี้ใจหยุดนิ่งดีแล้ว จึงทรงอธิษฐานให้ดอกบัวเหลืองแห่งไปดอกบัวนั้นเที่ยวเหม็นสีดำ พอกิฏิหนุ่มมิลตามาคมเห็นดอกบัวเปลี่ยนไป จึงพิจารณาเห็นว่า "ดอกบัวนี้ผีเสื้อส่งราขไม่มีใครครอง มีความสวยสดงาม เมื่อถูกความชรามากระทบยังเหี่ยวแห้งหมดความน่าชมจึงได้ถึงเพียงนี้ แสดงว่าสังขารมิใจครองก็ตอดถูกความชราครองบ้างได้เช่นเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ความพึงพอใจในบูรณเสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมชาติก็เป็นสิ่งไม่เที่ยง สักวันหนึ่งจะต้องก้าวเข้าสู่ความเสื่อมสลาย
จากนั้น พระบรมศาสดาจึงส่งพระรัฐออกไปประมาณว่าพระอายุในปัจจุบันว่าเสด็จมาแล้วปีละยี่สิบห้าปีของท่าน แล้วตรัสสอนให้เห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของสรรพสิ่งในโลกนี้ เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่าย คลายความยึดติดมือตื่น ถอดถอนออกจากหมู่เกิดแล้วก็นำใจขึ้นสู่นันท์ทางของพระอริยะทรงว่า "เธอจงตัดความเย่อโยในตนเอง เหมือนการถอดดอกบัวขึ้นจากน้ำ จงเจริญ"