ข้อความต้นฉบับในหน้า
แม่นใจใจ ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าใจไม่ใส แล้วไม่สามารถสร้างบุญบารมีมากพอ ไม่ได้เกิดเป็นคนหรอก ในโลกนั้นถ้าเราเทียบกันระหว่างจำนวนมนุษย์กับสัตว์ทั้งหลาย เมื่อเทียบกันแล้วจำนวนมนุษย์น้อยกว่าสัตว์ตั้งเยอะ อย่างไรก็ตามเทียบกันแล้วจำนวนมนุษย์อยู่น้อยกว่าสัตว์ตั้งเยอะ อย่างไรก็ตามเทียบกันแล้วจำนวนมนุษย์อยู่น้อยกว่าสัตว์ตั้งเยอะ เมื่อเทียบกันแล้วจำนวนมนุษย์น้อยกว่าสัตว์ตั้งเยอะ อย่าว่าแต่เอามาเทียบกันทั้งโลกเลย เอาแค่เทียบที่บ้านตัวเอง จำนวนคนในบ้านต่อให้ครอบครัวใหญ่มีกี่คน แต่เมื่อบอกจำนวนสัตว์ในบ้านดู บางคนอาจจะบอกว่าบ้านไม่เลี้ยงสุนัข ไม่เลี้ยงแมว แล้วคุณเคยนับไหมว่าทั้งบ้านมีสัตว์กี่ตัว จึงกัตัว ตุ๊กแกก็ด้วยตัว แม่งต่างๆ ก็ด้วย ถ้าอย่างนี้ก็จะเห็นได้ว่าจะหว่านมนุษย์กับสัตว์เทียยกันไม่ได้เลยไม่ว่าบ้านไหนสัตว์ก็มีมากกว่ามนุษย์ชินดี้เทียบกันไม่ได้เลยระหว่างมนุษย์กับสัตว์ เมื่อเกิดมาแล้วกี่จะสร้างคุณประโยชน์ให้กับตัวเอง สร้างคุณประโยชน์ให้กับโลกได้มากกว่ากัน ใครที่มีใจเป็นกลางก็ต้องมองเห็นว่า ถึงอย่างไรมนุษย์ก็สร้างคุณประโยชน์ให้กับตัวเอง ให้กับโลก ให้นึกไป ให้กับโลกนี้ได้มากกว่าสัตว์เป็นแน่แท้ มาการเกิดมาเป็นมนุษย์กับการเกิดเป็นสัตว์ อย่างไหนดีกว่ากัน? ถึงอย่างไรมนุษย์โชคด่าว่าอย่างแน่นอนกว่าที่จะเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์ อยู่กับอะไร? ในศาสนอื่นเขาบอกว่า ศาสดาของเขาสอนว่าใครจะเกิดมาเป็นมนุษย์ ใครจะเกิดมาเป็นสัตว์ อยู่กับความปรารถนาของผู้สร้างโลกที่เขานั้นก็ในพระพุทธศาสน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า ทั้งคนและสัตว์มีเหมือนกันคืออวัยวะรักสุขเสมอกันเหมือนกัน คนพูดภาษาสัตว์ไม่ได้ สัตว์ก็พูดภาษาสตัรไม่ได้ แต่ได้กลัณนะทางทางของเขาว่า รักสุขแลเกลียดทุกข์เหมือนกันในพระพุทธศาสนา พระบรมศาสดาทรงเป็นผู้ค้นพบความจริงของสรรพสิ่งทั้งหลาย ในการค้นพบนี้ทรงค้นพบจากการทำสมาธิ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างโดยอาศัยการทำสมาธิ ซึ่งเป็นการแสวงหาและสะสมความรู้สึกหรือลักษณะเป็นต้น พระองค์ทรงค้นพบความจริงของสิ่งทั้งหลายว่า อวัยวะร่างกายที่เรามีอยู่ ล้วนอยู่ในอำนาจของธรรมชาติ ไม่ใช่เป็นของเรา มีแต่ความสุขกับความทุกข์ เป็นของคู่กันเท่านั้นกว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ทั้งสุขและทุกข์เป็นของคู่กันในธรรมชาติทั้งหลาย แต่ก็ไม่ปรากฏอะไรที่จะแก้ไขความทุกข์ให้หมดไปโดยสมบูรณ์ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่า สรรพสิ่งทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง เป็นของไม่เที่ยง เป็นของไม่เที่ยง เป็นของไม่เที่ยง การเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปตามเหตุปัจจัย พระองค์ทรงให้ความเห็นว่า ความสุขความทุกข์เหล่านี้ก็เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น อย่าหลงเชื่อว่าความสุขนี้จะอยู่กับเราชั่วนิรันดร์ ถ้าหลงเชื่ออย่างนั้นก็ไม่พ้นทุกข์ ถ้าหลงเชื่อว่าเป็นความสุขแท้จริงก็เป็นทุกข์แท้ที่ไปถึงนรก ถ้าไม่เลิกความทุกข์ไปก็ต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรก ก็มาเป็นสัตว์เดรฉฉาณอย่างที่พวกเราเห็น เช่น มด ปลา กบ เป็นต้น 2.เกิดเป็นคนย่อมต้องการโอกาสกลับเนื้อกลับตัวพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนว่า ทุกคนและสัตว์มีฐานะเหมือนกันคืออวัยวะรักสุขเสมอกันเหมือนกัน คนพูดภาษาสัตว์ไม่ได้ สัตว์ก็พูดภาษาสตัรไม่ได้ แต่ได้กลัณนะทางทางของเขาว่า รักสุขแลเกลียดทุกข์เหมือนกันในพระพุทธศาสนา พระบรมศาสดาทรงเป็นผู้ค้นพบความจริงของสรรพสิ่งทั้งหลาย ในการค้นพบนี้ทรงค้นพบจากการทำสมาธิ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างโดยอาศัยการทำสมาธิ ซึ่งเป็นการแสวงหาและสะสมความรู้สึกหรือลักษณะเป็นต้น พระองค์ทรงค้นพบความจริงของสิ่งทั้งหลายว่า อวัยวะร่างกายที่เรามีอยู่ ล้วนอยู่ในอำนาจของธรรมชาติ ไม่ใช่เป็นของเรา มีแต่ความสุขกับความทุกข์ เป็นของคู่กันเท่านั้นกว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ทั้งสุขและทุกข์เป็นของคู่กันในธรรมชาติทั้งหลาย แต่ก็ไม่ปรากฏอะไรที่จะแก้ไขความทุกข์ให้หมดไปโดยสมบูรณ์ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่า สรรพสิ่งทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง เป็นของไม่เที่ยง เป็นของไม่เที่ยง เป็นของไม่เที่ยง การเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปตามเหตุปัจจัย พระองค์ทรงให้ความเห็นว่า ความสุขความทุกข์เหล่านี้ก็เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น อย่าหลงเชื่อว่าความสุขนี้จะอยู่กับเราชั่วนิรันดร์ ถ้าหลงเชื่ออย่างนั้นก็ไม่พ้นทุกข์ ถ้าหลงเชื่อว่าเป็นความสุขแท้จริงก็เป็นทุกข์แท้ที่ไปถึงนรก ถ้าไม่เลิกความทุกข์ไปก็ต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรก ก็มาเป็นสัตว์เดรฉฉาณอย่างที่พวกเราเห็น เช่น มด ปลา กบ เป็นต้น