“ความลึกลับสีทอง...
สิ่งมหัศจรรย์อันงดงามที่เห็นได้ในพริบตา” นี่คือสิ่งที่
Rudyard
Kipling เรียกเจดีย์ทางพระพุทธศาสนาองค์นี้ที่ประดับประดาด้วยเพชร
5,448 เม็ด และทับทิม 2,317 เม็ด รวมถึงบุษราคัม และอัญมณีที่มีค่าอื่นๆ เจดีย์ทางพระพุทธศาสนาที่มีทรงโดมดูเหมือนระฆังคว่ำสีทององค์นี้จริงๆ
แล้วเป็นการปิดทอง โดยใช้แผ่นทองคำจำนวน 8,688 แผ่นที่ทำมาจากโลหะสีทองที่มีค่า
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดทางพระพุทธศาสนาในประเทศพม่าแห่งนี้มีกลิ่นไอของความลึกลับบางอย่างที่ดึงดูดนักแสวงบุญ
10,000 คนต่อปีให้มาเยี่ยมชม เจดีย์ชเวดากององค์นี้เป็นที่เชื่อกันว่า
เป็นที่ประดิษฐานพระเกศาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น
เมื่อพระเกศาได้รับการประดิษฐานภายในห้องบรรจุพระเกศาของพระเจดีย์เรียบร้อยแล้ว
ได้มีปรากฎการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น “แสงสีต่างๆ
พุ่งออกมาจากเส้นพระเกศาส่องสว่างไปถึงสวรรค์ชั้นต่างๆ และนรกทุกขุม ...
เกิดแผ่นดินไหว ... ลมจากมหาสมุทรพัดสนั่นหวั่นไหว ... เกิดฟ้าแลบ ...
รัตนชาติหล่นมาจากฟากฟ้าสูงถึงเข่า ...
ต้นไม้ทุกต้นในป่าหิมพานต์ผลิดอกออกผลแม้ว่าไม่ใช่ฤดูกาล”
เริ่มต้นศตวรรษที่ 5
ก่อนคริสตศักราช เจดีย์ชเวดากองได้รับการสร้างขึ้นใหม่
และได้ทำการขยายขนาดออกไปตลอดต่อเนื่องอยู่หลายศตวรรษ
ของมีค่าจำนวนมากได้ถูกนำมาถวายบูชาพระเจดีย์องค์นี้อยู่เป็นประจำ
ระฆังที่ทำมาจากทองคำบริสุทธิ์และเงินจำนวน 1,485 ใบ ได้ถูกนำมาแขวนไว้โดยรอบส่วนยอดพระเจดีย์
หรือในส่วนที่เป็นที่ประดิษฐานฉัตรขององค์เจดีย์
หลังจากที่พระราชินีพระองค์หนึ่งได้ถวายทองคำน้ำหนักเท่ากับน้ำหนักตัวของพระองค์เองบูชาพระเจดีย์
รัชทายาทของพระนางก็ได้ถวายทองคำน้ำหนักมากเป็น 4 เท่าของน้ำหนักตัวร่วมกุศลในครั้งนั้นด้วย
ทองคำทั้งหมดนั้นได้ถูกนำไปตีแผ่เป็นแผ่นทองเพื่อนำไปปิดที่องค์พระเจดีย์
ทุกด้านของฐานพระเจดีย์ทั้ง 8 ด้าน จะมีพระเจดีย์ที่มีขนาดเล็กกว่าจำนวน 8
องค์ตั้งอยู่ รวมทั้งหมดมีจำนวนเจดีย์ย่อยอยู่ 64 องค์ที่ตั้งวนรายรอบเจดีย์ทององค์ใหญ่
จึงไม่แปลกใจเลยว่า Aldous Huxley ได้ตั้งข้อสังเกตว่า สถาปัตยกรรมของเจดีย์องค์นี้ดูคล้าย “ม้าหมุน”
เขายังบอกอีกด้วยว่า “สถานที่นี้ดูเหมือนกับสถานที่ออกร้านสวนสนุกที่ศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าผู้แสวงบุญ”
มีบันไดทางขึ้น 4 ด้านไปสู่ระเบียงด้านบนขององค์เจดีย์
หลังจากที่ได้ชมองค์เจดีย์แล้ว Somerset Maugham ได้กล่าวถึงเจดีย์ชเวดากองเอาไว้ว่า
“ความแวววับของทองคำดูเหมือนกับเป็นความหวังอันฉับพลันในค่ำคืนอันมืดมิดของจิตวิญญาณ”
ที่มา-http://adventure.howstuffworks.com/shwedagon-pagoda-landmark.htm