
นายโคฬกาฬครั้นได้นางทีฆตาลามาเป็นคู่ครองแล้ว ก็เฝ้าทะนุถนอมนางด้วยดีดั่งไข่ในหิน กระทั่งวันหนึ่ง นายโคฬกาฬอยากจะไปเยี่ยมพ่อแม่ของตน จึงให้ภรรยาช่วยทอดขนมให้
เมื่อเตรียมเสบียงพร้อมกับขนมของฝากเสร็จแล้ว ก็ออกเดินทางกับภรรยา ไปถึงแม่น้ำสายหนึ่ง ซึ่งไม่ลึกนัก แต่สองสามีภรรยาเป็นคนขลาดจึงไม่กล้าเดินข้ามแม่น้ำ เวลานั้นก็มีชายเข็ญใจชื่อ ทีฆปิฏฐิ มารับอาสาพาข้ามแม่น้ำ โดยนำภรรยาของเขากับเสบียงเดินทางข้ามไปก่อน
แต่ครั้นเขาพานางทีฆตาลาไปถึงกลางแม่น้ำ ก็พูดเกี้ยวว่า “ฉันจะเลี้ยงดูเธออย่างดี จะไม่ให้ต้องลำบากอะไรเลย ทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับจะหาให้ จะมีทาสหญิงทาสชายคอยแวดล้อมรับใช้ เธอมาอยู่กับฉันเถิด” นางทีฆตาลาก็หลงเชื่อคารมตัดรักจากสามี ยอมที่จะไปด้วยกับเขา

นายโคฬกาฬ เมื่อรู้ว่าตนถูกหลอกพาภรรยาหนีไปต่อหน้าต่อตาเช่นนั้น ก็เร่าร้อนใจตะโกนก้องว่า “พวกแกจะพากันหนีไปไหน คอยข้าด้วย กลับมารับข้าก่อน” ได้แต่วิ่งกลับไปกลับมาบนฝั่งอยู่อย่างนั้น
เมื่อนึกถึงภรรยาสุดที่รักที่กำลังถูกชิงตัวไป จึงรีบวิ่งลงไปในน้ำไปได้หน่อยหนึ่งก็กลับขึ้นมาอีกเพราะความกลัว ครั้นรวบรวมความกล้าได้อีกครั้ง ก็รีบวิ่งลงไปในแม่น้ำอีกหนด้วยความโกรธ กระโจนลงไปด้วยปลงใจว่าจะเป็นหรือตายก็ช่างเถิด ขอเพียงให้ได้ภรรยาคืนมา

นายทีฆปิฏฐิกล่าวตอบว่า “แน่ะ อ้ายถ่อยแคระเตี้ย เมียแกที่ไหนเล่า เมียข้าต่างหาก”
กล่าวดังนี้แล้วก็เอามือผลักนายโคฬกาฬให้ล้มกลิ้งไป

ของมโหสถบัณฑิต
มโหสถบัณฑิตจึงถามมหาชนที่มาประชุมกันฟังธรรมอยู่ในที่นั้นว่า “นั่นเสียงอะไรกัน” สดับความนั้นแล้วจึงให้เรียกคนทั้งสองเข้ามา ได้ฟังวาจาที่โต้ตอบกันแล้ว จึงกล่าวว่า “เราจะวินิจฉัยความให้ เจ้าทั้งสองจะตั้งอยู่ในคำตัดสินของเราหรือไม่”
ครั้นคนทั้งสองแสดงความจำนงยอมรับความอารี มโหสถบัณฑิตจึงเอ่ยถามนายทีฆปิฏฐิก่อนว่า “เจ้าชื่ออะไร”
“ข้าพเจ้าชื่อทีฆปิฏฐิ” เขาบอกชื่อของเขาตามความจริง
“พ่อแม่ของเจ้าชื่ออะไร” นายทีฆปิฏฐิก็บอกชื่อคนอื่นแทน
“พ่อแม่ของภรรยาของเจ้าละ ชื่ออะไร” เมื่อยังไม่รู้จัก นายทีฆปิฏฐิก็บอกชื่อคนอื่นแทนเรื่อยไป
ลำดับนั้น มโหสถบัณฑิตจึงให้คนของตนบันทึกถ้อยคำนั้นไว้ แล้วให้นายทีฆปิฏฐิออกไป ให้เรียกนายโคฬกาฬเข้ามา ถามชื่อของคนทั้งปวงโดยนัยก่อน นายโคฬกาฬรู้จักคนทั้งหมดเป็นอย่างดี ก็บอกไปตามความเป็นจริง
“ฉันชื่อทีฆตาลา” เธอกล่าว
“สามีของเธอชื่ออะไร” เมื่อยังไม่รู้จัก นางทีฆตาลาจึงบอกชื่อคนอื่นแทน
“พ่อแม่ของเธอชื่ออะไร” นางทีฆตาลาก็บอกชื่อพ่อชื่อแม่ของเธอตามเป็นจริง
มโหสถบัณฑิตให้เรียกนายทีฆปิฏฐิและนายโคฬกาฬมาแล้วถามมหาชนว่า “ถ้อยคำของนางทีฆตาลาตรงกันกับคำของนายทีฆปิฏฐิ หรือว่าตรงกับคำของนายโคฬกาฬ”
มหาชนตอบว่า “ถ้อยคำของนางทีฆตาลาตรงกับคำของนายโคฬกาฬ”
มโหสถบัณฑิตจึงกล่าวว่า “นายโคฬกาฬเป็นสามีของนางทีฆตาลา นายทีฆปิฏฐิเป็นโจร” ครั้นแล้วจึงถามนายทีฆปิฏฐิว่า “เจ้าเป็นโจรใช่ไหม” นายทีฆปิฏฐิจึงต้องรับสารภาพว่าตนเป็นโจร

จากนั้นมโหสถบัณฑิตก็ได้กล่าวเตือนนายทีฆปิฏฐิว่า “จำเดิมแต่นี้ไปเจ้าอย่าทำอย่างนี้อีก” ครั้นให้โอวาทเสร็จแล้วจึงปล่อยตัวไป
ฝ่ายอำมาตย์ผู้เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่โดยตลอด ได้ให้ทูตส่งสาส์นทูลเรื่องนี้แด่พระราชาตามความเป็นจริง พระเจ้าวิเทหราชครั้นได้สดับเรื่องทั้งหมดแล้ว ก็ตรัสถามเสนกปุโรหิตว่า “ท่านอาจารย์เสนกะ เราควรนำบัณฑิตนั้นมาได้หรือยัง”
อาจารย์เสนกะทูลว่า “ข้าแต่มหาราช คดีเรื่องนายโคฬกาฬใคร ๆ ก็วินิจฉัยได้ บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิตด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ขอให้ทรงรอไปก่อนเถิด”

อุปนิสัยอิจฉาริษยานี้ มีวิบากกรรม คือเมื่อไปเกิดในชาติต่อไปจะทำให้เป็นคนอาภัพ อับวาสนา มียศศักดิ์น้อยด้อยราคา จะแก้ได้ก็ด้วยการแสดงมุทิตาพลอยยินดีกับผู้อื่นที่เขาได้ดีมีสุข จึงควรรีบแสดงความยินดีต่อผู้อื่นในทันทีที่เขาประสบความสำเร็จ อย่าทันให้ความริษยาเข้าครองใจ
นี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นแห่งการสร้างปัญญาบารมีของมโหสถบัณฑิตเท่านั้น ยังมีเหตุการณ์อีกมากมาย ที่เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงสติปัญญาอันชาญฉลาดของพระโพธิสัตว์ อีกทั้งความเป็นไปทั้งหมดก็อยู่ในสายพระเนตรของพระราชาตลอด พระองค์จะต้องรออีกนานแค่ไหนถึงจะได้มโหสถบัณฑิตเข้ามารับราชการ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)