จากตอนที่แล้ว พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำของท่านเสนกะแล้ว ก็ผ่านไปตรัสถามมโหสถบัณฑิตด้วยคำถามเดียวกันว่า “ระหว่างคนโง่ผู้สมบูรณ์ด้วยทรัพย์และยศ กับบัณฑิตผู้ไร้โภคทรัพย์ ท่านผู้รู้สรรเสริญว่า ใครเป็นผู้ประเสริฐกว่ากัน”

อาจารย์เสนกะก็กล่าวตอบโต้ว่า “มหาเศรษฐีผู้มีทรัพย์ให้ใช้สอยตามต้องการ มีหรือที่จะไม่ได้รับความสุขในโลกนี้ ดูอย่างโครวินทเศรษฐีซิ แม้เป็นคนขี้เหร่ ไม่มีวิชาความรู้ใดๆ เวลาพูดน้ำลายก็ไหลยืดออกจากปาก แต่เขากลับเป็นที่นับหน้าถือตาของมหาชน เพียงเพราะเขามีทรัพย์มาก”
พระเจ้าวิเทหราชได้สดับดังนั้น ก็ทรงหนักพระทัย เพราะตัวอย่างคือโครวินทเศรษฐีนั้น ใครๆก็รู้จักทั่วบ้านทั่วเมือง แม้แต่ดอกบัวที่เปื้อนน้ำลายของเขา ยังมีคนยื้อแย่งเอาไปเป็นเครื่องประดับเป็นที่เชิดหน้าชูตา ท้าวเธอทรงใคร่จะรู้คำกล่าวแก้ จึงหันมาตรัสถามมโหสถอีกครั้ง

อาจารย์เสนกะถูกมโหสถเย้ยกลับด้วยถ้อยคำที่เชือดเชือนเช่นนั้น ก็รู้สึกขุ่นเคืองใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็พยายามสกัดกั้นอารมณ์นั้นไว้ไม่แสดงออก เพื่อให้สมกับที่ตนเป็นผู้มีอาวุโสกว่า ครั้นแล้วก็ได้กราบทูลท้าวเธอต่อไปว่า “ขอเดชะ มโหสถยังเด็กเหลือเกิน ปากก็ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ผ่านโลกมาเพียงไม่กี่ปี แล้วเธอจะรู้อะไร พระพุทธเจ้าข้า”

เหตุผลของอาจารย์เสนกะฟังดูเผินๆก็เข้าทีดี แต่ถึงกระนั้นสำหรับมโหสถแล้ว ช่างเป็นเหตุผลที่ตื้นเขินเหลือเกิน มโหสถไม่รอช้า รีบโต้กลับอย่างอาจหาญว่า “ขอเดชะพระองค์ผู้สมมติเทพ ท่านเสนกะน่ะหรือจะรู้อะไร ก็ตนมัวจ้องมองทรัพย์แต่เพียงส่วนเดียว จึงยังมองไม่เห็นไม้ค้อนที่กำลังจะตกลงบนศีรษะ เหมือนกาที่จ้องมองอาหารในภาชนะ ที่บรรจุข้าวสุกของชาวบ้านที่เขาเทให้ หรือเหมือนสุนัขที่จ้องจะเลียนมส้มไม่มีผิดเลย ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์โปรดทรงสดับคำของข้าพระพุทธเจ้าดูบ้างเถิด พระพุทธเจ้าข้า”

พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับคำแก้ของมโหสถแล้ว ก็ทรงอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เพราะมโหสถแม้ยังอยู่ในวัยเยาว์ แต่สามารถมองขาดไปถึงผลที่คนพาลจักต้องได้รับในอนาคตด้วย จึงตรัสชื่นชมมโหสถว่า “เออ..มโหสถเอย เธอช่างพูดได้เข้าทีจริงเชียว” ขณะเดียวกัน ก็ทรงหันมาทางอาจารย์เสนกะ พลางตรัสว่า “ อาจารย์เสนกะ ท่านล่ะจะเเก้ว่าอย่างไร”

ผู้มีปัญญาเลิศในโลก ครั้นมาถึงถิ่นของผู้มีทรัพย์เข้าแล้ว ชาติโคตรของเขาจะเป็นอย่างไร จะมีปัญญามากมายแค่ไหน แต่หากเป็นคนจนขัดสนทรัพย์ ชื่อเสียงของเขาย่อมไม่ปรากฏเลย คงปรากฏแต่เพียงชื่อเสียงของบุคคลผู้มีทรัพย์เท่านั้น อานุภาพแห่งทรัพย์ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ข้าพเจ้าจึงกล้ายืนยันว่าคนมีปัญญาเป็นคนเลว ผู้มีทรัพย์เท่านั้นเป็นผู้ประเสริฐ”


ส่วนคนผู้ที่มีทรัพย์มากแต่ไม่มีปัญญา เพราะเหตุที่ทรามปัญญา เขาจึงไม่อาจกระทำกิจนั้นให้สำเร็จลุล่วง หรือกำจัดความสงสัยนั้นได้ เมื่อถึงคราวอับจนปัญญาเข้า ต่างก็จะพากันไปพินอบพิเทาคนมีปัญญา เพื่อรับทราบข้อวินิจฉัยอันลึกซึ้ง ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ จึงยืนยันว่า คนมีปัญญาเท่านั้นประเสริฐ คนพาลมีทรัพย์ไม่ประเสริฐเลย”
คำโต้กลับของมโหสถ พร้อมทั้งอุปมาที่ชัดเจน ทำให้อาจารย์เสนกะถึงกับสะอึก เพราะแม้ตนเองก็ยังเคยได้พึ่งพาปัญญามโหสถ แต่ว่าท่านเสนกจะมีเหตุผลใดมาค้านอีกนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)