จากตอนที่แล้ว อาจารย์เสนกะได้เข้าไปสู่ห้องรับรอง ซึ่งมีนางอมราเทวีกำลังรอต้อนรับอยู่ เพียงได้เห็นใบหน้าของนาง ก็ถึงกับตื่นตะลึงในความงาม เกิดอาการประหม่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

นางอมราฝืนยิ้มแสร้งยกยออาจารย์เสนกะไปว่า “ท่านอาจารย์เป็นถึงราชบัณฑิตผู้เรืองนาม ใครเล่าที่จะไม่ยินดีรับความกรุณาที่ท่านยื่นให้” อาจารย์เสนกะได้ฟังคำยกยอก็ยิ่งหัวใจพองโต เกิดคิดไปในทางอกุศล อัดแน่นอยู่ในอกจนหายใจติดขัด กล่าวรุกคืบเป็นเชิงขอนอนค้างแรมด้วยสักคืน
นางอมราจึงชี้ชวนว่า “หากท่านจะพักผ่อนที่นี่ ก็ต้องเปลี่ยนผ้านุ่ง และอาบน้ำเสียก่อนซิ ดิฉันจะช่วยรดน้ำให้” อาจารย์เสนกะก็ทำตามอย่างว่าง่าย ตรงไปยังตุ่มน้ำซึ่งตั้งอยู่ในที่ไม่ไกล ส่วนนางอมราพอได้จังหวะ ก็ก้มลงถอดลิ่มสลักกระดานออก อาจารย์เสนกะก็พลัดตกลงไปในหลุมคูถทันที

ครั้นถึงเวลานัด อาจารย์ปุกกุสะก็มาตรงตามเวลานัดหมายโดยมิให้คลาดเคลื่อน ฝ่ายนางอมราเทวีก็รอต้อนรับด้วยอัธยาศัยอันงาม
ครั้นต่างเจรจาปราศรัยด้วยถ้อยคำหวานหู จนอาจารย์ปุกกุสะตายใจแล้ว นางจึงได้เชื้อเชิญให้อาจารย์ปุกกุสะอาบน้ำด้วยอุบายอย่างเดียวกัน เพียงเท่านั้นอาจารย์ปุกกุสะก็ร่วงหล่นลงไปในหลุมคูถอย่างไม่เป็นท่า เท่า

อาจารย์เสนกะทั้งเจ็บตัวและเจ็บใจ รีบตะโกนตอบเสียงดังลั่นว่า “คนโว้ยคน ข้าอาจารย์เสนกะยังไงเล่า” ว่าแล้วก็ย้อนถามว่า “แกล่ะ ผีหรือคน”
“นั่นท่านอาจารย์เองหรือ นึกว่าผีที่ไหน ผมปุกกุสะขอรับ” อาจารย์ปุกกุสะตอบ พลางถามด้วยความสงสัยว่า “แล้วท่านอาจารย์มารอผมตั้งแต่เมื่อไหร่ขอรับ”
อาจารย์เสนกะถูกถามเช่นนั้นก็ยิ่งหงุดหงิดใจ จึงบอกปัดด้วยอารมณ์ขุ่นว่า “จะถามไปทำไมกัน เอาเป็นว่า ตอนนี้เราสองคน ต่างกำลังเผชิญชะตากรรมที่เลวร้ายเหมือนๆกัน หลุมนี้น่ะทั้งมืดทั้งเหม็นอย่าบอกใคร ยอมรับชะตากรรมเสียเถอะ แล้วก็ช่วยอยู่เงียบๆด้วย ต่อไปนี้ เราจะรอดหรือไม่รอดนั้น ก็อยู่ที่ความเมตตาของนางอมราแล้วล่ะ”

พลันเสียงร้องโอดครวญก็ประสานเสียงดังระงมก้องอยู่ในหลุม “เฮ้ย นั่นใครกัน นี่ข้าเสนกะกับปุกกุสะนะ”
อาจารย์เสนกะตะโกนถามเช่นนั้นเพราะมั่นใจว่า ร่างที่ร่วงหล่นมาเมื่อสักครู่ คงมิใช่ใครอื่น นอกเสียจากอาจารย์กามินทะหรือไม่ก็เทวินทะ
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ อาจารย์กามินทะถูกถามจึงรีบตอบทันทีว่า “ผมกามินทะครับ” กล่าวตอบออกไปพร้อมกับความสงสัยอยู่ครามครันว่า เหตุใดอาจารย์ทั้งสองจึงมารอตนอยู่ในหลุมคูถนี้

อาจารย์เสนกะยังไม่ทันกล่าวจบ ร่างของอาจารย์เทวินทะก็ร่วงหล่นลงมากลางวง เสียงร้องอึกทึกก็ดังขึ้นอีก
อาจารย์เสนกะแม้จะรู้ว่าต้องเป็นอาจารย์เทวินทะโดยไม่ต้องสงสัย แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีแก่ใจถามว่า “นั่น เทวินทะใช่ไหม” อาจารย์เทวินทะก็รับว่า “ใช่“
จึงเป็นอันว่าอาจารย์ทั้งสี่นั้น แทนที่จะได้ร่วมอภิรมย์กับนางอมราเทวีตามที่ตนปรารถนา แต่ในที่สุดก็กลับถูกนางล่อหลอกให้มาตกหลุมพราง ที่โชยกลิ่นเหม็นจนสุดจะทนทาน ที่ร้ายกว่านั้นทุกคนยังต้องเบียดเสียดกันอยู่ในหลุมที่ทั้งมืดทั้งคับแคบ โดยที่มองไม่เห็นทางว่าจะรอดไปได้อย่างไร
ครั้นแล้วอาจารย์ทั้งสามจึงถามอาจารย์เสนกะผู้เป็นหัวหน้าคณะของพวกตนว่า “ท่านอาจารย์ พวกเราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ”
อาจารย์เสนกะสงบอารมณ์ได้ก่อนใคร แม้จะได้รับความทุกข์ยากไม่น้อยไปกว่าใคร แต่ก็สู้ปลอบใจทุกคนว่า “อืม..พวกท่านอย่าส่งเสียงอึกทึกไปเลย นิ่งๆเสียบ้างเถอะ การบ่นน่ะไม่ได้ช่วยอะไรเราได้หรอก ทีนี้พวกท่านคงรู้แล้วสินะว่า เพียงแค่ได้รับความอดสูมันก็ยังพอทน แต่ที่ต้องมาอับจนหนทางรอดนี่ซิมันช้ำใจนัก”

ไม่น่าเชื่อเลยว่า บัณฑิตทั้ง ๔ แห่งมิถิลานคร ที่ได้ชื่อว่ามีความฉลาดรอบรู้ยิ่งกว่าใครในพระนคร จนได้รับตำแหน่งราชบัณฑิตที่ปรึกษาใกล้ชิดของพระราชา แต่กลับต้องมาเสียทีแก่สตรีสาวสวยเยี่ยงนางอมรา
นี่แหละที่เขามักพูดว่า “ผู้หญิงยิ่งสวย ยิ่งอันตราย” เพราะนางจะใช้ความสวยของนางเป็นอำนาจทำผู้ชายทั้งหนุ่มทั้งแก่ให้ตกหลุมรักนาง ยอมตนอดทนอยู่ในหลุมรักนั้นด้วยความยินดี ต้องลำบากทำงานหาเงินมาปรนเปรอนางจนตลอดชีวิต ขาดอิสระที่จะออกบวชไปตลอดชาติ
หากว่าชายใดที่ยังเป็นโสด ก็โปรดอย่าเพิ่งไปตกหลุมรักใคร มิเช่นนั้น ก็จะเสียโอกาสในการออกบวช ต้องเสียทีแก่สตรีเช่นกับบัณฑิตทั้ง ๔ ที่ตกหลุมรักนางอมรา ต้องยอมรับชะตากรรมด้วยความเซ่อซ่าของตนอยู่ในคืนอันมืดมิดเช่นนี้ ส่วนว่า อาจารย์ทั้ง ๔ เมื่อถึงรุ่งสางแล้ว พวกเขาจะต้องพบกับอะไรอีกนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)