
โดยส่วนตัวเห็นว่าการใช้แก๊สเป็นเรื่องน่ากลัว เพราะขณะที่เราขับไปบนถนน เหมือนกับเรามีลูกระเบิด 3,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้วติดตามไปด้วย ซึ่งเราคงจำเหตุการณ์แก๊สระเบิดบนถนนเพชรบุรีได้ดี โดยผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งหมดถูกส่งตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งสุดท้ายเสียชีวิตทุกราย หลายคนเกิดความหวาดกลัว แต่เมื่อน้ำมันมีราคาพุ่งสูงขึ้น ทำให้คนส่วนใหญ่หันมาติดแก๊สแทน
นพ.ประวิทย์ กล่าวว่า ก๊าซแอลพีจีและเอ็นจีวี ไม่ใช่ก๊าซพิษ แต่หากมีจำนวนมากจะแย่งอากาศหายใจ และยังมีโอกาสติดไฟได้ ซึ่งหากก๊าซในถังจำนวน 3,000 ปอนด์ออกมาในอากาศ และเกิดระเบิดขึ้น โอกาสหนีรอดคงลำบากเพราะจะมีแรงดันที่เป็นพลังมหาศาล คล้ายกับรูปดอกเห็ด ซึ่งแรงระเบิดที่ออกมาจะเป็น 2 ลักษณะ คือ แรงระเบิดที่พุ่งไปข้างหน้า จะทำอันตรายกับอวัยวะที่มีลมเป็นส่วนประกอบ เช่น แก้วหูทะลุ ปอดแตก
ต่อจากนั้นแรงระเบิดจะมีความดันลดลงทันที ทำให้เกิดแรงดูดหมุนกลับ ส่งผลให้เกิดแรงเฉือน ไม่เพียงแต่ทำให้เนื้อฉีกขาดได้ แต่ยังทำให้ทุกอย่างพังพินาศ นอกจากนี้แรงระเบิดยังดันเศษวัสดุโดยรอบให้กระจายออก ซึ่งเศษวัสดุเหล่านี้จะสามารถทะลุทะลวง และทำให้คนกระเด็นได้ และหากเป็นการระเบิดในพื้นที่จำกัดที่มีผนังยังจะทำให้เกิดแรงดัน 2 ข้าง ซึ่งส่งผลต่ออวัยวะทั้งซ้ายและขวา ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมถึงบาดแผลที่เกิดจากไฟลุกไหม้
ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบแรงระเบิดของก๊าซ หากก๊าชมีความดันที่ 58-80 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว จะมีอัตราการเสียชีวิตที่ 95% ส่วนก๊าซความดันก๊าซ 7-8 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว จะสามารถทำลายกำแพงได้ 3-5 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว จะทำให้แก้วหูทะลุ ขณะที่แรงดัน 0.5-1 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ทำให้คนล้มลง ดังนั้นหากแรงระเบิดก๊าซ 3,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้วคงไม่ต้องพูดถึง
นายปุณณชัย ฟูตระกูล ผู้จัดการฝ่ายก๊าซธรรมชาติยานยนต์ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ยอมรับว่าทุกอย่างย่อมมีอันตรายและวิธีป้องกัน ซึ่ง ปตท.รับผิดชอบในการผลิตก๊าซเอ็นจีวีและแอลพีจี โดยเอ็นจีวีเป็นก๊าซธรรมชาติที่มีส่วนผสมของมีเทนเป็นหลัก ขณะที่แอลพีจีมีโปรแพน และมิวเทนสูง ทั้งหมดของประเทศจะได้จากอ่าวไทย 80% และจากประเทศพม่า 20% เพื่อนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรม ผลิตกระแสไฟฟ้า ยานยนต์ และครัวเรือน
ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบก๊าซทั้ง 2 ชนิด พบว่า ก๊าซเอ็นจีวีมีน้ำหนักเบากว่าอากาศจึงต้องใช้แรงดันถึง 3,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เมื่อเกิดการรั่วไหลจะลอยขึ้นสูง ไม่มีการสะสม ทั้งยังมีขีดจำกัดในการติดไฟมากกว่า ต่างจากก๊าซแอลพีจีที่มีน้ำหนักมากกว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วไหลจะลงที่ต่ำซึ่งเป็นอันตราย นอกจากนี้ก๊าซเอ็นจีวีจะติดไฟได้ต้องมีอุณหภูมิ 650 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่สูงกว่าก๊าซแอลพีจี น้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล
นายปุณณชัย กล่าวว่า ก๊าซเอ็นจีวีบ้านเรามีใช้มานานแล้ว โดยมีการทดลองใช้ในรถโดยสารเพื่อดูความปลอดภัย ซึ่งเป็นสิ่งที่ ปตท.คำนึงมากที่สุด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นถังบรรจุและอุปกรณ์ติดตั้งต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากลและกรมการขนส่งทางบกกำหนด ทั้งนี้ที่ผ่านมา ปตท.ได้ร่วมกับค่ายอดิศร 2 ปีที่แล้วเพื่อทดสอบความคงทนของถังเอ็นจีวี ด้วยการยิงและจุดไฟเผา รวมทั้งทดสอบแรงกระแทก ก็ไม่มีการระเบิดเกิดขึ้น
การระเบิดของรถที่ติดตั้งถังเอ็นจีวี เกิดจากการใช้ถังก๊าซผิดประเภท หรือติดตั้งไม่ได้มาตรฐาน เช่น กรณีการระเบิดที่ ปั้มน้ำมันตรงบางนาตราด
“หากคิดติดแก๊สจริงๆ อย่าขี้เหนียว หรือหลงเชื่อว่ามีคนไปตัดล๊อตถังก๊าซมาได้ จึงมีราคาถูก เพราะอันตรายมากหากถังไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งถังก๊าซขณะนี้เป็นการนำเข้าทั้งหมดจึงควรมีใบรับรองมาด้วย” ดร.อธิคม กล่าว และว่า ทั้งนี้ทั้งเอ็นจีวีและแอลพีจีถือเป็นพลังงานทางเลือก ซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่แตกต่าง จึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสม โดยเอ็นจีวีควรนำมาใช้สำหรับรถบรรทุก ขณะที่แอลพีจีควรใช้สำหรับการหุงต้มมากกว่า ซึ่งก๊าซทั้ง 2 นั้นไม่ได้ถูกกว่าน้ำมัน แต่เป็นเพราะรัฐบาลให้การอุดหนุนอยู่ ดังนั้นจึงควรช่วยกันประหยัดพลังงาน
