“ศาสนาพุทธมีคุณสมบัติบางอย่างที่เป็นที่คาดหวังได้ว่าจะเป็นศาสนาของจักรวาลแห่งอนาคตได้: นั่นคือ มีคุณสมบัติที่อยู่เหนือเรื่องพระผู้เป็นเจ้า ไม่มีเรื่องของหลักเกณฑ์ที่ไม่มีข้อพิสูจน์ และหลีกเลี่ยงเรื่องเทววิทยา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ครอบคลุมทั้งความเป็นธรรมชาติและจิตวิญญาณ และมีองค์ประกอบพื้นฐานการเป็นศาสนาที่บอกว่า ความปรารถนาเกิดจากการมีประสบการณ์ในสิ่งต่างๆ ทั้งที่เป็นธรรมชาติและจิตวิญญาณที่รวมเข้าด้วยกันอย่างมีความหมาย”

“ถ้าจะมีศาสนาใดศาสนาหนึ่งที่จะสามารถตอบรับกับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ ศาสนานั้นคือ ศาสนาพุทธ”

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

มนุษย์อยู่บนปากขอบของการวิวัฒนาการตัวเองไปสู่รูปลักษณ์ของชีวิตในแบบใหม่ๆ ในบางมุมมองสำหรับผมแล้วมันดูเหมือนกับว่ารูปแบบของชีวิตมนุษย์ได้เจริญไปถึงจุดที่เริ่มจะสามารถควบคุมการวิวัฒนาการได้ด้วยตัวเองแล้ว นั่นคือ ถ้าชีวิตยังไม่ถูกทำลายด้วยเทคโนโลยีไปเสียก่อน ผมคิดว่า มนุษย์ได้ก้าวมาถึงจุดที่ว่านั้นแล้วในขณะนี้

แต่ว่าการวิวัฒนาการของมนุษย์ในแบบใหม่นั้นจะออกมาในรูปแบบใด ผมเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่ผมแน่ใจว่า การวิวัฒนาการของมนุษย์ในอนาคตจะเป็นไปในลักษณะที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบพันธุกรรมกับเครื่องจักรกล มันมีแนวโน้มที่เป็นได้ว่า มนุษยชาติจะสร้างเครื่องจักรประเภทที่มีความสามารถในการรับรู้ขึ้นมา ซึ่งตัวมันเองจะสามารถวิวัฒนาการตัวเองให้เป็นเครื่องจักรที่มีชีวิตจิตใจได้ต่อไป

เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่คิดไม่ถึงสำหรับพวกที่ยังมีความคิดที่ยังติดบ่วงของยุคมืดที่เกี่ยวกับเรื่องอภินิหารแบบทางศาสนาและเรื่องแฟนตาซี แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกเรื่องอภินิหารและนิทานพื้นบ้านเหล่านั้นจะไม่ได้ช่วยในการทำความเข้าใจเรื่องประสบการณ์ชีวิตของมนุษย์เสียทีเดียว แต่มันจำเป็นว่าเนื้อหาของเรื่องราวเหล่านั้นจะต้องมีความถูกต้องกับความเป็นจริงและเสนอแง่มุมว่ามนุษย์จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวนั้นๆ ได้อย่างไรด้วย ถ้าขนบธรรมเนียมต่างๆ ทางศาสนาก็ดีและเรื่องราวของนิทานพื้นบ้านก็ดีไม่ได้มีส่วนจุดประกายให้เกิดความรู้ตามความเป็นจริง มันก็เป็นการทำให้คนเราเกิดความสับสนขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรที่จะต้องมีการอธิบายแจกแจงและทำความเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรด้วยจึงจะดี

ส่วนว่าศาสนาหรือจิตวิญญาณจะช่วยมนุษยชาติจัดการกับ “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโลกใหม่ได้อย่างไรเพื่อที่จะยังทำให้ชีวิตยังคงความหมายและรักษาความเพลิดเพลินเอาไว้ได้ด้วย?

ในขณะที่ชีวิตมนุษย์กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดเพื่อที่จะไปทำความเข้าใจกับเรื่องเทพนิยาย เรื่องจิตใต้สำนึก และมิติที่ซ่อนเร้นอยู่ของจิตวิญญาณ มนุษย์ไม่สามารถจะละทิ้งเรื่องของจิตวิญญาณในชีวิตไปได้ในขณะนี้ เพราะว่าในไม่ช้ามนุษยชาติเองก็จะต้องวิวัฒนาการตัวเองไปสู่อะไรบางอย่าง ผมเองเชื่อมั่นว่า มันเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่เราไม่ควรจะละทิ้งเรื่องของจิตวิญญาณโดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้ เพราะว่าจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราสามารถรักษาสติของเราได้ในขณะที่กำลังนำนาวาชีวิตให้ผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ ของมวลมนุษยชาติไปได้

แต่ว่าความเชื่อทางจิตวิญญาณจะสามารถช่วยมนุษยชาติขับเคลื่อนต่อไปอย่างมีความหวัง อย่างสงบสุข และอย่างรักใคร่กัน ไปสู่โลกแห่งการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์และน่าตื่นตระหนกด้วยได้อย่างไรนั้น เรื่องนี้ผมเห็นด้วยกับไอน์สไตน์ที่ว่า ศาสนาพุทธจะสามารถเป็น “ศาสนาของจักรวาลแห่งอนาคต” ได้

ผมไม่ได้กำลังเรียกร้องให้ใครละทิ้งความไม่เชื่อเรื่องพระผู้เป็นเจ้าหรือความเชื่อเรื่องศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่ผมกำลังพูดกับผู้ที่มีความเข้าใจเรื่องของอนาคตว่า จิตวิญญาณยังเป็นส่วนสำคัญของชีวิต แทนที่จะละทิ้งชีวิตทางด้านจิตวิญญาณด้วยเหตุผลว่ามันเป็นธรรมเนียมทางศาสนาที่ “เก่า” หรือเป็นความเชื่อที่ไม่เหมาะสมกับยุคสมัย และไม่เป็นประโยชน์แล้ว ผมขอเสนอว่า เราควรจะไปรับเอาความเข้าใจเรื่องจักรวาลวิทยาที่ไปด้วยกันได้กับการเปลี่ยนแปลงทางจักรวาลที่รอคอยพวกเราอยู่ข้างหน้าเข้ามาไว้จะดีกว่า

พระพุทธศาสนาเป็นเส้นทางไปสู่สภาพจิตใจและหัวใจที่ดี

ในคำสอนทางพระพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม อะไรที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล ไม่น่าเชื่อถือ และไม่จริง ควรจะถูกโยนทิ้งไป พระพุทธศาสนาไม่ได้ขอให้เราเชื่อในเรื่องการมีผู้สร้างสูงสุด หรือพระผู้เป็นเจ้าที่เป็นตัวตน แต่เราสามารถเชื่อได้ถ้าเราคิดว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ ในขณะที่พระพุทธศาสนาบอกให้เราพิจารณาถึงการคิด การพูด และการกระทำของเราที่ส่งผลต่อการสร้างชีวิตของเราเอง พระพุทธศาสนายังให้เราพิจารณาวิธีการที่เราติดต่อและปฏิสัมพันธ์กับส่วนที่เหลืออยู่ของชีวิตและพิจารณาถึงขอบเขตที่เราได้ทำให้เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์เหล่านั้นและขอบเขตที่ความสัมพันธ์เหล่านั้นมีผลต่อชีวิตของเรา พระพุทธศาสนาได้นำเสนอวิธีชีวิตแบบสัมมาอาชีวะและการมีสัมมาสติ เพื่อว่าชีวิตเราจะได้มีความทุกข์ที่ลดลงและมีความสุขในชีวิตที่มากขึ้น หนทางที่ว่านี้สามารถหาได้จากพระธรรมวินัยเรื่องการทำสมาธิและการคบหาผู้ที่อยู่ในสังคมทางศาสนาด้วยกัน

พระพุทธศาสนาไม่ได้ขอให้เราละทิ้งความเชื่อเรื่องพลังงานเหนือธรรมชาติที่มองไม่เห็นที่มีอยู่รอบๆ ตัวเรา พระพุทธศาสนาเพียงแต่ขอให้เราพิจารณาว่า พลังงานที่ว่านี้มีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ต่อเราอย่างไร พระพุทธศาสนาได้มุ่งไปที่เรื่องความสัมบูรณ์และสัจจธรรมที่อยู่เบื้องหลังพลังงานเหล่านี้ และการเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เรามองว่าเป็นชีวิตของเราเอง

แต่พระพุทธศาสนาก็ยังเป็นศาสนาแห่งความรักด้วย ชีวิตที่ปราศจากความรักนั้นยากที่จะทนทานได้และพระพุทธศาสนาก็เข้าใจในเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าบอกให้เราอยู่เหนือเงื่อนไขของสังคม วัฒนธรรมและครอบครัวที่แตกต่างกัน และให้มองไปที่ว่า คนทุกคนมีสิ่งที่เหมือนกันคือ มีความชอบ ความไม่ชอบ มีความรู้สึก มีอารมณ์ นอกจากนี้พระพุทธเจ้ายังบอกให้เราพิจารณาทุกชีวิตและทุกสรรพสัตว์อย่างตระหนักรู้และในแง่ที่ว่าเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน พระพุทธเจ้ายังสอนอีกว่า จะไม่มีความสงบ ไม่มีความสุขที่แท้จริง ไม่มีความสมานฉันท์ ถ้าเรายังทำให้คนอื่นถูกรังแกและถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เส้นทางของพระพุทธเจ้าเป็นเส้นทางการสอนที่สูงส่ง ช่วยให้เข้าถึงสัจจธรรมและมีความสุขสบายด้วย

ในวงจรชีวิตของมวลมนุษยชาติที่กำลังจะมาถึงใหม่นี้ ต้องการความเชื่อทางจิตวิญญาณที่เข้ากันได้ดีกับจิตใจและหัวใจไปพร้อมๆ กัน และต้องเป็นความเชื่อที่ไม่บอกให้เราละทิ้งปัญญาและการทำความเข้าใจกับเรื่องของพิธีกรรม ขนบธรรมเนียม และกิจวัตรต่างๆ ผมเองก็ไม่ขอให้ใครละทิ้งศาสนา หรือละทิ้งความเป็นคนที่ไม่มีศาสนาของเขา ถ้าการเป็นเช่นนั้นจะเป็นการช่วยตัวพวกเขาเองและผู้อื่น แต่ผมกำลังขอให้พวกที่ละทิ้งความเชื่อทางจิตวิญญาณเดิมไปแล้วเพราะว่า ไม่ต้องการที่ละทิ้งการเรียนรู้พระพุทธศาสนาและการทำสมาธิ

ผมเชื่อเหมือนไอน์สไตน์ว่า พระพุทธศาสนาจะสามารถทำให้เราเข้าถึงจิตวิญญาณของชีวิตส่วนที่ซ่อนเร้นอยู่ได้อย่างเบิกบานในขณะที่ชีวิตยังดำเนินอยู่ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในทศวรรษข้างหน้านี้ ความหมายของการเป็นมนุษย์จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งมาก แต่ความจริงก็คือว่า ไม่ว่าชีวิตจะมีวิวัฒนาการไปอย่างไร มันก็คือชีวิตด้วยกันทั้งสิ้น และชีวิตนี่แหละจะเป็นตัวช่วยให้เราผ่านพ้นไปในอนาคตได้ ศาสนาพุทธและวิธีการของสมาธิได้ให้สิ่งที่เป็นความหวังทางจิตวิญญาณ ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ให้ละทิ้งความมีเหตุมีผลของเรา ความเป็นวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของเราด้วย ในความเป็นจริง มนุษยชาติจะไม่ละทิ้งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและมนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องละทิ้งความเบิกบานของชีวิตที่สามารถค้นพบได้จากจิตวิญญาณด้วยการมีจิตใจและหัวใจที่ดีงามด้วย

 

ที่มา-http://ashin-mettacara.com/buddhism/news/425-the-cosmic-religion-of-the-future

 
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง