ชาดก 500 ชาติ
วรุณชาดก ชาดกว่าด้วยการทำไม่ถูกขั้นตอน
กุลบุตรชาวสาวัตถีประมาณ 30 คนเดินทางไปยังวิหารเชตวันย้อนไปในสมัยพุทธกาล ณ พระเชตวันมหาวิหารอันเป็นที่ประทับของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีกุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีซึ่งเป็นสหายกันประมาณ 30 คน
ถือของหอม ดอกไม้และผ้า คิดกันว่าจะเข้าเฝ้าฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา จึงได้พากันไปยังวิหารเชตวันและได้นั่งพักในโรงนา คมาฬกะ วิสาลมาฬกะกุลบุตรชาวสาวัตถีนำดอกไม้ของหอมเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาเพื่อรอเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ พอเวลาเย็นพระศาสดาก็เสด็จออกจากพระคันธกุฎีอันอบด้วยกลิ่นหอม เสด็จดำเนินไปสู่ธรรมสภาประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ อันตกแต่งแล้ว
เหล่ากุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีจึงได้บูชาพระศาสดา ด้วยของหอมและดอกไม้ ถวายบังคมแถบบาทยุคลอันประดับด้วยจักรทรงพระสิริเสมอด้วยดอกบัวบาน
แล้วนั่งฟังพระธรรมอย่างสงบ และพร้อมใจกันออกบรรพชา เพื่อศึกษาพระธรรมให้บรรลุแจ้งกุลบุตรหนุ่มตั้งใจฟังธรรมจากพระบรมศาสดา“เราทั้งหลายต้องบวช ถึงจะรู้ทั่วถึงธรรม ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้แล้วได้กว้างขวาง” “เราก็เห็นควรกับท่านนะ เพราะถ้าหากเราไม่บวช ก็คงจะบรรลุธรรมได้อยาก”
ในเวลาที่พระตถาคตเสด็จออกจากธรรมสภา พวกกุลบุตรเหล่านั้นก็พากันไปเข้าเฝ้า ถวายบังคมทูลขอบรรพชา พระศาสดาก็ทรงประทานบรรพชาแก่พวกเขาสมความตั้งใจกุลบุตรหนุ่มได้ปรึกษากันถึงเรื่องการออกบวชด้วยความมุ่งมั่นศึกษาธรรม ทำให้เป็นที่โปรดปรานแก่อาจารย์และอุปัชฌาย์ สามารถท่องมาติกาทั้งสองคล่องแคล้ว รู้สิ่งที่เป็นกัปปิยะ และอกัปปิยะ เรียนทั้งโมทนา 3
เย็นย้อมจีวร ประพฤติปฏิบัติธรรมไม่ได้ว่างเว้นตลอดระยะเวลา 5 พรรษาที่ได้อุปสมบท จากนั้นก็กราบลาอาจารย์อุปปัชฌาย์เพื่อบำเพ็ญสมณะธรรมกุลบุตรหนุ่มซึ่งเป็นสหายกัน 30 กว่าคนได้ตัดสินใจออกบวช“พวกกระผมจะขอลาท่านอาจารย์ เพื่อไปบำเพ็ญสมณะธรรมขอรับ” “ขอให้พวกเจ้าทั้งหลายโชคดี บำเพ็ญสมณะอย่างตั้งใจ จงสำเร็จทุกประการเทอญ” “สาธุ”เมื่อลาอุปัชฌาย์อาจารย์เสร็จ ก็พากันไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา เพื่อถวายบังคมลาตามพุทธทำเนียมปฏิบัติสืบมาบรรดาภิกษุหนุ่มแจ้งความประสงค์ต่อพระศาสดาที่จะออกเดินทางไปบำเพ็ญสมณะธรรม“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์นี้ เอื้อมระอาในภพทั้งหลาย กลัวแต่ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย จึงมีความตั้งใจจะออกบำเพ็ญสมณะ ขอพระองค์จงตรัส
บอกพระกรรมฐาน เพื่อปลดเปลื้องตนสังขารทุกข์แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเหล่านี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า”เหล่าภิกษุทั้งหลายพากันออกเดินทางไปบำเพ็ญสมณะธรรมพระศาสดาทรงทราบสัปปายะ กรรมฐานข้อใดเป็นสิ่งที่เหมาะกับสิ่งที่เกื้อกูล ช่วยสนับสนุนในการบำเพ็ญภาวนาให้ได้ผลดี ช่วยให้สมาธิตั้งมั่นไม่เสื่อมถอย จึงตรัสบอก
พระกรรมฐานข้อหนึ่ง ในกรรมฐาน 38 ประการแก่ภิกษุเหล่านั้น หลังจากที่ได้เรียนพระกรรมฐานในสำนักของพระศาสดาแล้ว เหล่าภิกษุทั้งหลายจึงได้ถวายบังคมพระศาสดากระทำประทักษิณไปสู่บริเวณภิกษุผู้เกียจคร้านรูปหนึ่งได้ละทิ้งความเพียรโดยการไม่ออกไปบำเพ็ญสมณะธรรมอำลาอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ถือเอาบาตรและจีวรออกจากวิหาร ไปด้วยตั้งใจว่า พวกเราจักบำเพ็ญสมณะธรรม ในบรรดาภิกษุเหล่านั้น มีภิกษุรูปหนึ่งชื่อว่า กุฏุมพิกปุตตติสสเถระเป็นผู้เกียจคร้าน
ความเพียรทราม ติดรสอาหาร เธอคิดอย่างนี้ว่า เราจักไม่สามารถอยู่ในป่า ไม่ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการเที่ยวภิกษาจาร การไปป่าไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เราจะกลับบรรดาเพื่อนภิกษุทั้งหลายต่างพากันสงสัยในการเดินทางกลับของภิกษุผู้เกียจคร้านเธอทอดทิ้งความเพียรเสียแล้ว “โอ๊ย ให้ไปบำเพ็ญอยู่ในป่ามีแต่จะทำให้ลำบาก อาหารอร่อยๆ ก็ไม่มีให้กิน ใครจะไปอยู่ได้ล่ะ เฮ้อ..คิดแล้วก็ท้อเลยเรา ฮึ ไม่เอาดีกว่า กลับไปอยู่วัดตามเดิมดีกว่า
สบายกว่ากันเยอะ หันหลังกลับดีกว่า” “อ้าว นั่นกุฏุมพิกปุตตติสสเถระเขาเดินกลับไปทำไมล่ะท่าน” “ช่างเขาเถอะ เรารีบเดินทางกันต่อดีกว่า อย่าไปใส่ใจเลยนะท่าน”เหล่าภิกษุทั้งหลายต่างพากันทำความเพียรตลอดทั้งพรรษาฝ่ายภิกษุเหล่านั้นพากันจาริกไปในแคว้นโกศล ถึงหมู่บ้านชายแดนตำบลหนึ่ง ก็เข้าอาศัยหมู่บ้านนั้นจำพรรษาอยู่ที่ชายป่าแห่งหนึ่ง เป็นผู้ไม่ประมาท ตลอดพรรษาบรรดาภิกษุทั้งหลาย
ต่างก็เพียรพยายามวิปัสสนาจนบรรลุพระอรหันต์ ครั้นพอออกพรรษา ปวารณาแล้วปรึกษากันว่า “บัดนี้ก็ออกพรรษาแล้ว พวกเราต่างบรรลุหลักธรรมในพระศาสดา จนได้เป็นพระอรหันต์แล้วเหล่าภิกษุผู้บำเพ็ญสมณะธธรรมได้เดินทางกลับมายังเชตวันหลังจากที่ออกพรรษาแล้วเราทั้งหลายควรกราบทูลคุณที่เราได้บรรลุนี้ แด่พระศาสดา” จากนั้นจึงพากันออกจากปัจจันตคามถึงพระเชตวันมหาวิหารโดยลำดับ เมื่อเข้าพบอาจารย์และพระอุปัชฌาย์เสร็จแล้ว
ต่างก็พากันไปเฝ้าพระศาสดา “บัดนี้พวกข้าพระองค์สำเร็จในธรรมแห่งพระพุทธองค์ บรรลุอรหันต์แล้วพระเจ้าข้า” “เราขอแสดงความยินดีในธรรมแก่พวกเธอทั้งหลาย
ขอให้พวกเธอจงรักษาความดีนี้ไว้เพื่อความเป็นบึกแผ่นและดำรงไว้ซึ่งพระศาสนาเป็นที่พึ่งพิงของสรรพสัตว์ทั้งหลายต่อไปนะ” “สาธุ”
ภิกษุผู้เกียจคร้านเกิดความอิจฉาเพื่อนภิกษุที่ได้รับคำชมจากพระบรมศาสดาฝ่ายพระกุฏุมพิกปุตตติสสเถระ เมื่อเห็นพระศาสดาตรัสสรรเสริญคุณของภิกษุเหล่านั้น แม้ตนเองก็ประสงค์จะบำเพ็ญสมณะธรรมบ้าง “ภิกษุพวกนี้กลับมา ต่างก็ได้รับคำชม
จากพระศาสดายิ้มแก้มปริกันถ้วนหน้า ฮึ น่าอิจฉาจริงๆ เลย ไม่ได้แล้ว เราก็อยากให้พระองค์ยกย่องเราเหมือนกัน เราต้องบำเพ็ญสมณะบ้างแล้วล่ะ จะได้ไม่น้อยหน้าภิกษุรูปอื่น”เหล่าภิกษุทั้งหลายได้เดินทางไปบำเพ็ญสมณะธรรมยังชายป่าอีกครั้งเมื่อเหล่าภิกษุทั้งหลาย กราบทูลลาพระศาสดา เพื่อไปบำเพ็ญสมณะธรรมที่ชายป่า พระกุฏุมพิกปุตตติสสเถระ จึงได้ออกเดินทางไปกับภิกษุทั้งหลายด้วย
“พวกท่านจะออกไปเจริญสมณะที่ชายป่ากันอีกใช่มั๊ย คราวนี้เราขอตามพวกท่านไปบำเพ็ญสมณะด้วยนะ รับรองว่าคราวนี้เราจะตั้งใจให้ถึงที่สุดเลยล่ะท่าน”
“หากท่านประสงค์เช่นนั้น พวกเราก็มิขัดข้องหรอกพระกุฏุมพิกปุตตติสสเถระผู้เกียจคร้านเร่งทำความเพียรในการบำเพ็ญสมณะธรรมพวกเราก็ขออนุโมทนาบุญกับท่านด้วยนะ สาธุ” “ฮิฮิ คราวนี้หล่ะ เราก็จะได้เป็นพระอรหันต์ เราก็จะได้รับคำชมจากพระศาสดาด้วย ฮิๆๆ” ในระหว่างที่เดินทางไปได้ราตรีเดียว
พระกุฏุมพิกปุตตติสสเถระนั้น บำเพ็ญเพียรจัดในระหว่างเวลารัตติกาล บำเพ็ญสมณะธรรมโดยรีบเร่งเกินไป พอถึงเวลาระยะมัชฌิมยาม ทั้งๆ ที่ยืนพิงแท่งกระดานสำหรับพัก
ก็เผลอหลับไป กลิ้งตกลงมา กระดูกขาของท่านแตกเกิดเวทนายิ่งนักพระกุฏุมพิกปุตตติสสเถระผู้เกียจคร้านได้ตกจากไม้กระดานทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ“โอ๊ย ขาเรา โอ๊ย เจ็บเหลือเกิน ช่วยด้วยๆ ใครก็ได้มาช่วยเราที โอ๊ย” เหล่าภิกษุทั้งหลายจึงพาพระกุฏุมพิกปุตตติสสเถระกลับมายังพระเชตะวัน พระศาสดาจึงตรัสถามภิกษุเหล่านั้น
ผู้พากันมาในเวลาเป็นที่บำรุงว่า “ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเพิ่งบอกลาเราเมื่อวานว่า จักพากันไปในวันพรุ่งนี้มิใช่หรือ”
พระกุฏุมพิกปุตตติสสเถระผู้เกียจคร้านไม่สามารถเดินทางต่อได้เพราะได้รับบาดเจ็บ“พระเจ้าข้า แต่ว่าท่านติสเถระบุตรกุฏุมพีสหายของข้าพระองค์ทั้งหลาย กระทำสมณะธรรมอย่างรีบเร่งในเวลามิใช่กาล จึงถูกความง่วงครอบงำ กลิ้งตกลงมากระดูกขาแตก
พวกข้าพระองค์จึงจำต้องงดการเดินทางพระเจ้าข้า” “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ภิกษุนี้รีบเร่งกระทำความเพียรในเวลามิใช่กาลพระศาสดาทรงนำ วรุณชาดก มาตรัสเล่าให้กับบรรดาภิกษุทั้งหลายได้รับฟังเพราะความที่ตนเป็นผู้มีความเพียรย่อหย่อน จึงกระทำอันตรายต่อการเดินทางของพวกเธอ แม่ในครั้งก่อนภิกษุนี้ก็ได้ทำการอันไม่บังควรเช่นนี้มาแล้วเหมือนกัน”พระศาสดาจึงนำ วรุณชาดกมาตรัสเล่าให้เหล่าภิกษุทั้งหลายได้ฟัง ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นอาจารย์ทิสาปาโมกข์ ให้มานพ 500 คนเล่าเรียนศิลปะอยู่ในเมืองตักศิลา แคว้นคันทาระ
มานพหนุ่ม 500 คนได้เล่าเรียนกับอาจารย์ทิสาปาโมกข์ ณ เมืองตักศิลาครั้นวันหนึ่งมานพเหล่านั้นพากันเข้าไปในป่าเพื่อหาฝืนมาเก็บไว้ ในระหว่างมานพเหล่านั้นมีมานพผู้เกียจคร้านอยู่คนหนึ่ง เห็นต้นกุ่มใหญ่ สำคัญว่าต้นไม้นี้เป็นต้นไม้แห้งคิดว่านอนเสียชั่วครู่หนึ่งก่อนก็ได้ ทีหลังค่อยขึ้นต้นแล้วหักฟืนทิ้งลงมาแล้วหอบเอาไป จึงปูลาดผ้าห่มลงนอนกรนหลับสนิทเหล่ามานพหนุ่มได้เดินทางเข้าป่าเพื่อไปหาฟืน“เอาเวลามานอนหลับสักงีบจะดีกว่า เดี๋ยวค่อยตัดต้นกุ่มเอาก็ได้ ไม่เห็นต้องไปหาฟืนให้เหนื่อยเลย ฉลาดไม่มีใครเทียบเลยเรา ฮ่าๆๆ เฮ้อ นอนดีกว่า” ส่วนมานพผู้อื่นต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาเก็บฟืนและแบกกันมาเป็นมัดๆ เมื่อเห็นมานพผู้เกียจคร้านเอาแต่นอนไม่ช่วยเก็บฟืน จึงเอาเท้ากระทืบมานพนั้นที่หลัง ปลุกให้ตื่นแล้วพากันไป “หมั่นไส้จริงๆ เลยนอนกินแรงคนอื่นเค้านี้ เฮ้อ” “นั่นนะสิ ดูสินอนน้ำลายยืดเชียว อย่างนี้มันต้อง นี่แน่ะ”มานพหนุ่มผู้เกียจคร้านแอบนอนหลับในขณะที่เพื่อนๆ พากันไปหาฟืน“โอ๊ย ใครมาปลุกเราว่ะ แล้วนี่ นี่คนอื่น เค้าแบกฟืนกลับมากันแล้วหรือนี่” มานพผู้เกียจคร้านตกใจตื่น ลุกขึ้นขยี้ตาจนหายง่วงแล้ว ก็รีบปีนขึ้นต้นกุ่ม จับกิ่งเหนี่ยวมาตรงหน้าตนพอหักแล้วปลายไม้ที่ลัดขึ้นก็ดีดเอาในตาของตนแตกไป “โอ๊ยเจ้ากิ่งไม้บ้า ดีดใส่ตาข้า โอ๊ย คอยดูนะข้าจะหักกิ่งแก่ให้หมด หนอย นี่แน่ะๆ”
มานพหนุ่มได้ปีนขึ้นต้นกุ่มเพื่อหักกิ่งนำมาทำฟืนมานพผู้เกียจคร้านเอามือข้างหนึ่งปิดตาไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่ง ก็หักฟืนสดๆ ลงจากต้น มัดแล้วก็เอาไปแบกทับบนฟืนแห้งที่พวกมานพคนอื่นๆ กองกันเอาไว้อีกด้วย “กองเอาไว้บนนี้แหละขี้เกียจจะแยกแล้ว กลับไปเอายาทาตาดีกว่า อู๊ย เจ็บๆๆๆ” และในวันเดียวกันนั้นเองตระกูลหนึ่งจากบ้านในชนบท นิมนต์อาจารย์ไว้ว่าไม้กุ่มได้ดีดลูกนัยน์ตาของมานพหนุ่มจนได้รับบาดเจ็บ“ท่านอาจารย์ขอรับ พรุ่งนี้พวกผมจะกระทำการสวดมนต์ จึงเรียนเชิญท่านอาจารย์และเหล่ามานพทั้งหลายด้วยนะครับ” เมื่อทราบดังนั้น ท่านอาจารย์จึงกล่าวกับมานพทั้งหลายว่า“พรุ่งนี้ พวกเจ้าต้องไปยังหมู่บ้านตำบลหนึ่ง หากพวกเจ้าไม่ได้กินอาหารก่อน ก็จะไม่อาจเดินทางไหว เพราะฉะนั้นขอให้พวกเจ้าทั้งหลาย รีบตื่นขึ้นมาต้มข้าวแต่เช้าตรู่มานพหนุ่มได้นำกิ่งไม้สดมาวางรวมกับฟืนแห้งพวกเราจะได้มีเรี่ยวแรงออกเดินทางกันถึงที่ตำบลนั้นทันเวลา” “ขอรับ ท่านอาจารย์” พวกมานพรีบตื่นแต่เช้าตรู่ แล้วปลุกทาสีให้ลุกขึ้นต้มข้าวในทันที ทาสีกุลีกุจอหอบฟืนเพื่อไปต้มข้าวแต่หารู้ไม่ว่าได้หอบเอาฟืนไม้กุ่มสดๆ ที่มานพผู้เกียจคร้านได้หอบไปเก็บไว้กับฟืนแห้ง แม้จะใช้ปากเป่าลมบ่อยๆ ก็ไม่อาจทำให้ไฟลุกได้ จนดวงอาทิตย์ขึ้นชาวบ้านจากชนบทได้เรียนเชิญอาจารย์ทิศาปาโมกข์และบรรดาศิษย์ไปยังบ้านของตน“เวรกรรมแท้ๆ เอาฟืนสดมาก่อไฟ แล้วมันจะก่อติดได้ยังไงกันล่ะเนี่ย มันต้องเป็นฟืนของเจ้ามานพผู้เกียจคร้านแน่ๆ เลย” “ใช่แล้ว นี่มันไม้กุ่มสดๆ ของเจ้ามานพขี้เกียจจริงๆ ด้วย ข้าจำได้”“เฮ้ย สายป่านนี้แล้ว ยังต้มข้าวไม่เสร็จ สงสัยจะไปไม่ทันแล้วเนี่ยพวกเรา” “แล้วจะทำยังไงกันดีละท่าน” “จะทำยังไงได้ล่ะ ก็คงต้องไปบอกท่านอาจารย์ตรงๆ นะสิ”อาจารย์ทิศาปาโมกข์ได้บอกศิษย์ให้เตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้นเหล่ามานพจึงพากันไปยังสำนักท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์จึงเอ่ยถามว่า “พ่อเอ๋ย พวกเจ้าไม่ได้ไปกันดอกรึ” “ขอรับท่านอาจารย์” “แล้วเพราะเหตุใดกันพวกเจ้าถึงไปไม่ได้”“เพราะมานพเกียจคร้านเข้าป่าไปหาฟืนกับพวกกระผม แต่แอบไปนอนหลับเสียที่โคนกุ่ม แล้วหักไม้กุ่มสดๆ มาสุมกองปนกับไม้ฟืนแห้งที่พวกกระผมหามาขอรับท่านอาจารย์นางทาสีเร่งรีบหยิบฟืนเพื่อนำไปก่อไฟสำหรับเตรียมอาหารเช้าคนต้มข้าวขนเอาฟืนสดๆ นั้นไปด้วย สำคัญว่าเป็นฟืนแห้ง จนดวงอาทิตย์ขึ้นสูง ก็ไม่อาจก่อไฟให้ลุกได้ จึงทำให้พวกกระผมไม่สามารถออกเดินทางได้ขอรับ” เมื่อท่านอาจารย์ฟังสิ่งที่มานพผู้เกียจคร้านกระทำผิดพลาดแล้ว จึงกล่าวว่า “อืม ความเสื่อมเสียเห็นปานนี้ย่อมมีได้ เพราะอาศัยกรรมของพวกอันธพาลแท้ๆ เมื่อบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งไม่พิจารณาให้ถ่องแท้ว่าไฟไม่สามารถติดได้เพราะฟืนที่นำมาก่อไฟเป็นไม้สดกิจนี้ต้องทำก่อน กิจนี้ต้องทำภายหลัง เอากิจที่ต้องทำก่อน คือกรรมที่ต้องกระทำทีแรกนั้นมากระทำในภายหลัง บุคคลนั้นเป็นพาล บุคคลย่อมเดือดร้อน คือโศกเศร้าร่ำไห้ ในภายหลังเหมือนมานพของพวกเรา ผู้หักไม้กุ่มผู้นี้” พระโพธิสัตว์กล่าวเหตุนี้แก่เหล่าอันเตวาสิก ด้วยประการฉะนี้ แล้วกระทำบุญ มีทานเป็นต้นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ได้ชี้ให้เห็นโทษของการกระทำที่ไม่ถูกขั้นตอนแก่ศิษย์ในสุดท้ายแห่งชีวิตก็จากไปตามครรลองของกรรม เมื่อกล่าววรุณชาดกจบแล้ว พระบรมศาสดาก็ตรัสแก่เหล่าภิกษุทั้งหลายว่า “พวกท่านเห็นถึงโทษของการทำไม่ถูกขั้นตอนแล้วใช่ไหม” “สาธุ” “เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปพวกเธอทั้งหลาย จงนำธรรมข้อนี้ไปพึงระลึกกันนะ” “สาธุ” แล้วพระพุทธองค์ทรงประชุมชาดกว่ามานพผู้ถึงแก้นัยน์ตาแตกในครั้งนั้น ได้กำเนิดเป็น ภิกษุผู้กระดูกขาแตกในบัดนี้มานพคนอื่นๆ กำเนิดเป็น พุทธบริษัท ส่วนพราหมณ์อาจารย์ เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า
[[videodmc==50898]]
[[videodmc==50898]]
[[videodmc==50898]]