ชาดก 500 ชาติ
โกกาลิกชาดก-ชาดกว่าด้วยพูดในกาลที่ควรพูด
พระศาสดาทรงประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารในสมัยพุทธกาลเมื่อครั้งที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภพระโกกาลิกะ ได้ตรัสพระธรรมเทศนาดังนี้ ในพรรษาหนึ่ง พระอัครสาวกทั้งสองปลีกตัวออกจากหมู่สาวกทั้งหลาย เดินทางไปถึงโกกาลิกรัฐพระอัครสาวกออกเดินทางไปยังโกกาลิกรัฐพำนักอยู่ในวัดพระโกกาลิกะ และสั่งไม่ให้บอกแก่ใครว่าท่านทั้งสองเป็นใคร โดยจะทำการสอนพระธรรมเพื่อตอบแทน “ เธอจงอย่าบอกเรื่องของเราแก่ใคร ” “ ข้ารับรองว่าจะไม่บอกใครแน่นอน ” “ ดีแล้ว เราจะสอนธรรมะของพระศาสดาให้แก่เธอ ”พระอัครสาวกขอร้องพระโกกาลิกะให้บิดบังฐานะที่แท้จริงของตนทั้งสอง“ ถ้าเช่นนั้น ก็เชิญท่านอยู่ตามสบายเถิด ” พระโกกาลิกะได้ถวายอาสนะอันสมควรแก่อัครสาวกทั้งสองแล้ว ก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ใคร ทำตามที่รับปากไว้ พระอัครสาวกจำพรรษาอยู่ 3 เดือน เมื่อปวารนาแล้ว จึงลากลับไปยังพระเชตวัน
พระอัครสาวกได้จำพรรษา อยู่ ณ โกกาลิกรัฐเป็นเวลา 3 เดือน“ เรามาจำพรรษาอยู่ที่นี่ 3 เดือนแล้ว ได้เวลาต้องลากลับแล้ว ” “ ขอบใจท่านมาก ที่ต้อนรับเราเป็นอย่างดี ” พระอัครสาวกทั้งสอง บอกลาพระโกกาลิกะ แล้วก็เที่ยวบิณฑบาตในหมู่บ้านใกล้ ๆ เมื่อกระทำภัตกิจเสร็จแล้วก็พากันออกจากหมู่บ้านพระอัครสาวกได้อำลาโกกาลิกะหลังจากที่ได้ออกพรรษาฝ่ายพระโกกาลิกะ เมื่อพระอัครสาวกจากไปแล้ว ก็ทนเก็บความลับไม่ไหว จึงตำหนิชาวบ้าน ที่ไม่รู้ว่าภิกษุทั้งสองนั้น คือพระอัครสาวก “ พวกเจ้าทั้งหลาย มีตาหามีแววไม่ ”“ ทำไม่ อยู่ดี ๆ มาว่าพวกเราเช่นนี้หละ ” “ พูดแบบนี้หมายความว่าไง ”พระอัครสาวกออกบิณฑบาตในหมู่บ้าน“ ก็ภิกษุสองรูปนั่นไงล่ะ คือพระอัครสาวกที่มาจำพรรษาที่นี่ ” “ จริงรึ ถึงว่าท่าทางท่านทั้งสองไม่ธรรมดาเลย ” “ แล้วทำไม่ ท่านเพิ่งมาบอกพวกเราล่ะ ” “ พวกเรา รีบตามท่านไปดีกว่า ” ชาวบ้านเมื่อทราบเรื่องจึงรีบตามพระอัครสาวกพระโกกาลิกะเก็บความลับไว้ไม่ไหวได้บอกชาวบ้านไปว่าพระอัครสาวกกำลังเดินทางจากไปโดยถือเอาเนยใสและน้ำมัน รวมทั้งผ้าเป็นอันมากเพื่อถวายแก่พระอัครสาวกทั้งสอง พระโกกาลิกะนั้นก็ตามไปด้วย เพราะคิดว่าพระอัครสาวกคงไม่รับสิ่งของเหล่านั้น
และคงให้ชาวบ้านมอบให้ตนแทน “ พระคุณเจ้า พวกเรามีตาแต่หามีแววไม่ โปรดให้อภัยพวกเราด้วยเถิด ”ชาวบ้านต่างตื่นเต้นยินดีที่รู้ว่าตลอดพรรษาพระอัครสาวกได้พำนักอยู่ที่โกกาลิกรัฐ“ สิ่งของเหล่านี้พวกเรานำมาถวาย โปรดรับเอาไว้เถิด ” (...“ เฮอะ เฮอะ เฮอะ ของพวกนี้ต้องเป็นของเราแน่ ๆ เยอะแยะไปหมดเลย ”…พระโกกาลิกะคิดในใจ) “ เราไม่โทษ
พวกเจ้าหรอก เพราะเราเป็นคนบอกให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับเอง ”
ชาวบ้านรีบนำสิ่งของเพื่อไปถวายต่อพระอัครสาวกทั้งสอง“ พวกเจ้าทั้งหลาย จงเอาสิ่งของเหล่านี้กลับไปเถิด เราไม่ปรารถนาจะรับสิ่งของใด ๆ ” พระอัครสาวกทั้งสองไม่รับสิ่งของที่ชาวบ้านนำมาถวายดั่งที่พระโกกาลิกะคิดไว้
แต่ก็มิได้สั่งให้ถวายแด่ใคร เมื่อพระอัครสาวกทั้งสองจากไปแล้วพระโกกาลิกะได้เดินตามชาวบ้านด้วยในใจหวังว่าพระอัครสาวกจะมอบสิ่งของนั้นให้แก่ตนชาวบ้านจึงนำสิ่งของเหล่านั้นกลับไปด้วย สร้างความไม่พอใจให้แก่พระโกกาลิกะเป็นอันมาก “ หนอย อดเลยเรา มาอาศัยเราอยู่ตั้ง 3 เดือน ไม่คิดจะตอบแทนกันบ้างเลยตัวเองไม่รับก็ไม่ยอมบอกให้เรา ”พระอัครสาวกไม่ได้รับสิ่งของที่ชาวบ้านนำมาถวายแม้แต่ชิ้นเดียวต่อมาพระอัครสาวกได้มีโอกาสมาหมู่บ้านแห่งนั้นพร้อมด้วยภิกษุ 1,000 รูป พระโกกาลิกะก็ให้การต้อนรับเหมือนเช่นเคย “ เชิญพวกท่านพักกันตามสบายเถิด ” “ ขอบใจท่านมาก
พรุ่งนี้เราจะพาภิกษุทั้งหลายไปเยี่ยมเยียนชาวบ้าน ”
พระโกกาลิกะคับแค้นใจยิ่งนักที่พระอัครสาวกไม่รับสิ่งของจากชาวบ้านตนก็เลยไม่ได้เช่นกัน“ เชิญท่านไปด้วยกันกับเราสิ ” “ แน่นอนอยู่แล้ว คราวนี้ชาวบ้านจะได้ถวายของให้เราบ้าง ” พระอัครสาวกและพระโกกาลิกะพร้อมด้วยภิกษุ 1,000 รูป ติดตาม
ไปเยี่ยมชาวบ้านในหมู่บ้าน พวกอุบาสกเหล่านั้นพากันต้อนรับด้วยเภสัชและเครื่องนุ่งห่ม
พระอัครสาวกได้เดินทางมายังโกกาลิกรัฐพร้อมด้วยภิกษุอีก 1,000 รูปแต่ก็ไม่ได้ถวายแก่พระโกกาลิกะอีก จึงทำให้ท่านถึงกับทนไม่ไหว ด่าตัดพ้อพระเถระทันที “ พวกท่านนี่ เป็นตัวขัดลาภข้าจริง ๆ ทำไมชาวบ้านถวายสิ่งของ
แก่พวกท่านกลับไม่ถวายเจ้าอาวาสอย่างข้า ”ชาวบ้านได้น้อมถวายเภสัชและเครื่องนุ่งห่มแก่พระอัครสาวกและภิกษุอีก 1,000 รูป“ ใจเย็นสิท่าน เรื่องนี้ตามแต่ศรัทธาของชาวบ้าน พระอัครสาวกไม่เกี่ยวด้วยสักหน่อย ” “ ข้าไม่สนหรอก ครั้งก่อนข้าก็ไม่ได้อะไร คราวนี้ข้าก็ไม่ได้อีก เพราะพวกท่านนั่นแหละ ”
พระอัครสาวกกลัวว่าพระโกกาลิกะจะบาปมากไปกว่านี้ จึงรีบพาบริวารจากไปทันทีพระโกกาลิกะได้ตัดพ้อต่อพระอัครสาวกในเรื่องที่ตนไม่ได้รับของถวายเลยแม้แต่ชิ้นเดียวเมื่อชาวบ้านทราบเรื่องว่าเจ้าอาวาสเป็นต้นเหตุให้พระอัครสาวกจากไป จึงสั่งให้ท่านไปนิมนต์พระอัครสาวกกลับมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะไล่ไม่ให้ท่านอยู่วัดนี้อีกต่อไป
“ ท่านทำให้พระอัครสาวกจากไป ” “ ใช่ ๆ ไม่อย่างนั้น พวกเราจะไม่ให้ท่านอยู่วัดนี้อีกต่อไป ”
พระอัครสาวกตัดสินใจพาภิกษุทั้ง 1,000 รูปเดินทางออกจากวัดที่พำนักของพระโกกาลิกะ“ ได้ ๆ พวกเจ้าใจเย็น ๆ สิ เดี๋ยวข้าไปตามพวกท่านเอง ” พระโกกาลิกะรีบตามขบวนพระอัครสาวกไป แต่ก็ไม่ทันไม่สามารถพาพระอัครสาวกกลับมาได้ จึงถูกชาวบ้าน
ไล่ออกจากวัด สร้างความเจ็บแค้นให้ท่านอย่างมากชาวบ้านได้พากันต่อว่าพระโกกาลิกะที่เป็นเหตุให้พระอัครสาวกต้องเดินทางจากไป“ พวกเราไม่ต้องการให้ท่านอยู่ในวัดนี้อีกแล้ว จงไปเสียเถอะ ” “ พวกเราไม่เคารพศรัทธาท่านอีกแล้ว ไปสะดี ๆ อย่าให้พวกเราต้องใช้กำลัง ” “ วัดบ้านนอก
ชาวบ้านหน้าโง่ แบบนี้ข้าไม่อยู่ก็ได้ ”ชาวบ้านได้ขับไล่พระโกกาลิกะออกจากวัดเหตุเพราะไม่สามารถตามพระอัครสาวกกลับมาได้พระโกกาลิกะโกรธแค้นพระอัครสาวกเป็นอย่างมาก เมื่อถูกชาวบ้านขับไล่ออกจากวัด จึงเดินทางไปเข้าเฝ้าพระศาสดา แล้วตำหนิพระอัครสาวกให้พระพุทธองค์ฟัง
“ พระอัครสาวก เลือกที่รักมักที่ชัง รับของที่ชาวบ้านถวาย แต่ไม่ยอมแบ่งให้ข้าเลยพระเจ้าข้า ”
พระโกกาลิกะมีความโกรธแค้นพระอัครสาวกเป็นอย่างมากที่ทำให้ตนถูกชาวบ้านขับไล่ออกจากวัด" โกกาลิกะเธออย่าได้กล่าวอย่างนี้เลย จงยังจิตให้เลื่อมใสในสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด ” “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์มัวเชื่อพระอัครสาวกของพระองค์ แท้จริงแล้ว
พวกนี้ล้วนทุศีลทั้งนั้น ” พระศาสดาทรงตรังห้ามถึง 3 ครั้งพระโกกาลิกะได้กล่าวหาว่าร้ายพระอัครสาวกทั้งสองต่อหน้าพระพุทธองค์พระโกกาลิกะก็คงกล่าวอยู่อย่างนั้น พระองค์จึงลุกจากอาสนะหลีกไปเสีย ทันใดนั้นทั่วร่างพระโกกาลิกะก็เกิดตุ่มประมาณเท่าเมล็ดผักกาด ค่อย ๆ โตเท่าผลมะตูมสุก แล้วแตกออก
มีน้ำเหลืองและเลือดไหลโทรมกาย ด้วยผลกรรมจากการให้ร้ายพระอัครสาวก
ร่างกายพระโกกาลิกะได้เกิดตุ่มเท่าผลมะตูมสุกแล้วแตกออกมีเลือดและหนองไหลโทรมกาย“ โอ้ย ๆ ๆ ๆ นี่มันอะไรกันนี่ ทำไมอยู่ดี ๆ มีตุ่มขึ้นตามตัวของข้า อู้ย ๆ มันโตจนแตกแล้ว ปวดเหลือเกิน ” พระโกกาลิกะปวดแสบไปทั้งตัว จนทนไม่ไหว ต้องนอนอยู่
ณ ซุ้มประตูพระเชตวัน เวลานั้นตุทีพรหมพระอุปัชฌาย์ของพระโกกาลิกะทราบเรื่อง
พระโกกาลิกะได้พักหลับนอนอยู่ ณ ซุ้มประตูพระเชตวันจึงเดินทางมาจากพรหมโลกเพื่อเตือนสติศิษย์ของตน แต่พระโกกาลิกะกลับไม่ฟัง ซ้ำยังด่าว่าตุทีพรหมอีกด้วย “ โกกาลิกะเจ้าทำกรรมหยาบคายนัก จงกลับใจเสียเถิด ”
“ ท่านนั้นแหละ พระศาสดาบอกข้าว่า ท่านเป็นพระอนาคามีแล้วมิใช่รึ ทำไมถึงยังมายุ่งในเรื่องในโลกมนุษย์อีกตุทีพรหมเดินทางมาจากพรหมโลกเพื่อเตือนสติศิษย์ของตนกลับพรหมโลกของท่านไปเถิด ” เมื่อไม่สามารถสั่งสอนศิษย์ได้ ตุทีพรหมจึงกลับไปยังพรหมโลก ฝ่ายภิกษุโกกาลิกะก็ตาย แล้วไปเกิดในปทุมนรก ท้าวสหัมบดีพรหม
จงนำความนี้กราบทูลแด่พระตถาคต พระศาสดาตรัสเล่าแก่เหล่าสาวกโกกาลิกะได้ตายไปด้วยความเจ็บปวดและไปเกิดในปทุมนรกทันทีพวกภิกษุก็พากันสนทนาในโรงธรรมสภาว่าถึงเรื่องนี้ “ นี่ นี่ นี่ พวกท่านรู้เรื่องที่พระโกกาลิกะ ด่าพระอัครสาวกหรือเปล่า ” “ รู้สิ กรรมแท้ ๆ ต้องลงนรกเพราะปากแท้ ๆ ”
“ ดูกรภิกษุทั้งหลายมิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่โกกาลิกะถูกถ้อยคำกำจัดเสียในอดีตกาล ณ นครพาราณสีเสวยทุกข์เพราะปากของตน แม้ในกาลก่อนก็เสวยทุกข์เพราะปากของตนมาแล้วเหมือนกัน ” พระศาสดาตรัสแก่เหล่าสาวกแล้ว จึงนำอดีตนิทานมาเล่าดังต่อไปนี้
ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี มีอำมาตย์คู่ใจคนหนึ่ง พระองค์ทรงเป็นผู้มีพระดำรัสมากพระเจ้าพรหมทัตและอำมาตย์คู่ใจเสด็จไปยังพระราชอุทยานอำมาตย์จึงคิดหาวิธีให้พระราชาตรัสให้น้อยลง วันหนึ่งพระราชาเสด็จไปยังพระราชอุทยาน แล้วประทับนั่งบนแผ่นหินใต้ต้นมะม่วง “ ที่นี่ช่างสงบร่มเย็นดีนะท่านอำมาตย์ ”
“ พระเจ้าข้า ” ณ ต้นมะม่วงนั้นเอง มีแม่นกดุเหว่าวางไข่ของตนไว้ในรังการังหนึ่งแล้วไปเสีย นางกาก็ประคบประหงมฟองไข่นกดุเหว่านั้นแม่กาได้ฟักไข่ของตนโดยไม่รู้ว่ามีไข่ของนกดุเหว่ารวมอยู่ด้วยนางกาสำคัญว่าไข่นั้นเป็นของตน จึงกกไข่นั้นจนฝักเป็นตัว แล้วเฝ้าเลี้ยงดูลูกนกเป็นอย่างดี ทุกวันนางกาจะต้องคาบอาหารมาให้ลูกนกนั้น “ กินเยอะ ๆ นะจ๊ะ ลูกแม่
เจ้าจะได้โตไวไว ” ลูกนกดุเหว่านั้นขนปีกยังไม่งอก ก็ส่งเสียงร้องเป็นเสียงดุเหว่าแม่กาได้หาอาหารมาป้อนให้ลูกๆ ของตนในทุกๆ วันในเวลาอันไม่ควร เมื่อนางกาได้ยินเสียงร้อง ก็รู้ว่าไม่ใช่ลูกของตน ก็โกรธแค้นจึงตีลูกนกนั้น ด้วยจะงอยปากให้ตายตกไปจากรัง “ เอ้ ทำไม่ลูกเราร้องเสียงแปลก ๆ นี่
หนอย นี่มันลูกนกดุเหว่านี่น่า หลอกเราได้ หึ ตายสะเถอะ นี่แน่ะ ๆ ๆ ”แม่กาได้จิกตีลูกนกดุเหว่าจนตายเมื่อรู้ว่าไม่ใช่ลูกของตนโดยฟังจากเสียงร้องที่ตนได้ยินเมื่อนางกาจิกตีลูกนกดุเหว่าจนตายแล้ว ก็เขี่ยซากลูกนกตกลงมาใกล้พระบาทของพระราชา พระราชาเห็นเหตุการณ์นั้น จึงมีรับสั่งถามอำมาตย์ ถึงที่มาของเรื่องนี้
“ ท่านอำมาตย์ นี่มันเรื่องอะไรกัน ” อำมาตย์คิดว่า จะใช้เรื่องนกดุเหว่านี้ เป็นเครื่องเตือนสติพระราชาให้ตรัสน้อยลงซากลูกนกดุเหว่าได้ตกลงมาข้างแท่นที่พระราชาทรงประทับอยู่“ ข้าแต่มหาราช ขึ้นชื่อว่าคนปากกล้า พูดมากในกาลไม่ควรพูด ย่อมได้ทุกข์เข็ญปานนี้ ลูกนกดุเหว่านี้ เจริญเติบโตได้เพราะนางกา ปีกยังไม่ทันแข็ง ก็ร้องเป็นเสียงดุเหว่า
ในเวลาไม่ควรร้อง เมื่อนางการู้ว่าลูกนกดุเหว่านั้นไม่ใช่ลูกตน จึงตีด้วยจะงอยปากให้ตายตกลงมาอำมาตย์ได้ทูลให้ข้อคิดต่อพระราชาจากเหตุการณ์ของแม่กาและลูกนกดุเหว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานก็ตาม พูดมากในกาลไม่ควรพูด ย่อมได้ทุกข์เข็ญปานนี้ ” “ ที่ท่านพูดมานั้น เราเข้าใจแล้ว ขอบใจท่านมาก ” พระราชาทรงสดับคำของอำมาตย์แล้ว
ตั้งแต่นั้นมา ก็ได้มีพระดำรัสพอประมาณ และทรงปูนบำเหน็จยศพระราชทานแก่อำมาตย์นั้นให้ใหญ่โตกว่าเดิม พระศาสดาครั้นทรงนำพระเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่าลูกนกดุเหว่าในกาลนั้น ได้มาเป็นพระโกกาลิกะส่วนอำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิตในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล
โกกาลิกชาดก ชาดกว่าด้วยพูดในกาลที่ควรพูด
พระอัครสาวกและพระโกกาลิกะพร้อมด้วยภิกษุ 1,000 รูป ติดตามไปเยี่ยมชาวบ้านในหมู่บ้าน พวกอุบาสกเหล่านั้นพากันต้อนรับด้วยเภสัชและเครื่องนุ่งห่มแต่ก็ไม่ได้ถวายแก่พระโกกาลิกะอีก จึงทำให้ท่านถึงกับทนไม่ไหว ด่าตัดพ้อพระเถระทันที “ พวกท่านนี่ เป็นตัวขัดลาภข้าจริง ๆ ทำไมชาวบ้านถวายสิ่งของแก่พวกท่านกลับไม่ถวายเจ้าอาวาสอย่างข้า ” https://dmc.tv/a25382
บทความธรรมะ Dhamma Articles > นิทานชาดก 500 ชาติ[ 9 ต.ค. 2562 ] - [ ผู้อ่าน : 18267 ]
บทความอื่นๆ ในหมวด
ธัมมัทธชชาดก ชาดกว่าด้วยพูดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่งเกฬิสีลชาดก ชาดกว่าด้วยปัญญาสำคัญกว่าร่างกาย
ปานียชาดก ชาดกว่าด้วยการทำบาปแล้วรังเกียจบาปที่ทำ
ชนสันธชาดก ชาดกว่าด้วยเหตุที่ทำจิตให้เดือดร้อน
ฆตาสนชาดก ชาดกว่าด้วยภัยที่เกิดจากที่พึ่ง
มหาสุวราชชาดก ชาดกว่าด้วยความพอเพียง
ฌานโสธนชาดก ชาดกว่าด้วยสุขเกิดจากสมาบัติ
สุนักขชาดก ชาดกว่าด้วยผู้ฉลาดย่อมช่วยตัวเองได้
สังวรมหาราชชาดก ชาดกว่าด้วยพระราชาผู้มีศีลาจารวัตรที่ดีงาม
อสัมปทานชาดก ชาดกว่าด้วยการไม่รับของทำให้เกิดการแตกร้าว
สัจจังกิรชาดก ชาดกว่าด้วยไม้ลอยน้ำดีกว่าคนอกตัญญู
สัมโมทมานชาดก ชาดกว่าด้วยพินาศเพราะทะเลาะกัน
อภิณหชาดก ชาดกว่าด้วยการเห็นกันบ่อยๆ