พ ร ะ ปิ ย ทั ส สี พุ ท ธ เ จ้ า ( ๔ )
ทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างใดอย่างหนึ่งในโลกนี้ หรือโลกอื่น หรือรัตนะใดอันประณีตในสวรรค์ ทรัพย์และรัตนะนั้นที่เสมอด้วยพระตถาคตไม่มีเลย แม้อันนี้ เป็นรัตนะอันประณีตในพระพุทธเจ้า ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมี
พระรัตนตรัยเป็นรัตนะอันประณีต เป็นสิ่งประเสริฐเลิศลํ้าที่สุดที่ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน เป็นอริยทรัพย์เครื่องปลื้มใจแก่ผู้ได้เข้าถึง เราจะเข้าใจได้แจ่มแจ้ง และซาบซึ้งก็ต่อเมื่อได้เข้าถึงพระรัตนตรัยแล้วเท่านั้น พระรัตนตรัยมีอยู่ในกลางกายของเรา เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ หากนำใจหยุดเข้าไปถึงท่านได้ ความทุกข์ทั้งหลายย่อมจะดับไป และเปลี่ยนมาเป็นความสุขที่แท้จริง เป็นสุขที่ไม่มีประมาณยิ่ง ถ้าเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัยตลอดเวลา ความสุขจะยิ่งเพิ่มพูนขึ้น เป็นสุขทั้งวันทั้งคืนทุกทิวาราตรี
มีวาระแห่งพระพุทธวจนะที่ท่านกล่าวไว้ใน รัตนสูตร ว่า
"ทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างใดอย่างหนึ่งในโลกนี้ หรือโลกอื่น หรือรัตนะใดอันประณีตในสวรรค์ ทรัพย์และรัตนะนั้นที่เสมอด้วยพระตถาคตไม่มีเลย แม้อันนี้ เป็นรัตนะอันประณีตในพระพุทธเจ้า ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมี"
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากพระองค์จะเป็นบรมศาสดาผู้สั่งสอนเหล่าเวไนยสัตว์ที่เป็นมนุษย์แล้ว ยังทรงสอนให้เทวดาทั้งหลายได้บรรลุธรรมตามพระองค์อีกมากมายนับไม่ถ้วน พระพุทธองค์ทรงสอนทางรอดในสังสารวัฏให้มนุษย์และเทวดาทั้งหลายได้รอดพ้นจากความทุกข์ และปลอดจากภัยทั้งในโลกนี้และในสัมปรายภพ ทรงนำหมู่สัตว์ให้ข้ามพ้นทะเลทุกข์ไปสู่ฝั่งพระนิพพานอันเป็นบรมสุข เกษมจากโยคะ คือ กิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย
ด้วยพระพุทธองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครเปรียบ และเป็นรัตนะกายแก้วบริสุทธิ์ จึงได้ชื่อว่าเป็นรัตนะเครื่องปลื้มใจที่ประณีตที่สุด เลิศที่สุดและลํ้าค่าที่สุด ยิ่งกว่าอัญมณีที่เป็นเครื่องปลื้มใจของมนุษย์ และรัตนะในสวรรค์ที่เป็นสมบัติอันเป็นทิพย์ของชาวสวรรค์ การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นการอุบัติขึ้นมาเพื่อยังโลกนี้ และเทวโลกให้สว่างไสวด้วยแสงแห่งธรรม ทำให้มนุษย์ได้พบพระรัตนตรัยซึ่งเป็นทางรอด และเป็นที่พึ่งที่ระลึกได้อย่างแท้จริง
การที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ มีความสามารถในการสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้ตรัสรู้ธรรมตามพระองค์ได้ไม่เท่ากันนั้น เนื่องจากการสร้างบารมีมายาวนานไม่เท่ากัน แม้ทุกพระองค์จะบรรลุพระสัพพัญญุตญาณเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นบรรลุวิชชา ๓ วิชชา ๘ บรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ทรงหยั่งรู้ถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนว่า ในระหว่างที่เวียนว่ายตายเกิดสร้างบารมีในภพสามนี้ ได้เคยเกิดเป็นอะไรบ้าง
สำหรับนักบวชนอกศาสนา บ้างสามารถระลึกชาติได้ถึง ๘๐ กัป พระอริยสาวกระลึกชาติได้ ๑๐๐,๐๐๐ กัป พระอัครสาวกระลึกชาติได้ ๑ อสงไขยกับ ๑๐๐,๐๐๐ กัป พระปัจเจกพุทธเจ้าระลึกชาติได้ ๒ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ กัป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถระลึกชาติได้เท่าที่พระองค์ทรงปรารถนา นอกจากนี้พระองค์ยังสามารถระลึกชาติของเหล่าเวไนยสัตว์ได้อีกด้วย ที่เรียกว่าจุตูปปาตญาณ คือ รู้การเกิดการตายของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทรงเข้าใจถึงวัฏจักรของกรรมที่หมู่สัตว์ได้กระทำไว้ทั้งหมด
* พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ หมดจดจากกิเลสเครื่องร้อยรัดทุกอย่าง มีแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ ทรงบรรลุเวสารัชชญาณ ๔ ทศพลญาณ ๑๐ อสาธารณญาณ ๖ อาเวณิกพุทธธรรม ๑๘ ญาณที่แจ่มแจ้งในโพชฌงค์ ๗ ญาณที่แจ่มแจ้งในมรรค ๘ ญาณในอนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ เป็นต้น ญาณเหล่านี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงมีเหมือนกันหมด แต่ความแตกต่างกันด้วยระดับบารมี ที่เป็นประเภทปัญญาธิกะยิ่งด้วยปัญญา สัทธาธิกะยิ่งด้วยศรัทธา และวิริยาธิกะยิ่งด้วยความเพียรเท่านั้นที่แตกต่างกัน
ตามหลักทั่วไปของพระพุทธเจ้าผู้เป็นปัญญาธิกะ ตอนที่สร้างบารมีเป็นพระโพธิสัตว์อยู่นั้น ท่านจะอาศัยปัญญาในการสร้างบารมีให้ได้มากที่สุด และปรารถนาจะตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคต และนำสรรพสัตว์เข้าสู่ฝั่งนิพพาน ส่วนจะสอนได้มากได้น้อยเพียงไรนั้น ขึ้นอยู่กับกำลังบารมี ขอเพียงให้ได้เป็นพระพุทธเจ้าเป็นใช้ได้ คือ ยังมีใจใหญ่ที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ เพราะฉะนั้นท่านก็จะสร้างบารมีไม่ต้องมาก คำว่าไม่มากนั้น อย่างน้อยก็ต้องยาวนานถึง ๔ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป
อย่างเช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา พระองค์ทรงสร้างบารมีประเภทปัญญาธิกะ คิดในใจไปด้วยสร้างบารมีไปด้วยใช้เวลา ๗ อสงไขย จากนั้นทรงเปล่งออกมาเป็นวาจาว่า จะสร้างบารมีรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปสู่พระนิพพาน ใช้เวลา ๙ อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอนอีก ๔ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป รวมแล้วก็เป็น ๒๐ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป ภายในช่วง ๔ อสงไขยนี้ถือได้ว่าเป็นนิตยโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้ที่จะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณอย่างแน่นอน
พระพุทธเจ้าผู้เป็นสัทธาธิกะ มีปัญญาปานกลาง แต่มีศรัทธาแก่กล้าแข็ง ใช้เวลาในการสร้างบารมี ๔๐ อสงไขย คือ ทรงคิดในใจว่าอยากจะเป็นพระพุทธเจ้าและสร้างบารมีมาโดยตลอดเป็นเวลา ๑๔ อสงไขย ทั้งอธิษฐานจิตด้วยและเปล่งวาจาออกมาด้วยว่า จะสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งถือว่ายังเป็นอนิยตโพธิสัตว์ใช้เวลา ๑๘ อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ว่า เป็นนิยตโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้ว่า จะได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตอย่างแน่นอนอีก ๘ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป
สำหรับพระพุทธเจ้าผู้เป็นวิริยาธิกะ ท่านมีทั้งศรัทธาและปัญญา เพียงแต่มีความเพียรพยายามวิริยะอุตสาหะกล้าแข็งมาก คือ ปรารถนาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปสู่ฝั่งพระนิพพานให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เมื่อปรารถนาสูงส่งถึงเพียงนั้นก็ต้องสร้างบารมีกันนานทีเดียว ตั้งแต่แค่คิดอยากเป็นพระพุทธเจ้าแต่ไม่กล้าบอกใครก็ยาวนานถึง ๒๘ อสงไขย เปล่งวาจาประกาศให้ชาวโลกได้รับรู้อีก ๓๖ อสงไขย ได้รับพุทธพยากรณ์เป็นนิยตโพธิสัตว์ ๑๖ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป รวมเป็น ๘๐ อสงไขย
เพราะฉะนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าประเภทนี้อุบัติขึ้นแต่ละครั้ง ย่อมสามารถแนะนำเหล่าเวไนยสัตว์ ให้ตรัสรู้ธรรมตามพระพุทธองค์ได้จำนวนมาก เหมือนพระปิยทัสสีพุทธเจ้าที่หลวงพ่อได้นำมาเล่าเมื่อครั้งที่แล้ว และตั้งแต่พระองค์ทรงมีรัศมีกายสว่างไสวไปตลอดโลกธาตุ แสงสว่างของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวก็สว่างไม่เท่า อายุก็ยืนยาวถึง ๙๐,๐๐๐ ปี พระองค์มีพุทธสรีระสูง ๘๐ ศอก
พระปิยทัสสีพุทธเจ้าทรงแสดงพระปาฏิโมกข์ซึ่งเป็นแบบแผนในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ๓ ครั้ง คือทรงแสดงท่ามกลางภิกษุจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ นับเป็นมหาสาวกสันนิบาตครั้งที่ ๑ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระอริยสาวกครั้งที่ ๒ จำนวน ๙๐,๐๐๐ โกฏิ ส่วนครั้งที่ ๓ เกิดขึ้นในสมัยที่หลังจากทรงแนะนำพญาช้างโทณมุขะ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระอริยสาวกจำนวน ๘๐,๐๐๐ โกฏิ
สมัยนั้น พระโพธิสัตว์เจ้ากำลังสร้างบารมี เป็นมาณพหนุ่มชื่อ กัสสปะ เรียนจบไตรเพท และคัมภีร์ทางศาสนาพราหมณ์จนแตกฉาน ครั้นได้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดา ก็มีจิตเลื่อมใส บริจาคทรัพย์ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ เพื่อสร้างสังฆารามถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากนั้นท่านได้รับพุทธพยากรณ์ว่า ล่วงไป ๑,๘๐๐ กัป นับแต่กัปนี้ จักได้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ ตั้งแต่นั้นมา ท่านตั้งใจบำเพ็ญทาน รักษาศีลและเจริญภาวนาตลอดมาทุกภพทุกชาติ
จะเห็นได้ว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้าผู้สมบูรณ์ด้วยบุญลักษณะครบถ้วนทุกอย่าง ล้วนบังเกิดขึ้นมาเพื่อสงเคราะห์โลก รื้อสัตว์ขนสัตว์ให้ไปสู่อายตนนิพพาน จึงถือได้ว่าท่านเป็นรัตนะอันเลิศที่ควรสรรเสริญที่สุด และควรส่งใจไปถึงท่านให้มากที่สุด รัตนะอย่างอื่นอาจหาที่ติได้บ้าง แต่พระรัตนตรัย คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ หาที่ติและหาอะไรมาเปรียบไม่ได้เลย หากเรามีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยกันจริงๆ ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น จะเป็นทางมาแห่งมหากุศลอันยิ่งใหญ่ของเรา และจะอำนวยผลให้เรามีความสุขความสำเร็จ เมื่อถึงคราวละโลก จะมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป เพราะฉะนั้นให้ทุกท่านหมั่นส่งใจไปถึงพระรัตนตรัยในตัวเป็นประจำสม่ำเสมอ ใจของเราจะได้สูงขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น บริสุทธิ์จนกระทั่งได้เข้าถึง และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัย ให้ตั้งใจให้ดีกันทุกคน* มก. วงศ์พระปิยทัสสีพุทธเจ้า เล่ม ๗๓ หน้า ๕๒๓
http://goo.gl/eSt1W