Positive Thinkingคิดดี มีสุข ย่อมเป็นกำไรชีวิตโลกที่เราอยู่ก็ดำเนินไปอย่างที่เคยเป็น ลมยังคงพัดฝนยังคงตก ดวงอาทิตย์ยังคงเคลื่อนไป แต่ทำไมบางคนมีความสุข เพราะลมที่พัด เพราะฝนที่กำลังตก เพราะแสงแดดที่ส่อง แต่บางคนกลับมีความทุกข์ในสิ่งเดียวกันนั้นคิดดี มีสุข ย่อมเป็นกำไรชีวิต อย่างน้อยก็ก่อให้เกิดอารมณ์ที่แช่มชื่น เบิกบาน มีความหวัง มีพลังในการสู้ชีวิตต่อไปแต่หากว่า ความคิดนั้นนำไปสู่การสร้างความดี สร้างบุญบารมีเพิ่มขึ้น หรือน้อมใจไปสู่การสร้างความดีได้อีกด้วย นั่นย่อมเป็น Positive Thinking ทีเดียว ดังเช่น ความคิดอันเป็นเหตุบังเกิดขึ้นของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ดังนี้ครั้งนั้น พระเจ้ากรุงพาราณสีพระองค์หนึ่ง มีพระราชอุทยานอยู่ในที่ใกล้พระนคร พระองค์เสด็จลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เสด็จไปสู่พระราชอุทยาน เสด็จลงจากพระยานในระหว่างหนทางด้วยพระราชดำริว่า “เราจะไปล้างหน้าที่ท่าน้ำ”ในอุทยานนั้น นางราชสีห์ตกลูกราชสีห์แล้วไปหากินราชบุรุษเห็นลูกราชสีห์นั้นแล้ว ทูลว่า ”ลูกราชสีห์ พระเจ้าข้า” พระราชาทรงพระราชดำริว่า “ได้ยินว่า ราชสีห์ไม่กลัวใคร” จึงตรัสสั่งให้ตีกลอง เพื่อทดลองลูกราชสีห์นั้น ลูกราชสีห์ฟังเสียงนั้น ก็นอนตามเดิม พระราชาตรัสสั่งให้ตีกลองถึง ๓ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ ลูกราชสีห์ก็ชูศรีษะขึ้น แลดูบริษัททั้งหมด แล้วนอนเหมือนเดิมขณะนั้น พระราชาตรัสว่า “พวกเราควรไปก่อนที่แม่ราชสีห์นั้นจะกลับมา” เมื่อจะเสด็จไป ทรงพระราชดำริว่า“ลูกราชสีห์ แม้เพิ่งเกิดในวันนี้ ก็ไม่สะดุ้ง ไม่กลัว เมื่อไรหรอ เราพึงตัดความสะดุ้งเพราะตัณหาและทิฏฐิ แล้วไม่พึงสะดุ้ง ไม่พึงกลัว”ขณะที่พระองค์ทรงยึดอารมณ์นั้น เสด็จไปทอดพระเนตรเห็น พวกชาวประมงกำลังจับปลา แล้วคลี่ตาข่ายตากไว้บนกิ่งไม้ ทรงเห็นลมพัด ไม่ติดข่ายทั้งหลาย ทรงยึดนิมิตแม้นั้นอีกว่า“เมื่อไหร่หนอ เราจะสามารถทำลายข่ายคือตัณหาทิฏฐิและข่ายคือโมหะไป ไม่ติดขัด เหมือนลมพัดไม่ติดข่ายเช่นนั้น”ต่อมา พระองค์เสด็จไปสู่พระราชอุทยาน ประทับนั่งที่ฝั่งสระโบกขรณีที่มีแผ่นศิลา ทรงเห็นดอกปทุมทั้งหลายที่ต้องลมแล้ว โอนเอนไปถูกน้ำ เมื่อปราศจากลม ก็กลับตั้งอยู่ตามเดิมอีก ไม่เปียกน้ำ จึงทรงถือนิมิตแม้นั้นว่า“เมื่อไรหนอ แม้เราเกิดแล้วในโลก เราไม่พึงติดในโลกดำรงอยู่ เหมือนปทุมเหล่านี้ เกิดในน้ำ ไม่เปียกน้ำดำรงอยู่ ฉะนั้น”ดอกปทุมทั้งหลายที่ต้องลมแล้วโอนเอนไปถูกน้ำพระราชานั้นทรงพระราชดำริบ่อยๆ ว่า เราไม่พึงสะดุ้ง ไม่พึงติด ไม่พึงเปียก เหมือนราชสีห์ ลม และปทุม ฉะนั้น แล้วทรงสละราชสมบัติออกผนวช เจริญวิปัสสนาอยู่ ก็ทรงทำให้แจ้งซึ่งปัจเจกโพธิญาณแล้ว ตรัสอุทานคาถานี้ว่าสีโหว สทฺเทสุ อสนฺตสนฺโตวาโตว ชาลมฺหิ อสชํชมาโนปทุมํ ว โตเยน อลิมฺปมาโนเอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโปบุคคลไม่สะดุ้งในธรรม มีความเที่ยง เป็นต้น เหมือนราชสีห์ไม่สะดุ้งในธรรม มีความเที่ยง เป็นต้น เหมือนราชสีห์ไม่สะดุ้งในเสียงไม่ข้องอยู่ในธรรม มีขันธ์และอายตนะ เป็นต้น เหมือนลมไม่ข้องอยู่ในข่ายไม่ติดอยู่ด้วยความยินดีและความโลภ เหมือนดอกปทุมไม่ติดอยู่ด้วยน้ำพึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรด ฉะนั้นแรงบันดาลใจจากพระไตรปิฎก
โดยพระมหาเถระ รุ่นปี พ.ศ. 2534 หน้า 33 - 35
http://goo.gl/8zupi