จากตอนที่แล้ว มโหสถซึ่งอยู่ในชุดของช่างชุนหนุ่ม ได้พบสาวงามที่ต้องตาต้องใจซึ่งกำลังนำอาหารไปส่งบิดาที่ระหว่างทางก็คิดว่า “ถ้าหญิงนี้มีปัญญา ก็สมควรที่จะเป็นคู่ครองของเรา” จึงทดสอบเชาว์ปัญญาของเธอ โดยกำมือข้างหนึ่ง แล้วชูออกไปข้างหน้า

มโหสถทราบความหมายนั้นแล้ว ก็ยิ้มด้วยความดีใจ ตัดสินใจถามนางตรงๆ ว่า “เธอชื่ออะไร” นางถูกถามตรงๆ จึงตอบแก้ลำด้วยปริศนาสั้นๆ ว่า “สิ่งใดที่ไม่มีแก่ดิฉัน ทั้งในอดีต ในอนาคต และปัจจุบัน นั่นแหละเป็นชื่อของดิฉัน”
มโหสถจึงกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นเธอก็ชื่อ อมรา ที่แปลว่าไม่ตายนะซิ” คราวนี้เธอตอบตรงๆว่า “ถูกต้องจ้ะนาย ฉันชื่อ อมรา”
มโหสถถามต่อว่า “แล้วเธอจะนำข้าวต้มไปให้ใครล่ะ”
เธอก็ตอบเป็นปริศนาอีกว่า “ดิฉันจะนำไปให้เทวดาองค์แรกจ้ะ”
มโหสถใคร่ครวญว่า “บิดามารดา ชื่อว่าเป็นเทวดาองค์แรกของบุตร” จึงกล่าวกับนางว่า “เธอคงนำข้าวต้มไปส่งให้บิดากระมัง” เธอก็รับว่าถูกต้องแล้ว ครั้นได้สนทนากับนางพอสมควร มโหสถก็รู้ว่าเธอเป็นหญิงมีไหวพริบปฏิภาณดี จึงมิได้ถามอะไรอีก ได้แต่มองดูนางด้วยความพึงพอใจ

นางอมราจึงจัดแจงวางหม้อข้าวต้มลงเพื่อเตรียมจะตักแบ่งให้มโหสถ
ขณะนั้นมโหสสถดำริในใจว่า “ถ้านางส่งชามข้าวต้มให้เรา โดยที่นางยังไม่ได้ล้างชามและให้น้ำล้างมือแก่เราก่อน การติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างเรากับนาง ก็คงสิ้นสุดกันเพียงเท่านี้ เพราะมารยาทเล็กน้อยเพียงเท่านี้ หากว่านางยังปฏิบัติบกพร่องอยู่ ก็คงยากที่จะจัดแจงการงานอื่นได้” แต่แล้วก็เหมือนนางจะล่วงรู้ความคิดของมโหสถ เพราะนางค่อยๆ หยิบชามออกมาล้างก่อน แล้วเอาชามนั้นตักน้ำมาวางไว้ให้เขาล้างมือ
เมื่อมโหสถล้างมือเสร็จแล้ว นางจึงวางชามลงบนพื้นดิน คนหม้อข้าวต้มแล้วตักใส่จนเต็มชาม แล้วยื่นให้มโหสถด้วยความเต็มใจ ส่วนที่เหลือจึงจะนำไปส่งให้แก่บิดา
มโหสถมองดูในชามข้าว เห็นข้าวต้มมีน้ำมากแต่เมล็ดข้าวน้อย จึงแกล้งกล่าวเป็นเชิงสัพยอกนางว่า “นางผู้เจริญ น้ำข้าวต้มเห็นจะมีมากเกินไปหรือไรจ๊ะ”

เมื่อมโหสถดื่มข้าวต้มจนเต็มอิ่มแล้ว ก็บ้วนปาก พลางคิดขึ้นว่า “นางมีความเฉลียวฉลาด รู้จักที่ถูกที่ควร เปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติอันพร้อมมูลเช่นนี้ ควรแล้วที่จะเป็นคู่ครองของเรา”
มโหสถจึงเอ่ยถามนางว่า “ฉันอยากจะไปสู่เรือนของเธอ หากว่าไม่รังเกียจ ขอเธอจงบอกหนทางให้กับฉันด้วยเถิด”
“ได้สิคะ” แล้วนางก็บอกหนทางด้วยปริศนาที่ชวนให้ขบคิดว่า “ทางไปบ้านของดิฉันต้องไปถึงร้านขายข้าวสัตตูก่อน ถัดไปก็เป็นร้านขาย

พอกล่าวจบ นางก็ยกหม้อข้าวต้มขึ้นมาถือไว้ แล้วจึงรีบนำหม้อข้าวต้มนั้นไปส่งให้บิดาทันที ปล่อยให้มโหสถเดินไปตามทางที่นางบอกด้วยตนเอง ครั้นแล้วมโหสถก็ไปถึงร้านขายข้าวสัตตู ร้านขายน้ำส้ม จึงได้เห็นเรือนของนางตั้งอยู่ทางด้านขวามือตรงตามปริศนาที่นางบอก
ขณะนั้นมารดาของนางซึ่งนั่งเฝ้าเรือนอยู่ตามลำพัง เห็นชายหนุ่มแปลกหน้าลักษณะงดงามพร้อม ท่าทางทรงภูมิปัญญาสูงส่งเข้ามาหยุดยืนที่หน้าบ้าน ก็รู้สึกถูกชะตาอย่างประหลาด จึงรีบเชื้อเชิญให้นั่ง พร้อมกับกล่าวต้อนรับว่า “พ่อหนุ่ม ท่านมาแต่เช้า คงยังไม่ได้บริโภคอะไรมา จักดื่มข้าวต้มสักนิดไหมละ”
มโหสถก็ตอบด้วยความคารวะว่า “ผมดื่มข้าวต้มของน้องอมรามาแล้วหน่อยหนึ่งครับ”

มโหสถมองดูภายในเรือน เห็นถึงความสะอาดสะอ้าน ข้าวของได้รับจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ก็ทราบว่าสกุลนี้เป็นตระกูลผู้ดีเก่า แต่ต้องมาตกยากด้วยเหตุบางประการ จึงถามว่า “ท่านแม่ครับ ผมเป็นช่างชุนฝีมือดี ท่านแม่มีผ้าเก่าๆ ที่ต้องการจะเย็บชุนบ้างหรือไม่ครับ”
“ผ้าน่ะมี แต่ค่าแรงน่ะ ไม่มีให้หรอกนะ” นางตอบตามที่เป็นจริง
“ท่านแม่ครับ อย่าได้พูดถึงค่าแรงอะไรเลย ผมไม่ต้องการสิ่งใดทั้งนั้น ท่านแม่มีผ้าอะไรๆ บ้าง ก็จงนำมากระผมเย็บชุนเถิด”
นางได้ยินว่าเขาจะรับอาสาชุนผ้าให้โดยไม่คิดค่าตอบแทน ก็รู้สึกสบายใจ รีบขนเสื้อผ้าเก่าๆขาดๆ แต่ยังพอใช้การได้มาวางกองไว้ให้ มโหสถก็ลงมือเย็บ ปะ ชุนเรื่อยไปอย่างชำนิชำนาญ

ดังนั้น เราจึงไม่ควรประมาทในการสั่งสมบุญให้ได้ทุกวัน ส่วนมารดาของอมรา ครั้นได้เห็นงานเย็บชุนผ้าเสร็จเร็วอย่างอัศจรรย์เช่นนั้น ก็พิศวงยิ่งนัก เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมา นางยังไม่เคยพบเห็นช่างชุนคนใดที่จะคล่องแคล่วเชี่ยวชาญเหมือนอย่างชายผู้นี้เลย ส่วนว่า มโหสถบัณฑิตครั้นเย็บชุนผ้าเสร็จแล้วจะคิดอ่านทำประการใดอีกนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)