ข้อความต้นฉบับในหน้า
สามารถทำทุกข์นี้ให้สิ้นไป ก็คิดได้ว่ามีหนทางเดียว
เท่านั้น คือต้องออกบวช จึงจะสามารถสลัดออก
จากกองทุกข์นี้ได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงละการครองเรือนบวช
เป็นดาบส ครองหนังเสือเหลือง อาศัยอยู่ในหิมวัน
ตบรรพต มีอยู่วันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จ
ไปยังป่าหิมพานต์ เสด็จผ่านไปทางอาศรมของ
ดาบส ดาบสนั้นเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีฉัพ
พรรณรังสีเปล่งออกจากพระวรกาย
เลื่อมใสในพุทธรังสี คิดว่า สมณะนี้งามจริงหนอ
รัศมีก็สว่างไสว ยังใจเราให้แช่มชื่นนัก ชะรอย
สมณะนี้ จักเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดังที่เขาร่ำ
เกิดความ
ลือกัน
อัญชลี กระทำการนอบน้อมถวายบังคมด้วย
เบญจางคประดิษฐ์
คิดได้อย่างนั้นก็ไม่รอช้า รีบประคอง
เหตุการณ์ในวันนั้นอยู่ในความทรงจำของ
ดาบสจนตลอดชีวิต ด้วยบุญนั้น ท่านละจาก
อัตภาพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในสุคติภพ เสวยทิพย
สมบัติในสวรรค์ชั้นดุสิต แล้วเวียนวนเกิดอยู่ใน
เทวโลกทั้งหกชั้น ไม่เคยพลัดตกไปในอบายภูมิเลย
จนมาถึงในพุทธกาลนี้ ได้บังเกิดในตระกูลหนึ่ง เมื่อ
เจริญวัยขึ้น บุญในตัวก็ตักเตือน ทำให้เห็นโทษใน
การอยู่ครองเรือน จึงสละเพศฆราวาสออกบวช
บำเพ็ญเพียรไม่นานนักก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระ
อรหันต์
เมื่อบรรลุธรรมแล้วท่านมาใคร่ครวญว่า
บุญอันใดหนอที่ทำให้เรามีวันนี้ได้ จึงระลึกชาติไป
ดูได้เห็นการสร้างบุญที่ทำด้วยจิตอันเลื่อมใสไม่มี
ประมาณ จึงเปล่งอุทานด้วยความโสมนัสว่า
“เราอาศัยอยู่ที่ภูเขาหิมพานต์ เรานุ่งห่ม
หนังสัตว์ อยู่ในระหว่างภูเขา เราได้เห็นพระสัมมา
สัมพุทธเจ้า ผู้มีพระฉวีวรรณดั่งทองคำ
พระอาทิตย์แผดแสง เสด็จเข้าป่างามเหมือนพญา
รังมีดอกบาน จึงยังจิตให้เลื่อมใสในพระรัศมี แล้ว
นั่งกระโหย่งประนมอัญชลี ถวายบังคมแด่พระผู้มี
ดุจ
พระภาคเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ด้วยเศียรเกล้า ใน
กัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ เราไม่เคยพลัดตกไปสู่ทุคติเลย
เราสมบูรณ์ด้วยคุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา
วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ นี้เป็นผลแห่งความ
เลื่อมใสในพระพุทธรัศมี”
เราจะเห็นแล้วว่า อานิสงส์แห่งความ
เลื่อมใสในบุคคลผู้เลิศ ย่อมจะได้มหาสมบัติทั้งที่
เป็นโลกิยะและโลกุตตระ และไม่ใช่ว่าจะได้อย่างนี้
เพียงในยุคนั้นเท่านั้น หากเราได้กระทำในยุคอื่นๆ
ก็ย่อมมีอานิสงส์เช่นเดียวกัน ดังนั้นหลวงพ่อจะขอ
นำมาเล่าอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นต่างยุคกัน
แต่มีความละม้ายคล้ายกัน คือเรื่องที่แล้วเกิดในยุค
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี แต่
เรื่องที่หลวงพ่อจะเล่าต่อนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในยุค
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ผุสสะ
เป็นประวัติการสร้างบารมีของพระเถระรูป
หนึ่ง ท่านเกิดในตระกูลหนึ่งในสมัยของพระผุสสะ
สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมของ
พระพุทธองค์เลย จนเจริญวัยก็อยู่ครองเรือน และ
พิจารณาเห็นโทษในการครองเรือน ได้ละการครอง
เรือนออกบวชเป็นดาบสอยู่ที่ป่าหิมพานต์ มีเพียง
เปลือกปอเป็นเครื่องนุ่งห่ม อยู่ด้วยความสุขอันเกิด
จากความวิเวก ท่านบำเพ็ญเพียรอยู่ยาวนานที่
เดียว
อยู่มาวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมา
ถึงป่าที่ดาบสอาศัยอยู่ และทรงเปล่งพระฉัพพรรณ
รังสีออกจากพระวรกาย ทำให้ดาบสที่อาศัยอยู่ใน
อาศรม มองเห็นพระพุทธรังสีที่ซ่านออกจากพระ
สรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงเกิดเลื่อมใสใน
พระรัศมี มีมหาปีติแผ่ซ่านออกจากกาย เพราะไม่
เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน ท่านได้ประคองอัญชลี
ถวายบังคมอยู่ที่ตรงนั้น
ดาบสได้ยังจิตให้เลื่อมใส แล้วกระทำกา
ละด้วยปีติและโสมนัสนั้นเอง ส่งผลให้ไปบังเกิด
เป็นเทพชั้นดุสิต ละจากชั้นดุสิตแล้วได้ไปเสวยสุข
ในกามาวจรสวรรค์ 5 ชั้น วนเวียนอยู่ยาวนานมาก
จนกระทั่งในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา
ท่านได้เกิดในตระกูลหนึ่ง พอเจริญวัยแล้วได้
ออกบวช ด้วยอำนาจบุญเก่าที่สั่งสมมาดี ท่าน