ข้อความต้นฉบับในหน้า
เมื่อกล่าวถึงถ้ำโมฮ่วงนั้น พุทธศาสนิกชนทั่วไปต่างรู้จักกันดีว่าเป็นมรดกที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก เพราะเป็นแหล่งเก็บรักษาของความรู้และศิลปะทางพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ นับพันปี ถ้ามีตั้งอยูในเมืองตูหนวงซึ่งเป็นสัมพันธะระหว่างยุโรปและเอเชีย เป็นพื้นที่ที่บุญเขียนและคณะนักวิจัยของสถาบันวิจัยนานาชาติธรณีเคลื่อนทางไปสำรวจและศึกษานาว่องมาก่อนแล้วในหลายปีก่อน (พุทธศตวรรษ ๒๕๔๕) เมืองตูหนวดยังเป็นเมืองซึ่งเปรียบเสมือนประตูแห่งการพัฒนาจากเส้นทางสายไหมยุคโบราณมาถึงยุคใหม่ของจีน ซึ่งในเอกสารประวัติศาสตร์มากมายหลายแหล่งกล่าวถึงความสำคัญของเมืองตูหนวगारอย่างกว้างขวาง เช่นเดียวกับในบันทึกการเดินทางสูแดนตะวันตก (大唐西遊記) ของ พระถังซำจั๋ง (释迦牟ㄧ) ซึ่งผ่านผูประวัติ วัฒนธรรม จิติปะเถิบ ศรฐวฤธิ การเมือง และร้อยพ้นเรื่องราวที่ท่านฝันว่าจรฝันรายและทีเขาทำลายซึ่งอาจเป็นอายุถวายเพื่อไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยนาลันทา และมีการอัญเชิญพระคัมภีร์กลับมายังจีนในพุทธศตวรรษที่ ๑๑ นั้น นอกจากเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญทางประวัติศาสตร์แล้ว ยังได้สร้างแรงบันดาลใจแก่ผุคนมากมาย รวมถึง เซอร์มาร์ก ออเรล สไตน์ (Sir Marc Aurel Stein) นักโบราณคดีและนักสำรวจชาวฮังการี ผู้ฝันตัวเองบรรจงการกับรัฐบาลอังกฤษหลังจากการศึกษาด้านโบราณคดีและภาษาตะวันออก ต่อมาเขาถูกส่งตัวไปเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยโอเรลล์ในประเทศไทย อินเดีย ระหว่างที่ท่านเซอร์สไตน์รับราชการที่อินเดีย เขาทราบข่าวสำคัญว่ามีการค้นพบคัมภีร์โบราณจำนวนมากที่ถูกร่อนในถ้ำโมฮ่วง เมืองตูหนวง ดินแดนฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน ในหวงเวลานั้นอังกฤากับรัฐเซียต่างขับเคี่ยวแผ่เสนาอำนาจด้านต่าง ๆ ไปยังภูมิภาคอันรวมถึงเอเชียกลางเนื่องจากท่านเซอร์สไตน์เกรงว่านักสำรวจจากชาติดินอะสามารถเข้าถึงคัมภีร์สำคัญค่าระล่ำค่าร่าเหล่านั้นก่อน ทำให้เขาเร่งพิมพ์งานจำนวนหนึ่งไปยังเมืองตูหนวงในพุทธศตวรรษ ๒๕๔๓ (1900 CE)