ประชาชนจีนกำลังแสวงหาสาระทางจิตวิญญาณกันมากขึ้น เมื่อสังคมจีนได้เติบโตกลายเป็นสังคมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ขาดความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นพร้อมกันไปด้วย

กรุงปักกิ่ง สาธารณประชาชนจีน  --อาร์เรียนน่า ลียู (Arrianna Liu) อายุ 30 ปี รู้สึกสบายใจมากขึ้นในขณะที่เธอกำลังนั่งรับประทานอาหารในภัตตาคารแห่งหนึ่งในประเทศจีน เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เพียงแต่เพราะว่า รัฐบาลจีนได้ผ่อนผันการควบคุมในเรื่องการนับถือศาสนาเท่านั้น  แต่เพราะว่าประชาชนโดยทั่วไปรู้สึกมีความอดทนมากขึ้น เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้มีการนับถือศาสนา ซึ่งศาสนาในที่นี้รวมถึงศาสนาที่มาจากต่างประเทศ คือ ศาสนาคริสต์ ด้วย

“ถ้าเป็นเมื่อ 2-3 ปีก่อนหน้านี้ ดิฉันจะต้องรู้สึกกังวลว่า คนอื่นเขากำลังคิดอย่างไรกับดิฉัน แต่ในขณะนี้ ใช่ คนก็ยังชอบมองคนอื่นด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่เช่นเดิม แต่ไม่มีการตัดสินในการมองของเขาเหล่านั้นว่า ดิฉันเป็นอย่างไร” ลียู (Liu) ชาวปักกิ่งโดยกำเนิด ซึ่งปัจจุบันทำงานให้กับองค์กร NGO แห่งหนึ่ง กล่าว

ตามความเป็นจริงแล้ว ในระยะเวลา 30 ปีตั้งแต่ที่เธอเกิดมา คือในปี 1978 ซึ่งเป็นปีที่รัฐบาลจีนได้เริ่มต้นการปฏิรูปเศรษฐกิจในหลายๆ ด้านในขณะเดียวกันก็ได้เปิดประตูประเทศออกสู่โลกภายนอกด้วย  ซึ่งทำให้สังคมจีนหลังจากนั้นเป็นต้นมาต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบต่างๆ อย่างใหญ่หลวง และนำไปสู่การพัฒนาในเรื่องความเชื่อทางศาสนาอย่างรวดเร็วอีกด้วย

เมื่อปีที่แล้วรัฐบาลจีนได้ให้การอุดหนุนโครงการสำรวจข้อมูลจากประชาชนทั่วประเทศ พบว่า ปัจจุบันมีประชาชนจีนจำนวน 300 ล้านคน หรือคิดเป็น 31.4% ของประชาชนจีนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วทั้งประเทศที่คิดว่าตนเองยังเป็นผู้ที่มีศาสนา ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าที่รัฐบาลจีนได้ประมาณการไว้ว่า น่าจะมีชาวจีนที่ยังนับถือศาสนาเหลืออยู่เพียงแค่ 100 ล้านคน

ในจำนวนนี้ 2 ใน 3 คิดว่าตนเองเป็นชาวพุทธ และผู้ที่นับถือศาสนาเต๋า หรือบูชาเทพเจ้าตามธรรมเนียมจีนโบราณ เช่น บูชามังกร หรือ เทพเจ้าแห่งอนาคต คณะสำรวจโครงการนี้ยังประมาณการว่า 12% ของผู้ที่มีศาสนา หรือประมาณ 40 ล้านคนเป็นชาวคริสต์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มจาก 16 ล้านคนในปี 2005  ศาสนาคริสต์ถือว่าเป็นศาสนาหนึ่งที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูงที่สุดในประเทศจีนในขณะนี้  แต่ตามข้อมูลการสำรวจขององค์กรต่างชาติประมาณการว่า จำนวนชาวคริสต์ในประเทศจีนน่าจะมีการเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่านี้คือ จาก 50 ล้านคนเป็น 70 ล้านคนในปัจจุบัน ประชาชนจำนวนมากได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของโบสถ์ต่างๆ “เมื่อสังคมมีความรุ่งเรืองและพัฒนาแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถอดทนต่อความคิดเห็นที่แตกต่างได้”

ปัจจุบันรัฐบาลจีนได้ให้การยอมรับศาสนาทั้งหมด 5 ศาสนา คือ พุทธ เต๋า อิสลาม คาทอลิก และโปแตสแตนท์  ศาสนาพุทธซึ่งมีชาวพุทธอยู่ประมาณ 100 ล้านคนซึ่งถือว่าเป็นจำนวนมากที่สุด ในขณะที่มีชาวมุสลิมในประเทศเพียง 20 ล้านคน นอกจากนี้ยังมีชนกลุ่มน้อยที่นับถือความเชื่ออื่นๆ เช่น Uighurs อยู่ด้วย

ศาสตราจารย์ทางด้านปรัชญาท่านหนึ่งชื่อ ลียู ซองยู (Liu Zhongyu) กล่าวว่า การเลือกนับถือศาสนาได้อย่างเสรีตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่ประชาชนชาวจีนสามารถทำได้ และสิ่งนี้ช่วยให้ประชาชนจีนสามารถเผชิญหน้ากับปัญหาทางสังคมที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาเดียวกันได้ด้วย

ประเทศจีนตั้งแต่อดีตกาลมาต้องอดทนต่อความแตกต่างทางด้านศาสนามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องมีการควบคุมดูแลองค์กรทางด้านศาสนาต่างๆ ที่มีอยู่ในสังคม เพื่อไม่ให้ศาสนาความเชื่ออื่นๆ เกิดการท้าทายกับศาสนาขงจื้อ ผลจากการควบคุมนี้เองทำให้องค์กรทางศาสนาต่างๆ ในประเทศจีนมีแนวโน้มที่มีโครงสร้างขององค์กรที่ไม่เข้มแข็ง เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ได้เข้ามามีอำนาจในแผ่นดินจีนเมื่อปี 1949 ศาสนาได้ถูกห้ามการปฏิบัติและเผยแผ่ สิ่งนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการปฏิรูปทางวัฒนธรรมในระหว่างปี 1966 ถึง 1976

หลังจากที่เติ้ง เสี่ยว ผิง ได้บุกเบิกโครงการปฏิรูปทางเศรษกิจในปี 1978 รัฐบาลจีนก็เริ่มปลดปล่อยการคุมเข้มทางด้านความเป็นอยู่ของประชาชนในด้านต่างๆ ซึ่งรวมถึง ทางด้านการนับถือศาสนาด้วย เพื่อเป็นการทำให้การปฏิรูปวัฒนธรรมของรัฐเป็นไปได้โดยง่าย  ในปี 1982 รัฐบาลจีนได้ผ่านกฤษฎีกาเรื่องเสรีภาพในการนับถือศาสนา เพื่อเป็นการรับรองว่า ศาสนาจะดำรงอยู่ต่อไปได้อีกยาวนาน ก่อนที่ความเชื่อทางศาสนาจะหมดไปเองในที่สุด  เสรีภาพในการนับถือศาสนานั้นถูกมอบให้กับประชาชนภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ผู้นับถือศาสนานั้นๆ ต้องรักประเทศชาติของตนเอง และต้องให้การสนับสนุนกฎระเบียบของพรรคคอมมิวนิสต์ และเคารพต่อกฎหมายสังคม หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ประชาชนยังต้องให้ความสำคัญกับประเทศชาติและพรรคคอมนิวมิสต์ก่อนศาสนานั่นเอง

รัฐบาลจีนยังคงวางมาตรการเข้มงวดกับการปฏิบัติของศาสนาต่างๆโดยอนุญาตให้มีแค่ 5 ศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมาย และทางการก็จะให้ตำแหน่งอย่างเป็นทางการกับโบสถ์ วัด และสุเหล่า ที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของหน่วยงานทางศาสนาของรัฐบาล  เมื่อปี 2005 รัฐบาลจีนได้ผ่านกฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับด้านศาสนาออกมาอีกชุดหนึ่ง โดยอนุญาตให้องค์กรทางศาสนาสามารถถือครองอสังหาริมทรัพย์ได้ ตีพิมพ์วรรณกรรมได้ จัดการฝึกอบรมนักบวชและอนุมัติการรับคนเข้ามาบวชในศาสนาของตนได้ รวมทั้งสามารถรับบริจาคได้ด้วย หลังจากที่องค์กรศาสนานั้นๆ ได้รับการจดทะเบียนกับทางรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตามการตัดสินใจของรัฐบาลจีนในการให้เสรีภาพแก่ประชาชนมากขึ้น แม้ยังไม่ใช่ทั้งหมดก็ตาม นักสังเกตุการณ์มีความเห็นว่า นี่เป็นผลมาจากการที่รัฐบาลจีนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นและเป็นวิธีการหนึ่งในการตอบสนองความต้องการของสังคมที่คนต้องการโอกาสในการปฏิบัติกิจทางศาสนาของตนเองได้

แน่นอนล่ะว่า สังคมจีนได้ผ่านกระบวนการปฏิรูปตัวเองมาอย่างมโหฬารตลอดระยะเวลา 3 ทศวรรษที่แล้ว  การปฏิรูปทำให้เกิดการขับเคลื่อนทางสังคมและทางภูมิศาสตร์  ปัจจุบันนี้การดำเนินชีวิตของประชาชนจีนได้ถูกแยกออกจากรัฐ ดังนั้นประชาชนจีนจึงมีเสรีภาพในการที่จะเลือกว่า ตนเองต้องการจะทำงานและอาศัยอยู่ที่ไหน และใครคือผู้ที่ตนเองต้องการจะสมาคมด้วย  อย่างไรก็ตามเสรีภาพที่ได้มานี้ก็มาพร้อมความไม่มั่นคงในชีวิตด้วยในเวลาเดียวกัน เนื่องจากว่า รัฐบาลจีนก็จะไม่ได้รับผิดชอบชีวิตของประชาชนตั้งแต่เกิดจนตายเหมือนดังในสมัยยุคของประธานเหมาเจ๋อตุงอีกต่อไป

ลียู (Liu) ในขณะที่กำลังให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ China Daily อยู่นี้กล่าวว่า “ประชาชนจีนจำนวนมากในปัจจุบันนี้มีความรู้สึกว่า ชีวิตไม่ค่อยมีความมั่นคงเท่าไรและอนาคตก็เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง อันเป็นผลเนื่องมาจากชีวิตที่ขาดรากฐานที่มั่นคงในปัจจุบัน”

ลียูบอกกลับนิตยสาร The Oriental Outlook ว่า มาตรฐานทางศีลธรรมที่ลดลง ทำให้คนในปัจจุบันไม่ค่อยไว้วางใจซึ่งกันและกัน คนในสังคมจีนปัจจุบันนี้กำลังแสวงหาเครื่องยึดเหนี่ยวชีวิตให้กับตนเอง ซึ่งรวมถึงความต้องการทางศาสนาด้วย นักวิเคราะห์คนอื่นๆ ได้ให้ข้อสังเกตุว่า การเป็นส่วนหนึ่งของผู้ซึ่งนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง เช่น การสังกัดเป็นสมาชิกของโบสถ์ใดโบสถ์หนึ่ง เป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้คนเรามีเครือข่ายทางสังคมที่ตนเองรู้สึกว่า ไว้วางใจได้

ในขณะเดียวกันท่านซูอีเช็ง (Master Xuecheng) รองประธานขององค์กรพุทธศาสนิกชนแห่งประเทศจีน และเป็นเจ้าอาวาสของวัด 4 แห่ง รวมทั้งวัดลองควน (The Longquan monastery) ในกรุงปักกิ่งด้วย มีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุมมองเกี่ยวกับศาสนาพุทธ ท่านโต้แย้งว่า เมื่อคนเรามีความพึงพอใจในความต้องการพื้นฐานของชีวิต เช่น บ้าน อาหาร เป็นต้น คนเราจะเริ่มแสวงหาสิ่งพึ่งพิงทางจิตใจ

ท่านเสริมต่อว่า “เมื่อสังคมได้รับการพัฒนาให้เจริญรุ่งเรืองแล้วเท่านั้นถึงจะมีความอดทนต่อความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้...  ต่อเมื่อสังคมได้เจริญรุ่งเรืองไปถึงในระดับหนึ่งแล้วเท่านั้น ถึงจะมีประชาชนที่มีมาตรฐานทางความรู้ในระดับสูงในจำนวนที่มากพอ และมีคุณสมบัติที่จะสามารถอุทิศตัวเองในการศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาได้

ท่านอ้างว่า จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แสดงให้เห็นว่า พระพุทธศาสนาสามารถเจริญรุ่งเรืองถึงที่สุดในสมัยยุคทองของจีนโบราณ คือในยุคของราชวงศ์ถัง เนื่องจากสังคมจีนในยุคนั้นมีความอุดมสมบูรณ์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตดินแดนที่เรียกว่า ชางเอิง (Chang ‘an) (ปัจจุบันเรียกว่า เซียน (Xian)) ซึ่งเป็นเมืองที่สิ้นสุดของเส้นทางสายไหม

อย่างไรก็ตาม ลียู ผู้ซึ่งได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามายาวนาน พบว่า คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนานั้นยากในการที่จะเรียนรู้จดจำ เนื่องจากมีจำนวนหลายเล่มด้วยกัน เมื่อเปรียบเทียบกับคัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์และคัมภีร์กุรอ่านของอิสลามซึ่งมีเพียงเล่มเดียวจบ

นอกจากนี้ ศาสนาพุทธ “ยังสั่งสอนให้คนเราสละทิ้งสิ่งๆ ต่างๆ มากมายในชีวิต” ลียูกล่าว พร้อมเสริมว่า ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยอมรับได้โดยยาก  นอกจากนี้ชาวพุทธยังต้องฝึกตัวเพื่อไปสู่ความหลุดพ้นจากโลกนี้อีกด้วย” เธอกล่าว

นักวิชาการทางด้านพระพุทธศาสนาบางท่าน เช่น ศาสตราจารย์ เกง ซิเอากวง (Kang Xiaoguang) จากมหาวิทยาลัยเรนมิน (Renmin University) กล่าวว่า ท่านไม่คิดว่า ศาสนาคริสต์จะประสบความสำเร็จอย่างมากมายในประเทศจีน แต่เท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก็คือ ศาสนาคริสต์กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดและสามารถดึงดูดคนหนุ่มสาวได้จำนวนมาก

เกง ผู้ซึ่งนิยมศาสนาขงจื้อ ซึ่งเป็นความเชื่อพื้นฐานที่ใช้ในการปกครองประเทศจีน มีความเห็นว่า พวกที่ยังไม่มีความบรรลุนิติภาวะทางจิตใจ ชอบทำตัวเป็นทาสแฟชั่น และบูชาวัตถุนิยมแบบตะวันตกจะหันไปนับถือศาสนาคริสต์ ส่วนพวกที่มีภาวะความเป็นผู้ใหญ่ทางจิตใจแล้ว ชาวจีนที่มีความรู้ มีแนวโน้มว่าจะหันไปถือการปฎิบัติทางพระพุทธศาสนา ศาสนาคริสต์เป็นที่นิยมก็เฉพาะในหมู่คนหนุ่สาว ศาสตราจารย์เกง ผู้ซึ่งเป็นคนประเภทที่มีความอิสระทางความคิด นิยมอเมริกัน ต่อต้านพวกเจ้าขุนมูลนาย มีความเชี่ยวชาญทางด้านอินเตอร์เน็ตเป็นเยี่ยม ชอบใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่มีขนาดกลางและขนาดใหญ่ ตั้งข้อสังเกตุ

ท่านซูอีเช็ง (Xuecheng) มีความเห็นว่า ศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาที่มาจากต่างประเทศเช่นกัน ได้หยั่งรากลึกในสังคมชาวจีนหลังจากที่สามารถปรับเปลี่ยนแนวทางให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นได้ ด้วยการนำคำศัพท์ภาษาถิ่นของจีนมาใช้ได้สำเร็จโดยผ่านระบบการดำรงชีวิตของชาวจีน เช่น ระบบของขงจื้อ และระบบของเต๋า นอกจากนี้ยังได้มีการพัฒนาคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเป็นภาษาจีนขึ้นมาอีกด้วย  ท่านซูอีเช็งเสริมว่า ศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์ก็ประสบปัญหาในเรื่องการที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับท้องถิ่นให้ได้เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ท่านซูอีเช็งตั้งข้อสังเกตุว่า กลุ่มชาวพุทธยังได้นำเอาวิธีการแบบของคริสต์เตียนมาใช้ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยเช่นกัน เป็นต้นว่า การทำทางด้านสังคมสงเคราะห์ นอกจากนี้ยังได้นำเอาวิธีการสมัยใหม่อื่นๆ มาใช้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ที่วัดลองควน (Longquan monastery) ของท่านเอง ได้มีการทำเวปไซท์ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีนเป็นของตนเอง โดยอาสาสมัครของวัด

จากการทำการสำรวจในหัวข้อเกี่ยวกับความเป็นชาตินิยมด้านวัฒนธรรม เมื่อปีที่แล้ว โดยท่านศาสตราจารย์ เกง พบว่า 33.5% ของผู้ที่ตอบแบบสอบถามคิดว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  14.9% คิดว่า น่าจะเป็น ศาสนาขงจื้อ มากกว่า และ 8.6% คิดว่า น่าจะเป็นศาสนาคริสต์ ซึ่งในที่นี้รวม คาทอลิกเข้าอยู่ด้วย

ในขณะที่ลัทธิเต๋า ซึ่งเป็นความเชื่อดั้งเดิมที่สุดในประเทศจีนมาเป็นอันดับ 4 โดยได้รับการโวตเพียงแค่ 3%

ถึงแม้ว่าลัทธิเต๋าดูเหมือนว่าจะมีแค่เป็นส่วนน้อยในสังคมชาวจีนปัจจุบันนี้ แต่อิทธิพลของลัทธิเต๋านั้นได้แทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันของชาวจีนโดยทั่วไป  ท่านซูอีเช็งกล่าวว่า หลักการพื้นฐานทางด้านการแพทย์แผนจีนโบราณ และความเชื่อเรื่องหยินหยาง รวมถึงเรื่องธาตุทั้ง 5 มีต้นกำเนิดมาจากลัทธิเต๋าทั้งสิ้น

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการดูฮวงจุ้ย ซึ่งเป็นศาสตร์ของการอยู่ร่วมกันอย่างผาสุขระหว่างมนุษย์กับสภาวะสิ่งแวดล้อม ก็มาจากลัทธิเต๋าเช่นเดียวกัน

นักวิเคราะห์หลายท่านมองการเจริญเติบโตของศาสนาต่างๆ ในประเทศจีนว่ามีทางเป็นไปได้สูง ตราบเท่าที่รัฐบาลจีนมองเห็นถึงประโยชน์ของศาสนาว่า จะสามารถช่วยรักษาเสถียรภาพทางสังคมได้ การให้การสนับสนุนของรัฐบาลจีนในเรื่องขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมต่างๆ และการเผยแผ่ศาสนา ทั้งที่เป็นศาสนาดั้งเดิมและที่เป็นศาสนาใหม่ๆ สามารถเห็นได้ชัดจากการเข้ามีส่วนร่วมของรัฐบาลในการประชุม The World Buddhist Forum ครั้งที่ 1 ที่จัดขึ้นที่ประเทศจีน ในปี 2006  และพิธีเฉลิมฉลองในวาระครบรอบของศาสนาขงจื้อ รวมถึงวาระครบรอบของราชวงศ์จีนโบราณ ซึ่งถือว่าเป็นบรรพบุรุษของชาวจีนในปัจจุบัน สำหรับศาสนาคริสต์นั้น ทางรัฐบาลจีนได้ใช้นโยบายการจับตาและควบคุมไปพร้อมกัน แต่ไม่ถึงกับกำจัดหรือปราบปราม เกง กล่าว

ก็ยังคงต้องดูกันอีกต่อไปว่า ศาสนาคริสต์จะสามารถหยั่งรากลึกลงในแผ่นดินจีนได้หรือไม่ ถ้าได้ ก็ต้องดูกันอีกต่อไปว่า ได้ในระดับลึกแค่ไหน และในรูปแบบใด? และศาสนาคริสต์จะเป็นเสาหลักในสังคมจีนเคียงคู่กับศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋า และศาสนาขงจื้อได้หรือไม่? ซึ่งเรื่องนี้ยากที่จะบอกได้ในตอนนี้  อย่างไรก็ตาม การเจริญเติบโตของศาสนาคริสต์ในประเทศจีนถือเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากการปฏิรูปที่เติ้ง เสี่ยวผิงบุกเบิกขึ้นเมื่อ 30 ปีที่แล้ว

ที่มา-http://www.buddhistchannel.tv/index.php?id=46,7632,0,0,1,0

 
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง