เมือง West Haven ---นักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยเยลนำความรู้ด้านระบบประสาทวิทยากับหลักปฏิบัติทางพระพุทธศาสนามาใช้ร่วมกันเพื่อช่วยเหลือคนไข้ติดยาเสพติดเอาชนะอาการติดสารเสพติด
ดร. Judson A. Brewer
ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับคนไข้ที่ติดแอลกอฮอล์และโคเคนออกมาจำนวนหลายชิ้น และขณะนี้เขาก็กำลังทำการวิจัยเพื่อช่วยคนเหล่านี้เลิกการสูบบุหรี่
Brewer
เป็นผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของคลินิคที่รักษาเกี่ยวกับโรคระบบประสาทของมหาวิทยาลัยเยล
(The Yale Therapeutic Neuroscience Clinic) ซึ่งตั้งอยู่ที่
The Veterans Affairs medical center สิ่งที่เขาสอนอยู่ที่คลีนิคแห่งนี้ก็คือ
เรื่องการใช้สติ ซึ่งเป็นหลักคำสอนที่เป็นรากฐานทางพระพุทธศาสนา
“สติ ประกอบด้วย คำจำกัดความ 2 ส่วน ตามความเห็นในหมู่นักวิทยาศาสตร์”
Brewer กล่าว
“ส่วนแรก คือ ส่วนที่ช่วยรักษาความสนใจของคนเราในขณะปัจจุบัน และส่วนที่สองคือ ส่วนที่คนเราถูกนำไปสู่ทัศนคติที่ไม่มีการคิดว่า
จะรับหรือปฏิเสธ
คนไข้ยาเสพติดใช้ยาหรือสารเสพติดชนิดต่างๆ
เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดของตนเอง Brewer กล่าว
และพฤติกรรมนั้นก็กลายเป็นนิสัย “คนเราสร้างนิสัยต่างๆ ขึ้นจากพื้นฐานของประสบการณ์ทั้งหลายที่ผ่านมา” Brewer กล่าวต่อว่า “นิสัยต่างๆ
เหล่านั้นเป็นตัวบอกเราว่า เราจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ อย่างไร”
สิ่งที่ทางคลินิคแห่งนี้ทำอยู่ก็คือ การช่วยเหลือผู้เลิกติดยาเสพติดได้แล้วไม่ให้หวนกลับคืนไปสู่วงจรการเสพยาเสพติดอีก
ด้วยเหตุที่ว่าพวกเขาไม่สามารถทนต่ออาการอยากยาอันเนื่องมาจากความเครียดในรูปแบบต่างๆ
เช่น ความโดดเดี่ยว และความโกรธ ได้ Brewer เปรียบเทียบว่า
มันเหมือนการเล่นวินเซิร์ป คลื่นเปรียบเสมือนความรู้สึก เช่น ความโกรธ
เราทำความสะอาดเพื่อกำจัดความรู้สึกนั้น
“ความลับในเรื่องนี้ก็คือ ความโกรธของคนเราจะหายไป
เพียงแค่เราสามารถล้อคลื่นนั้นได้เหมือนการเล่นกระดานโต้คลื่น” ถึงแม้ว่า เราจะรู้สึกกลัวเหมือนกันว่า
เราเองก็อาจจะถูกกวาดเข้าไปในคลื่นนั้นเสียเองได้ก็ตาม” Brewer กล่าว
“เราจะรู้สึกเหมือนถูกบีบคั้นจากคลื่นเหล่านี้
ทุกครั้งที่เรามีปฏิกิริยาโต้ตอบเราจะถูกบีบคั้นจากมัน แต่ถ้าคนไข้สามารถล้อตามคลื่นนั้นได้
เขาจะรู้สึกดีขึ้นในขณะที่กำลังล้อคลื่นนั้นอยู่”
จากความรู้ที่ว่า คนติดยาเสพติดไม่ได้เป็นทาสของยานั้นทำให้ผู้ติดยาเสพติดมีกำลังใจในการต่อต้านความรู้สึกอยากเสพได้ง่ายมากขึ้นในแต่ละครั้งที่ความอยากปรากฎขึ้น
“มันเป็นการเปิดเผยที่ยิ่งใหญ่ทีเดียว –เมื่อคนเรารู้ว่า
สิ่งนี้มีการทำงานอย่างไรในตัวเรา มันทำให้เรามีอิสรภาพมากขึ้นในการที่จะไม่ตอบสนองมันได้”
ชาวพุทธที่แท้จริงรู้ว่า
ความโกรธและความเครียดในเรื่องต่างๆ ของชีวิตจะหายไปเอง “ที่ๆ
มีคำสอนทางพระพุทธศาสนาปรากฎอยู่ คนจะรู้ว่า ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่ยั่งยืน”
ซึ่งนั่นคือ ชีวิตคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา Brewer กล่าว
ซึ่งคำสอนที่ว่า ทุกสิ่งในโลกไม่ยั่งยืน ครอบคลุมไปถึงเรื่องความทุกข์ด้วย
คำสอนในพระพุทธศาสนาตั้งอยู่บนพื้นฐานของอริยสัจ
4 ซึ่งข้อแรกก็คือ ชีวิตนั้นเป็นทุกข์ และข้อสองบอกว่า
คนเราเป็นผู้สร้างความทุกข์ขึ้นมาเองเนื่องจากอวิชชาและการติดยึดในสิ่งต่างๆ
ข้อสามคือ สิ่งที่เป็นสัจธรรมก็คือ ตัณหาทั้งหลายสามารถทำให้สูญสิ้นไปได้
และข้อสี่คือ การเดินตามอริยมรรคไปสู่การตรัสรู้ธรรมได้
การฝึกสติที่ทำกันในคลีนิคแห่งนี้ก็เป็นวิธีการเดียวกับที่ทำกันในพระพุทธศาสนา
ซึ่งคนที่มารักษาที่คลีนิคแห่งนี้จะถูกให้ฝึกสติตามสูตรที่มีชื่อย่อว่า SOBER คือ
หยุด (Stop), สังเกตกายคตาสติ อารมณ์ และความคิดต่างๆ (Observe), การฝึกหายใจและให้จับลมหายใจเข้าออก,
ให้ขยายการรับรู้ไปสู่ปรากฎการณ์ต่างๆ (Expand) และฝึกการตอบสนองในเรื่องนั้นๆ
ในทางสร้างสรรค์ (Respond)
คนไข้ในคลีนิคแห่งนี้จะได้รับการสอนให้ทำสมาธิแบบต่างๆ
รวมถึงการทำสมาธิที่เรียกว่า การแผ่เมตตา “คุณแค่ฝึกภาวนาคำภาวนาไปเรื่อยๆ เช่น
ขอให้คุณมีความสุข ขอให้คุณมีสุขภาพแข็งแรง ขอให้คุณปลอดจากภัยอันตรายทั้งปวง
ขอให้คุณมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข”
การฝึกดังกล่าวเป็นการพัฒนาสมาธิ Brewer กล่าว
“มันเป็นวิธีการช่วยคนเราให้ลดกำแพงอันแน่นหนาที่กั้นระหว่างตัวเรากับผู้อื่นได้” ผลก็คือ
มันช่วยให้คนเรามีใจเป็นกลางมากขึ้น ซึ่งสิ่งนี้เป็นหลักพื้นฐานในเรื่องการฝึกสติ
การศึกษาที่มีผ่านมาหลายชิ้นก็ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปได้ถึงผลที่ได้รับอย่างแน่นอน
แต่ Brewer
กล่าวว่า นักวิจัยหลายท่านได้เปรียบเทียบว่า
การฝึกสติช่วยลดความเครียดได้ดีเพียงไรเมื่อเทียบกับการรักษาแบบเดิมๆ ที่ผ่านมา การฝึกสติอย่างน้อยก็ช่วยลดการตอบสนองที่รุนแรงหรือแบบตื่นตระหนกได้,
ช่วยปรับระดับอัตราการเต้นของหัวใจและความถี่ของการหายใจได้
Brewer กล่าวว่า นักวิจัยยังไม่ได้พิสูจน์เรื่อง
ความเชื่อมโยงกันทางกายภาพที่เกิดจากฤทธิ์ยา “เรารู้ว่า การฝึกสติมีผลกระทบต่อการตอบสนองทางกาย...
แต่เราไม่รู้ว่า มันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร”
การรักษาการติดยาเสพติดนั้นยากมาก
ยกตัวอย่าง พวกสิงห์นักสูบทั้งหลายต้องพยายามอยู่ถึง 5 ถึง 7
ครั้งก่อนที่จะประสบความสำเร็จในการเลิกได้จริง Brewer กล่าว
แต่ถึงแม้ว่า การฝึกสติจะไม่ได้ให้ผลแห่งความสำเร็จมากกว่าเทคนิคการรักษาแบบเดิมๆ มากนัก
แต่การรักษาแบบใช้วิธีฝึกสตินี้ก็ไม่มีผลเสีย ไม่ต้องใช้ยา
ไม่มีผลข้างเคียงในทางไม่ดีใดๆ
ในขณะที่การร่วมมือกันระหว่างความเชื่อทางศาสนาและทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ด้านระบบประสาทวิทยาดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกัน
Brewer
กล่าวว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่น่าสนใจมากที่สุดในประเด็นเรื่องวิทยาศาสตร์ทางใจ
ศาสนาพุทธไม่ได้มีหลักคำสอนเรื่องพระผู้เป็นเจ้า แต่จะสนับสนุนผู้ที่ปฏิบัติให้เรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรง
ไม่ใช่มาจากศรัทธาเพียงอย่างเดียว Brewer ปฏิบัติตามคำสอนทางพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท
ที่เน้นไปที่คำสอนเพียงอย่างเดียว ปฏิเสธเรื่องธรรมเนียมประเพณีต่างๆ และความเชื่ออื่นๆ
ที่เพิ่มเติมมาในภายหลัง
“พระพุทธศาสนาแบบเถรวาทนี้ดึงดูดความสนใจนักวิทยาศาสตร์ได้จำนวนมาก
เพราะเป็นคำสอนที่กวดขันและสามารถเรียนรู้จากการปฏิบัติได้จริงมากมาก” เขากล่าว
Brewer
ได้เริ่มฝึกทำสมาธิครั้งแรกในขณะที่เขากำลังเรียนอยู่ในโรงเรียน เขาบอก และการฝึกสมาธิก็ได้นำเขาไปสู่เรื่องที่เขาทำได้ดีเป็นพิเศษ
เขาถือศีลแบบชาวพุทธ เขาไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิต เขาเลิกทำงานวิจัยที่เกี่ยวกับสัตว์
เหลือแต่วิจัยเรื่องเกี่ยวกับคน
งานวิจัยของเขาที่เกี่ยวกับคนนั้นไม่ได้ทำอันตรายคนที่เขาไปทำวิจัยด้วย
และ Brewer เชื่อว่าพุทธปรัชญาที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดของเขาได้
ก็จะต้องช่วยคนอื่นๆ ในการเอาชนะอาการติดยาเสพติดซึ่งทำลายสุขภาพและชีวิตของคนเหล่านั้นได้ด้วย
ที่มา-http://www.nhregister.com/articles/2009/02/23/news/new_haven/a1_mon_buddhistsmoking.txt