เวลาคือ
อะไรบางอย่างที่ในแว้บแรกที่มองดูเหมือนไม่มีอันตราย มีประโยชน์ และเป็นสิ่งที่เป็นจริงในการดำเนินชีวิตของคนเรา
เวลาได้ถูกใช้ในการพิสูจน์ตัวตน ในการแสดงคุณสมบัติ และในการพรรณาสิ่งต่างๆ
คนเราได้สร้างแนวคิดในการให้คำจำกัดความของคำว่า เวลา ในรูปแบบต่างๆ
ตามความปรารถนา บางคนให้คำจำกัดความเรื่องเวลาในเชิงที่เกี่ยวเนื่องกับอายุ
ยกตัวอย่างเช่น บอกว่า อายุนั้นเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
และเปลี่ยนแปลงไปตามความหมายทางสังคมของเวลา
ถึงแม้ว่า การให้คำจำกัดความในความหมายของเวลาข้างต้นง่ายต่อการได้รับความเห็นชอบ
แต่มุมมองและนิยามของเวลายังคงเป็นเรื่องที่มีการโต้เถียงกันอย่างมาก
ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการตีความทางปรัชญาไปในมุมมองที่แตกต่างกัน
เวลาไม่ใช่สิ่งที่สามารถสังเกตุได้โดยตรง
แต่สิ่งที่คนเราสังเกตุเห็นได้ก็คือ ผลลัพธ์ของเวลา นี่จึงเป็นสาเหตุทำให้วิทยาศาสตร์สามารถให้คำตอบได้เพียงบางคำถามที่ว่าด้วยเรื่องของเวลาเท่านั้น
นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนาชาวรัสเซียท่านหนึ่งชื่อ
Theodor
Ippolitovich Stcherbatsky เขียนไว้ว่า “ทุกสิ่งที่ผ่านไปแล้วนั้นไม่เป็นความจริง,
ทุกสิ่งที่จะมาในอนาคตก็ไม่เป็นความจริง, ทุกสิ่งที่เป็นการจินตนาการ, ที่หายไป,
ที่เป็นความทรงจำ... ไม่เป็นความจริง ท้ายที่สุดแล้ว ความจริงก็คือ
สิ่งที่เป็นปัจจุบันของกายที่ยังมีสมรรถนะอยู่เท่านั้น”
บางทีสิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดก็คือ
อานุภาพของใจที่สามารถระลึกย้อนหลังไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาแล้วขึ้นได้ในเวลานั้นๆ
การสังเกตุเหตุการณ์ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง เป็นการจำเหตุการณ์ต่างๆ ที่มีอดีตที่เกี่ยวข้องกับปัจจุบันอย่างปัจจุบันทันด่วน
ซึ่งจะไม่มีเหตุการณ์ในอนาคตใดๆ ที่เชื่อมโยงกับปัจจุบันถูกจดจำได้ในปัจจุบัน
ความไม่เหมือนกันของการจำเรื่องในอดีตกับการจำเรื่องในอนาคตที่พูดมาข้างต้นเป็นการสนับสนุนปรัชญาของ
Issac
Newton เรื่อง ”ลูกศรแห่งกาลเวลา” Newton พรรณาเรื่อง
เวลาว่า เป็นเสมือนลูกศร เมื่อถูกยิงออกไปแล้วจะไม่หวนคืน ลูกศรแห่งเวลาเป็นการให้ภาพที่ชัดเจนถึงทิศทางของเวลาว่า
มีแนวโน้มไปในทางตรง สิ่งนี้มีรูปลักษณ์ไม่แน่นอนโดยธรรมชาติ ทำให้มีการทึกทักกันว่า
มีการเริ่มต้นของเวลา
มีนักการศาสนาหลายท่านอ้างว่า
พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้อยู่เหนือกาลเวลา นอกจากนี้นักฟิสิกส์ผู้ให้การสนับสนุนเรื่อง
Big
Bang และชักใยในทฤษฎีต่างๆ ในทำนองนี้ กล่าวว่า กฎของฟิสิกส์ที่เป็นตัวควบคุมสิ่งต่างๆ
รวมถึงเวลาด้วย เป็นสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์และสอบสวนได้ก่อนหน้านี้
และในระหว่างการเกิด Big Bang นับจากจุดที่เราอยู่ในขณะนี้
นักปรัชญา J. M.
E. McTaggart โต้แย้งว่า เวลาก็เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่มีอยูในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงของกาลเวลา
ในงานเขียนของเขา McTaggart ได้แยกการแปลความหมายออกเป็น 2
ส่วน การแปลความหมายแรกซึ่งพรรณาอย่างไม่สัมพันธ์กันว่า:
บางอย่างเป็นอดีต บางอย่างเป็นปัจจุบัน บางอย่างเป็นอนาคต คนเราใช้คำบรรยายนี้
เพราะว่ามีความคิดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเกี่ยวกับอดีตที่ยาวนาน
และอดีตที่ผ่านไปยังไม่นาน มาถึงปัจจุบัน และไปถึงอนาคตอันใกล้
และอนาคตที่ยังอยู่อีกไกล เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในอนาคต
มาถึงในปัจจุบันและจบลงในอดีต แต่จะไม่มีเหตุการณ์ใดที่สามารถเป็นได้ทั้งสองกาลเวลาในครั้งเดียว
McTaggart ชี้แจงว่า เรื่องเกี่ยวกับเวลาหลายเรื่องมีความขัดแย้งกันโดยธรรมชาติ
คุณสมบัติของเวลาหลายอย่างไม่สมเหตุสมผล
เวลาไม่สามารถเป็นได้ทั้งอดีตและปัจจุบันในคราวเดียวกัน อย่างไรก็ตาม
เพื่อที่จะบรรยายเรื่องของเวลาอย่างสอดคล้องกัน เราจะต้องยอมรับคำจำกัดความเหล่านี้ว่าเป็นความจริง
McTaggart อ้างว่า ความขัดแย้งที่มีมาโดยธรรมชาติก่อให้เกิดการพิสูจน์ที่ไม่อาจโต้เถียงได้เรื่อง
“ความไม่เป็นจริงของเวลา” การทดลองทางฟิสิกส์หลายชิ้นได้แสดงให้เห็นว่า
เวลาไม่สามารถได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกับสสารได้ นักวิทยาศาสตร์และนักอภิปรัชญาหลายท่านมีมุมมองว่า
เวลาจะต้องถูกมองว่า เป็นความสัมพันธ์ระหว่างความแตกต่างของภพภูมิของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น
ตามทฤษฎีของ Albert
Einstein เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธภาพที่ว่า
ถ้ามีวัตถุอันหนึ่งเดินทางด้วยความเร็วที่เร็วพอไปในอวกาศจะสามารถเปลี่ยนเส้นทางการเดินทางของมันเองได้โดยผ่านกาลเวลา
ยกตัวอย่าง ถ้าวัตถุอันหนึ่งเดินทางด้วยความเร็วเท่ากับ 99% ของความเร็วแสง
เวลาของวัตถุนี้จะ “ช้าลง” เป็นสัดส่วนประมาณ 7 เท่า ถ้าคนๆ
หนึ่งเดินทางด้วยความเร็วดังกล่าว เมื่อคนๆ คนนั้นจะมีประสบการณ์ 1 ปี เมื่อเทียบกับคนบนโลกมีประสบการณ์
7 ปี
Einstein กล่าวว่า “คนอย่างพวกเราที่เชื่อเรื่องฟิสิกส์รู้ดีว่า ความแตกต่างของอดีต
ปัจจุบัน และอนาคต เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่เกิดขึ้นต่อเนี่องกันไปอย่างถาวรเท่านั้นเอง”
การรับเอาปรัชญาเกี่ยวกับเรื่องของเวลาที่ว่ามานี้อาจจะเปลี่ยนแปลงมุมมองของคนๆ
นั้นไปได้มากอย่างน่าฉงน ความเชื่อเรื่องจักรวาลว่าเป็นอกาลิโก ไม่มีพรมแดน
และเป็น infinity
เป็นการตัดโอกาสความเป็นไปได้เรื่องจุดเริ่มต้นของธรรมชาติ และการสร้างสรรพสิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในการมองภาพในมุมมองแบบนี้
ดังนั้นผู้สร้างโลกและสรรพสิ่งก็ต้องเป็นไปไม่ได้ด้วยเช่นกัน
เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการสร้างสิ่งใดๆ ในเมื่อทุกสิ่งมีอยู่เรียบร้อยแล้ว
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า
ไม่ค่อยได้มีการคิดเกี่ยวกับเรื่องของเวลากันเลย แต่แนวคิดที่ยิ่งใหญ่แบบอภิปรัชญาที่แปลกใหม่เหล่านี้จะต้องก่อให้การคิดขึ้น
และเพื่อสนับสนุนให้มีการพิสูจน์ทางความคิดขึ้น
เราอาจจะต้องเพิกเฉยต่อคำถามบางคำถามที่ไร้สาระและไม่ควรถามไปบ้างเสียก่อน
ที่มา-http://www.usforacle.com/time_is_an_illusion-1.1574234