กระต่ายน้อยในดวงจันทร์(ทานปรมัตถบารมี)

เมื่อให้ทานอันเลิศ บุญอันเลิศย่อมเจริญ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สุข และกำลังอันเลิศก็เจริญ https://dmc.tv/a6944

บทความธรรมะ Dhamma Articles > ธรรมะเพื่อประชาชน
[ 24 มิ.ย. 2553 ] - [ ผู้อ่าน : 18289 ]
ก ร ะ ต่ า ย น้ อ ย ใ น ด ว ง จั น ท ร์
( ท า น ป ร มั ต ถ บ า ร มี )



 
เมื่อให้ทานอันเลิศ
บุญอันเลิศย่อมเจริญ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ
สุข และกำลังอันเลิศก็เจริญ

     "การสร้างบารมี" เป็นงานที่แท้จริงของมวลมนุษยชาติ เราเกิดมาก็เพื่อสร้างบารมี ดำเนินตามรอยบาทพระบรมศาสดา มุ่งแสวงหาสาระอันแท้จริงของชีวิต เพื่อให้ไปถึงจุดหมายปลายทาง คือที่สุดแห่งธรรม หลุดพ้นจากการครอบงำของกิเลสอาสวะ การทำใจให้หยุดนิ่งคือวิธีที่จะเอาชนะกิเลสอาสวะ และยังเป็นทางมาแห่งมหากุศล ถ้าหากเอาใจหยุดนิ่งให้ใจใสสะอาดบริสุทธิ์ บุญกุศลก็จะบังเกิดขึ้นอย่างมหาศาล และจะเป็นเหตุให้เราได้บรรลุงานที่แท้จริงของชีวิตอีกด้วย คืองานขจัดกิเลสอาสวะ

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ว่า

    " อคฺคสฺมึ ทานํ ททตํ     อคฺคํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ
     อคฺคํ อายุ จ วณฺโณ จ    ยโส กิตฺติ สุขํ พลํ

    เมื่อให้ทานอันเลิศ บุญอันเลิศย่อมเจริญ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สุข และกำลังอันเลิศก็เจริญ "

    สิ่งมีชีวิตที่กำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้ ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน จึงจะดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข "การให้" เป็นวัฒนธรรมของคนดี เป็นประเพณีของพระอริยเจ้า เป็นก้าวแรกของการสร้างบารมีไปสู่อายตนนิพพาน บุคคลผู้ให้ทานย่อมได้รับการยกย่องสรรเสริญ เกียรติคุณอันดีงามย่อมฟุ้งขจรไปทั่ว จะเป็นที่รักของมนุษย์และเทวาทั้งหลาย ดังนั้นการให้จึงเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดสันติสุขขึ้นในโลกอีกวิธีหนึ่ง

    บัณฑิตทั้งหลายเมื่อจะให้ทาน ก็ให้ด้วยความเคารพ ให้ด้วยความศรัทธา ให้ด้วยจิตอนุเคราะห์ ให้ตามกาลอันควรโดยไม่กระทบตนและผู้อื่น และจะเลือกให้แต่ของที่ดีเลิศ เพราะผู้ให้ของประณีตย่อมได้ของประณีต ให้ของดีย่อมได้ของดี ให้ของชอบใจย่อมได้รับของชอบใจ ให้ของเลิศย่อมได้รับของเลิศ ไม่ว่าจะเกิดในที่ใดย่อมเป็นผู้เข้าถึงฐานะอันประเสริฐ จะมีความสุขความบันเทิงใจ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

    * พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยที่พระองค์ยังเป็นพระบรมโพธิสัตว์ ไม่ว่าจะบังเกิดเป็นอะไรก็ตาม ท่านจะไม่เคยขาดการสร้างทานบารมี แม้ในพระชาติที่ถือกำเนิดเป็นกระต่าย ครั้งนั้นมีนาก สุนัขจิ้งจอก และลิงเป็นเพื่อนกัน กระต่ายโพธิสัตว์จะคอยตักเตือนพร่ำสอนเพื่อนทั้งสาม ให้ตั้งอยู่ในคุณธรรมความดี อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ พระมหาสัตว์จึงชวนสหายทั้งสามให้รักษาอุโบสถศีล และตระเตรียมอาหารเพื่อถวายทานแก่ทักขิไณยบุคคล 

    สัตว์เหล่านั้นเชื่อฟังกระต่ายโพธิสัตว์ พอเช้าตรู่ นากจึงไปยังฝั่งแม่น้ำเพื่อหาอาหาร ได้ปลาตะเพียนที่คนนำมาฝังหมกทรายไว้ ส่วนสุนัขจิ้งจอกก็เที่ยวหาอาหาร ได้เนื้อมา ๒ ชิ้น แม้ลิงก็ออกไปแสวงหาผลไม้ในป่า ได้มาแล้วก็เตรียมเอาไว้ทำทาน ฝ่ายกระต่ายโพธิสัตว์คิดว่า เราเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยหญ้า เราไม่อาจให้หญ้าเป็นทานแก่ทักขิไณยบุคคลได้ ถ้าหากวันนี้มีเนื้อนาบุญ มายังที่อยู่ของเรา เราจะยอมสละชีวิต โดยให้เนื้อของเราเป็นทาน

    เมื่อกระต่ายโพธิสัตว์คิดอย่างนี้ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของพระอินทร์ก็ร้อนขึ้นมา พระอินทร์ทรงตรวจดู ก็รู้ถึงความคิดของกระต่าย จึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ จะมาทดสอบดูว่า สัตว์เหล่านั้นจะทำได้อย่างที่คิดไว้หรือเปล่า ตอนแรก ได้ไปที่อยู่ของนากก่อน ไปยืนสงบนิ่งอยู่ เมื่อนากถามความประสงค์ว่าต้องการอะไร พราหมณ์ก็บอกว่า อยากจะได้อาหารสักมื้อหนึ่ง แล้วจะรักษาอุโบสถศีล และบำเพ็ญภาวนา นากมีใจเลื่อมใสจึงให้ปลาตะเพียนแก่พราหมณ์แปลงนั้น

    พราหมณ์ก็ขอบใจ แล้วบอกว่าจะมารับในภายหลัง จากนั้นก็ได้เดินทางไปหาสุนัขจิ้งจอก สุนัขจิ้งจอกเห็นก็ดีใจ และได้ให้เนื้อ ๒ ชิ้นเป็นทาน พราหมณ์ก็บอกว่าเอาไว้ก่อนแล้วจะมารับในภายหลัง และก็ได้เดินทางไปหาลิง ลิงก็ได้ให้ผลไม้ และน้ำดื่มแก่พราหมณ์ พราหมณ์ก็บอกเดี๋ยวจะมารับ แล้วไปหากระต่ายโพธิสัตว์

    กระต่ายพระโพธิสัตว์เห็นพราหมณ์มาก็มีความยินดีปรีดาว่า ความดำริของเราจะสมปรารถนาในวันนี้ เราจะให้ทานอันประเสริฐที่ใครๆ ยากจะให้ได้ แก่พราหมณ์ผู้ประกอบด้วยศีลและธรรม แล้วกระต่ายก็บอกให้พราหมณ์ไปหาไม้มาก่อไฟ ตนจะสละชีวิตให้เป็นทาน พราหมณ์เห็นความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นของกระต่ายโพธิสัตว์ ก็มีจิตเลื่อมใส และได้นำไม้มากองทำเป็นฟืน แล้วก่อไฟขึ้น

    กระต่ายพระโพธิสัตว์สลัดตัว เพื่อให้สัตว์ที่ติดอยู่ตามขนหลุดออกไป เพื่อชำระศีลให้บริสุทธิ์ แล้วก็กระโดดลงไปในกองไฟ โดยไม่กลัวความตาย แต่ไฟนั้นกลับมีความฉ่ำเย็นเหมือนกระโดดลงไปในสระน้ำ ไม่ได้ทำอันตรายกระต่ายพระโพธิสัตว์เลย แม้แต่ปลายเส้นขนก็ไม่ไหม้ไฟ
 
    พระโพธิสัตว์เกิดความประหลาดใจที่กองเพลิงไม่เผาร่างกายของตนเอง ก็ถามพราหมณ์ว่า "ทำไมไฟนี้จึงไม่ร้อน?" พราหมณ์บอกว่า "ท่านพญากระต่าย ข้าพเจ้าไม่ใช่พราหมณ์ แต่เป็นท้าวสักกะ มาที่นี่ก็เพื่อจะทดลองใจท่าน"

    กระต่ายพระโพธิสัตว์จึงได้บันลือสีหนาทว่า "ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพ ถึงแม้ชาวสวรรค์หรือชาวโลกทั้งหมด จะมาทดลองข้าพเจ้าด้วยการห้ามไม่ให้ทาน ข้าพเจ้าก็จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงความตั้งใจในการให้ทาน จะยอมสละทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิต เพื่อให้ใจที่พร่องเต็มเปี่ยมบริบูรณ์"

    ท้าวสักกะเกิดความรู้สึกซาบซึ้ง จึงตรัสกับพระมหาสัตว์ว่า "ท่านบัณฑิต ท่านเป็นผู้สูงส่งด้วยคุณธรรม ขอให้คุณธรรมของท่าน จงปรากฏอยู่ตลอดกัปเถิด" แล้วพระองค์ก็ทรงเอาภูเขามาจารึกรูปกระต่ายไว้บนดวงจันทร์ เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการสร้างความดีของกระต่ายโพธิสัตว์ และเป็นสัญลักษณ์เพื่อเตือนใจให้ชาวโลกอย่าได้ละเลยในการให้ทาน เมื่อเห็นครั้งใดก็จะได้เร่งขวนขวายในการสร้างมหาทานบารมีอย่างเต็มที่ ดุจเดียวกับพระโพธิสัตว์ในกาลก่อน

    เพราะฉะนั้น นักสร้างบารมี อย่าได้หยุดยั้งในการสร้างมหาทานบารมีกัน พระโพธิสัตว์ของเราแม้จะบังเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน แต่ท่านเห็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่ในการสร้างบุญสร้างบารมี ไม่ว่าท่านจะเกิดมาอยู่ในสภาวะใดก็ตาม ท่านจะสร้างบุญบารมีตลอดเวลาโดยไม่เคยเบื่อหน่ายหรือท้อแท้ แม้จะต้องสละอวัยวะ เลือดเนื้อหรือชีวิตท่านก็สามารถสละได้ เพื่อการบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ พวกเราทุกคนก็เช่นเดียวกันต้องเป็นผู้เสียสละอย่าได้ตระหนี่กัน ให้หมั่นทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาให้เต็มที่ ทำไปจนกว่าเราจะบรรลุจุดหมายปลายทางของชีวิตคือพระนิพพาน

    การที่จะไปพระนิพพานได้นั้นเราจะต้องมีบุญบารมีมากพอ ทานกุศลที่เราได้ทำดีแล้วนั่นแหละ จะเป็นเสบียงในการเดินทางไปสู่พระนิพพาน ทำให้เราได้รับความสะดวกสบายตลอดเส้นทาง การสร้างบารมี เพราะทานกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ที่จะไม่ให้ผลนั้นเป็นไม่มี ทานที่เราได้ให้แก่สัตว์เดียรัจฉานมื้อหนึ่งยังมีอานิสงส์ไปถึง ๑๐๐ ชาติ คือเมื่อเราเวียนว่ายตายเกิดตลอด ๑๐๐ ชาติ เราจะไม่รู้จักคำว่าอดอยากยากจนเลย จะมีแต่ความสมบูรณ์พรั่งพร้อมไปด้วยโภคทรัพย์สมบัติ

    แม้เราทำบุญกับคนที่ทุศีล ให้ข้าวกินอิ่มมื้อหนึ่ง ก็ยังส่งผลดีไปถึง ๑,๐๐๐ ชาติ และถ้ายิ่งทำบุญกับผู้มีศีล คือตั้งแต่ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ บุญก็มากขึ้นไปตามลำดับ ถ้าอยากจะได้บุญยิ่งขึ้นก็ต้องทำให้ถูกเนื้อนาบุญ ถูกทักขิไณยบุคคล คือทำบุญกับผู้ที่เข้าถึงไตรสรณคมน์ได้เข้าถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรัตนะทั้งสาม อย่างนี้จึงจะมีอานิสงส์มากเป็นอสงไขยอัปปมาณังทีเดียว 
 
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
* มก. สสปัณฑิตจริยา เล่ม ๗๔ หน้า ๒๑๖
  

http://goo.gl/09CfY


พิมพ์บทความนี้



บทความอื่นๆ ในหมวด

      มงคลที่ ๑๕ บำเพ็ญทาน - อานิสงส์ทำบุญทอดกฐิน
      หลุดพ้นจากสังสารวัฏ
      โสฬสญาณ
      เบื้องต้นเบื้องปลายไม่ปรากฏ
      พระอรหันต์รู้ได้ยาก
      ความวิเศษสุดของพระพุทธศาสนา
      พระอรหันต์มีจริง
      พระอริยเจ้า
      ผลแห่งการชวนคนมารู้จักพระรัตนตรัย
      คนดีที่โลกต้องการ
      นักสร้างบารมีพันธุ์อาชาไนย
      เวสารัชชธรรม ๔
      ต้นแบบแห่งความดี




   ค้นหา บทความธรรม    

  ฝันในฝันวิทยา
  สารพันธรรมะ
  ปกิณกธรรม
  ผลการปฏิบัติธรรม
  โครงการฟื้นฟูศีลธรรมโลก
  ธรรมะบันเทิง
  ข่าว
  ข่าวประชาสัมพันธ์
  ข่าวบุญฝากประกาศ
  DMC NEWS
  ข่าวรอบโลก
  กิจกรรมเว็บ dmc.tv
  Scoop - Review DMC
  เรื่องเด่นทันเหตุการณ์
  Review รายการ DMC
  หนังสือธรรมะ
  ธรรมะเพื่อประชาชน
  ที่นี่มีคำตอบ
  หลวงพ่อตอบปัญหา
  อยู่ในบุญ
  สุขภาพนักสร้างบารมี
  นิทานชาดก
  CaseStudy กฎแห่งกรรม
  กฎแห่งกรรม
  เรื่องราวชีวิต
  เหลือเชื่อแต่จริง
  อุทาหรณ์สอนใจ
  ฮอตฮิต...ติดดาว
  วิบากกรรม...ทำให้ทุกข์
  บุญเกื้อหนุน
  ปรโลกนิวส์
  ธรรมะและสมาธิ
  พุทธประวัติ
  สมาธิ
  ผลการปฏิบัติธรรมนานาชาติ
  ทศชาติชาดก
  พุทธประวัติและวันสำคัญ
  บทสวดมนต์
  ศัพท์ธรรมะ ภาษาอังกฤษ
  มหาปูชนียาจารย์
  อานุภาพมหาปูชนียาจารย์
  ประวัติ
  กิจกรรม
  ธุดงค์สถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์
  About DMC
  เกี่ยวกับ DMC
  DMC GUIDE
  มือถือ Mobile
  คู่มือเว็บ www.dmc.tv
  มาวัดพระธรรมกาย
   ค้นหา บทความธรรม    

ธรรมะที่เกี่ยวข้อง - Related