ชัยชนะครั้งที่ ๑ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(ตอนที่ ๑ ชนะพญามาร)
การอุบัติขึ้นของ..พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เปรียบ..เสมือนดวงสุริยาที่ทอแสงให้ความสว่างในชีวิตแก่สรรพสัตว์ทั้งปวงโดยไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง พระพุทธองค์เสด็จมาเพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ดังพุทธพจน์ที่กล่าวไว้ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลเอกเมื่ออุบัติขึ้นในโลก ย่อมอุบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขของมหาชน เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย” บุคคลเอก คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่เราหมั่นตรึกระลึกนึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ จึงถือเป็นการเจริญพุทธานุสติ มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ การทำเช่นนี้มีอานิสงส์ใหญ่ จะส่งผลให้เราได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในได้โดยง่ายโดยเร็วพลัน
ในบทสรรเสริญพุทธคุณในพุทธชัยมงคลคาถา บทที่ ๑ ว่า
“พาหุ สหสฺสมภินิมฺมิตสาวุธนฺตํ
คฺรีเมขลํ อุทิตโฆรสเสนมารํ
ทานาทิธมฺมวิธินา ชิตวา มุนินฺโท
ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ
พระ..จอมมุนีได้ชัยชนะพญามาร ผู้เนรมิตแขนตั้งพัน มีอาวุธครบมือ ขี่คชสารครีเมขล์พร้อมด้วยเสนามาร มาโห่ร้องกึกก้อง ด้วยธรรมวิธีมีทานบารมีเป็นต้น ด้วยเดชแห่งพุทธชัยมงคลนั้น ขอสรรพมงคลทั้งหลาย จงมีแก่ท่าน”
การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้หมู่สัตว์หลุดพ้นจากบ่วงแห่งมาร พ้นจากความมืด คือ อวิชชา พบแสงสว่างแห่งพระสัทธรรม ทรงได้รับชัยชนะเหนือพญามารด้วยบุญบารมีของพระพุทธองค์ ได้แก่ทานบารมี เป็นต้น จึงได้รับการเฉลิมพระนามว่า พระชินเจ้า พระชินสีห์ หรือพระอนันตชิน ซึ่งหมายถึงผู้มีชัยชนะตลอดกาล ชัยชนะที่สำคัญซึ่งพระธรรมาจารย์ได้พรรณนาไว้นั้น มีอยู่ ๘ ครั้ง ท่านได้รวบรวมเป็นบทเจริญพระพุทธชัยมงคลคาถา หรือที่เราเรียกว่า บทสวดพาหุงฯ นั่นเอง ทั้ง ๘ บทนี้ หลวงพ่อจะนำมาเล่าให้ได้ฟังกัน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ดังนี้
๑. ชัยชนะที่มีต่อพญามาร๒. ชัยชนะที่มีต่ออาฬวกยักษ์๓. ชัยชนะที่มีต่อช้างนาฬาคีรี๔. ชัยชนะที่มีต่อองคุลีมาล๕. ชัยชนะที่มีต่อนางจิญจมาณวิกา๖. ชัยชนะที่มีต่อ สัจจกนิครนถ์๗. ชัยชนะที่มีต่อนันโทปนันทนาคราชและ..ประการสุดท้าย คือ ชัยชนะที่มีต่อ พกพรหม เพื่อเป็นการระลึกนึกถึงชัยชนะของพระพุทธองค์ มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เราจะได้รับอานิสงส์ใหญ่ติดตัวไปข้ามภพข้ามชาติ เป็นอุปนิสัยบารมี ทำให้เกิดกำลังใจไม่สิ้นสุดในการสร้างบารมี เพื่อเดินตามรอยบาทพระบรมศาสดาต่อไป
คำว่า ...มาร..หรือพญามารแปลว่า...ผู้ขวางความดี ขวางหนทางการสร้างบารมีของผู้ที่คิดจะสร้างบารมี นอกจากขัดขวางแล้ว ยังชักนำให้ทำในสิ่งที่เป็นบาปอกุศลอีกด้วย ให้สร้างกรรมพอกพูนอาสวกิเลสให้หนาแน่นจนเป็นผังสำเร็จ และต้องไปชดใช้กรรมอย่างทุกข์ทรมาน มีวิบากที่เป็นทุกข์ วนเวียนอยู่ในวัฏจักรของกิเลส กรรม วิบาก ยากที่จะหลุดพ้นจากภพทั้ง ๓ ได้ พญามารนี่แหละที่เป็นผู้ทำให้สรรพสัตว์หลงวนอยู่ในวัฏสงสาร
เรื่อง...มีอยู่ว่า พญามารได้ตามรังควานพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรามาตลอดตั้งแต่ครั้งทรงออกผนวช ก็เอาสมบัติจักรพรรดิมาล่อ แต่ไม่สำเร็จ จึงปิดบัง เห็น จำ คิด รู้ ของพระองค์ ไม่ให้รู้หนทางสายกลาง ทำให้ต้องเสียเวลาในการบำเพ็ญเพียรทุกรกิริยานานถึง ๖ ปี แต่ในที่สุดเมื่อบารมีแก่รอบ พระองค์ก็ทรงสามารถเอาชนะพญามารได้
ในวันที่พระมหาบุรุษจะตรัสรู้นั้น พระองค์ประทับนั่งอยู่ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์หรือต้นโพธิ์ตรัสรู้ ทรงหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก มีพระทัยตั้งมั่น ประทับนั่งคู้บัลลังก์ โดยตั้งสัตยาธิษฐานว่า “แม้เนื้อและเลือดในสรีระเราจะแห้งเหือดไปหมดสิ้น จะเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตามที หากเรายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จักไม่ทำลายบัลลังก์นี้” คือ จะไม่ลุกจากที่
พญามารล่วงรู้ถึงความคิดนั้นก็ทนไม่ได้ จึงคิดทำลายความตั้งใจของพระมหาบุรุษให้ได้ มิฉะนั้นแล้วพระองค์จักพ้นไปจากอำนาจของมาร พญามารจึงรวบรวมเสนามาร และไพร่พลมารทั้งหมด ยกทัพมาปราบพระโพธิสัตว์ โดยมีพลพรรคของเสนามารพวกที่อยู่ทัพหน้าเป็นทางยาวถึง ๑๒ โยชน์ กองทัพด้านขวาซ้าย ด้านละ ๑๒ โยชน์ ส่วนทัพหลังตั้งอยู่จรดขอบจักรวาล สูงขึ้นเบื้องบน ๙ โยชน์ เมื่อพวกมารโห่ร้อง เสียงโห่ร้องนั้นเสมือนเสียงแผ่นดินทรุดตั้งแต่พันโยชน์ไป เทวบุตรมารขี่ช้างคิริเมขล์สูง ๑๕๐ โยชน์ เนรมิตแขนตั้งพัน ถืออาวุธนานาชนิด พวกหมู่มารที่เหลือล้วนมีรูปร่างน่าสะพรึงกลัวแตกต่างกันไป มีฤทธิ์มีเดชแตกต่างกันอีกด้วย ต่างมุ่งมาจู่โจมพระโพธิสัตว์จากทิศทั้งสี่
ชัยชนะครั้งที่ ๑ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ตอนที่ ๑ ชนะพญามาร)
เปรียบ..เสมือนดวงสุริยาที่ทอแสงให้ความสว่างในชีวิตแก่สรรพสัตว์ทั้งปวงโดยไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง พระพุทธองค์เสด็จมาเพื่อประโยชน์สุขของมวล https://dmc.tv/a9506
บทความธรรมะ Dhamma Articles > ธรรมะเพื่อประชาชน[ 25 ธ.ค. 2553 ] - [ ผู้อ่าน : 18349 ]